6 หนังคลาสสิกขึ้นหิ้งของผู้กำกับ ‘ร็อบ ไรเนอร์’ ผู้ล่วงลับ

ชวนดูผลงานคุณภาพของ 'ร็อบ ไรเนอร์' ผู้ล่วงลับ ที่ได้รับการยกย่องให้เป็น "หนังคลาสสิก" ขึ้นหิ้งที่ไม่ควรพลาด
KEY
POINTS
- ร็อบ ไรเนอร์ ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังผู้ล่วงลับ เป็นที่จดจำจากผลงานคลาสสิกที่โดดเด่นและหลากหลายแนว
- เขามีชื่อเสียงจากการดัดแปลงนิยายของสตีเฟน คิง สู่ภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง เช่น Stand By Me และหนังระทึกขวัญ Misery
- ผลงานของเขาสร้างมาตรฐานใหม่ให้วงการภาพยนตร์ ทั้งหนังรอมคอมอย่าง When Harry Met Sally
‘ร็อบ ไรเนอร์’ ถูกพบเสียชีวิตที่บ้านพักในย่านเบรนท์วูด ลอสแองเจลีส พร้อม มิเชล ผู้เป็นภรรยา เมื่อวันที่ 14 ธันวาคมที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น เขาเป็นทั้งนักแสดงฝีมือดี (เจ้าของรางวัลเอ็มมี่ สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมสองครั้งจากซิตคอมเรื่อง All in the Family) และผู้กำกับภาพยนตร์ที่มีผลงานคุณภาพระดับขึ้นหิ้งหลากเรื่องหลากแนว
นี่คือภาพยนตร์คลาสสิก 6 เรื่องของ ร็อบ ไรเนอร์ ที่เหล่านักวิจารณ์ คนดู และคนในวงการยกให้เป็น best of the best ที่ต้องมีชื่อติดโผเวลามีการจัดอันดับภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในแต่ละหมวดเสมอ
This Is Spinal Tap (1984)
ผลงานแจ้งเกิดในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ของร็อบ ไรเนอร์ This Is Spinal Tap เป็นภาพยนตร์แนว mockumentary ตามติดชีวิตวงดนตรีเฮฟวีเมทัลอังกฤษไปทัวร์อเมริกาที่เต็มไปด้วยความวายป่วง บทพูดส่วนใหญ่เกิดจากการด้นสดของนักแสดงที่จิกกัด สะท้อนเรื่องจริงในวงการดนตรีออกมาได้อย่างแสบ ๆ คัน ๆ โดยตัวร็อบเองร่วมเล่นในบทคนทำสารคดีชื่อ มาร์ตี้ ดีเบอร์กี
This Is Spinal Tap ได้รับการยกย่องในฐานะหนัง cult classic ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขัน ขณะที่ร็อบ ไรเนอร์ให้สัมภาษณ์ British Film Institute (BFI) เอาไว้เมื่อปี 2022 ว่าบทคนทำสารคดีที่เขาเล่นในหนังเรื่องนี้อ้างอิงมาจากมาร์ติน สกอร์เซซี ตอนทำหนังคอนเสิร์ตเรื่อง The Last Waltz
ร็อบยังเล่าอีกว่า Sting (สติง) นักร้องดังชาวอังกฤษ บอกกับเขาว่าดู This Is Spinal Tap ไปร่วม 50 ครั้งได้ แล้วทุกครั้งที่ดูก็ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
ทั้งนี้ เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาก่อนเสียชีวิต ร็อบ ไรเนอร์ได้กลับมารับบท ดีเบอร์กี อีกครั้งในภาพยนตร์ In Spinal Tap II: The End Continues ที่เขากำกับและกลายเป็นผลงานเรื่องสุดท้ายไปโดยปริยาย
Stand By Me (1986)
หนัง coming-of-age ในดวงใจใครหลายคน สร้างจากเรื่องสั้นของสตีเฟน คิง พูดถึงเด็กวัยรุ่น 4 คน ในรัฐโอเรกอน ปี 1959 ที่ออกเดินทางด้วยกันเป็นเวลาสองวันเพื่อตามหาร่างของเด็กคนหนึ่งที่หายตัวไป การประสบพบเจอกับความจริงอันขมขื่นของชีวิตทำให้พวกเขาเปลี่ยนผ่านจากเด็กใสซื่อบริสุทธิ์กลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว
Stand By Me เป็นหนังแจ้งเกิดให้กับ ริเวอร์ ฟีนิกซ์ และคีเฟอร์ ซูเธอร์แลนด์ ดาราดังของฮอลลีวู้ด ขณะที่ร็อบ ไรเนอร์ ให้สัมภาษณ์รายการพอดคาสต์ Armchair Expert with Dax Shepard เอาไว้ว่า Stand By Me มีความหมายอย่างที่สุดสำหรับตัวเขา เพราะว่ามันเป็นครั้งแรกที่เขาได้ทำในสิ่งที่ห่างไกลจากสิ่งที่พ่อของเขา (คาร์ล ไรเนอร์ นักแสดงตลกและนักเขียน) จะทำ
“นี่เป็นผลงานชิ้นแรกที่สะท้อนบุคลิกภาพของผมออกมาจริง ๆ มันมีอารมณ์ขันