ชวน "คนรักไวน์" ไป “ชิมไวน์ ชมปราสาท” ที่ “ลัวร์ แวลลีย์”
“ฝรั่งเศส” คือเส้นทาง “จิบไวน์ ชมปราสาท” อันดับหนึ่งที่ใคร ๆ ก็อยากไป และแคว้นลัวร์ หรือ “ลัวร์ แวลลีย์” คือหมุดหมายที่ “คนรักไวน์” และนักท่องเที่ยวอยากไปสัมผัส
คนรักไวน์ บอกว่าคอแห้งเป็นผง เพราะไม่ได้เดินทางไปชิมไวน์ชมไร่องุ่นในต่างประเทศมากว่า 2 ปี
แน่นอนประเทศฝรั่งเศส มาอันดับต้น ๆ ก่อนได้ไปจริงจะชวนไป ชิมไวน์ ชมปราสาท ณ ลัวร์ แวลลีย์ (Loire Valley) ที่แคว้นลัวร์ อยู่ทางทิศตะวันตกค่อนไปทางเหนือของฝรั่งเศสเล็กน้อย อยู่ริมฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ห่างจากปารีสประมาณ 200 กิโลเมตร สามารถไปเช้ากลับเย็นได้
แม่น้ำลัวร์ เป็นเส้นเลือดใหญ่ในการทำไวน์ของหลายร้อยตำบลในหลายแคว้น เพราะเป็นแม่น้ำสายยาวที่สุดของฝรั่งเศสคือ 1,015 กิโลเมตร ขณะที่ ลัวร์ แวลลีย์ ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตไวน์ที่งดงามมากที่สุดของฝรั่งเศสและของโลก
เพราะริมฝั่งแม่น้ำลัวร์นอกจากจะเรียงรายและเต็มไปด้วยไร่องุ่นแล้ว ยังมีปราสาทของกษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ที่สวยงามเต็มไปหมด เรียกว่า กลุ่มปราสาทแห่งลุ่มน้ำลัวร์ หรือ “ชาโตซ์ เดอ ลา ลัวร์” (Chateaux de la Loire) มีถึง 29 ชาโต
การผลิตไวน์ของลัวร์เริ่มเมื่อชาวโรมันเข้ามาครอบครองดินแดน แต่ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า เซนต์ มาร์ติน (Saint Martin) เป็นคนแรกที่ปลูกองุ่นในแคว้นลัวร์ประมาณปี ค.ศ.380 หลังจากนั้นการผลิตไวน์ก็เติบโตอย่างรวดเร็วตราบเท่าทุกวันนี้
ไวน์ที่ผลิตในลัวร์ 75% เป็นไวน์ขาว ที่ขึ้นชื่อของลัวร์ไปแล้วต้องชิมคือ ไวน์ซองแซร์ (Sancerre) กับ ไวน์ปุยญี-ฟูเม (Pouilly-Fume) ทั้ง 2 ชื่อนี้เป็นชื่อคอมมูนอยู่ทางตอนเหนือของแคว้นลัวร์ มีแม่น้ำลัวร์คั่นกลาง ซองแซร์อยู่ฝั่งซ้าย ปุยญี-ฟูเม อยู่ฝั่งขวา ที่เหมือนกันคือทำไวน์ขาวจากองุ่นโซวีญยอง บลัง (Sauvignon Blanc)
ไวน์ซองแซร์ เกิดมาตั้งแต่ปี 582 ในครั้งนั้นได้รับการยกย่องว่าเป็น “The Best in the Kingdom” ไวน์ขาวผลิตจากองุ่นโซวีญยอง บลัง (Sauvignon Blanc) ดังกล่าว ส่วนไวน์แดงหรือโรเซผลิตจากปิโนต์ นัวร์ (Pinot Noir) แต่ไวน์ขาวจะได้รับความนิยมมากกว่า ดังนั้นเมื่อพูดถึงไวน์ซองแซร์มักจะหมายถึงไวน์ขาว
ไวน์ปุยญี-ฟูเม
ส่วนไวน์ปุยญี-ฟูเม เริ่มทำมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 โดยพระนิกายเบเนดิกต์ เป็นไวน์ที่มีความสดและหอมหวนไม่แพ้ไวน์ซองแซร์ สมัยก่อนสีของไวน์จะขาวคล้ายควันไฟ บางคนจึงเรียกว่า ไวท์สโมค (White Smoke) และคำว่าสโมค (Smoke) ก็มีความหมายเดียวกับฟูเม (Fume) ในภาษาฝรั่งเศส ไวน์ที่ผลิตจากแคว้นนี้จึงเรียกว่า Pouilly-Fume Pouilly-Sur-Loire ตามชื่อจริงของตำบล
สำหรับทริปเส้นทาง ชิมไวน์ ชมปราสาท หรือ “ชาโต” ที่มากมายนั้น ในครั้งนี้ขอแนะนำสัก 1 แห่งก่อน นั่นคือ ชาโต เดอ บลัวส์ (Chateau de Blois) หรือ ปราสาทแห่งเมืองบลัวส์ ตั้งอยู่ในเมืองบลัวส์ (Blois) เมืองเก่าแก่ตั้งแต่สมัยโกล (Gaul)
ชาโต เดอ บลัวส์ เดินทางจากปารีสโดยทางรถยนต์ประมาณ 2 ชั่วโมง หรือโดยรถไฟ Austerlitz แต่ถ้าจะไปโดยรถด่วนเตเจเว (TGV) ต้องไปลงที่เมืองตูรส์ แล้วต่อรถยนต์อีกประมาณ 40 นาที
Chateau de Blois ใช้เวลาในการสร้างถึง 4 ศตวรรษ ประกอบด้วยปราสาท 4 หลัง ในสไตล์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เชื่อมโยงกันด้วยศิลปะแบบโกธิก เรอเนส์ซองส์ อิตาเลียน และเฟรนช์คลาสสิก เป็นสถาปัตยกรรมที่ผสมศิลปะในช่วงเวลาดังกล่าวได้อย่างลงตัว โดยส่วนที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ ”บันไดวน” และลวดลายศิลปะด้านหน้าอาคาร
Chateau de Blois กำเนิดเมื่อดยุค หลุยส์ แห่งดอร์เลอองส์ (Louis, duc d'Orleans) พระญาติของพระเจ้าชาร์ลที่ 6 กษัตริย์พระองค์ที่ 4 แห่งพระราชวงศ์วาลัวส์ ได้ซื้อปราสาทเก่าของเมืองนี้ไว้เป็นสมบัติ ในปี 1391 ประกอบด้วย 564 ห้อง ทุกห้องมีเตาผิง ในจำนวนนี้เป็นห้องนอน 100 ห้อง มีบันได 75 แห่ง ต่อมาเปลี่ยนเจ้าของมาหลายคน ปัจจุบันอยู่ในการดูแลของรัฐบาลท้องถิ่นเมืองบลัวร์
Chateau de Blois เกี่ยวข้องกับเมืองไทย เพราะวันที่ 22 – 23 กรกฎาคม พ.ศ.2229 มีบันทึกไว้ถึงการเจริญสัมพันธไมตรีของกรุงสยาม รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กับฝรั่งเศสที่ปกครองโดยพระเจ้าหลุยส์ ที่ 14 สมัญญาว่าหลุยส์ พระอาทิตย์ (Le Roi de Soleil) คณะราชทูตสยามที่มีออกพระวิสุทธิสุนทร (ปาน) เป็นอัครราชทูต เคยมาพักที่เมืองบลัวร์ (Blois) 2 วัน
อาหารพื้นเมืองของลุ่มน้ำลัวร์ที่แนะนำเป็นพิเศษคือพวกซีฟู้ดทั้งหลาย กุ้ง หอย ปู ปลา มีให้เลือกมากมาย ที่ขาดไม่ได้คือต้องกินกับไวน์ขาว Sancerre และ Pouilly-Fume ดังกล่าว ซึ่งเขาบอกว่า “ไวน์แคว้นลัวร์ดื่มแล้วสดชื่น เหมาะอย่างยิ่งกับอากาศในหน้าร้อน และอาหารประเภทซีฟู้ด”
สำหรับท่านที่ยังไม่มีโอกาสได้ไป อยู่เมืองไทยก็มีไวน์ซองแซร์ และไวน์ปุยญี-ฟูเม นำมาจำหน่ายจากหลายชาโต หามาชิมกับซีฟู้ดบ้านเรา ซ้อม ๆ ไว้ก่อน...
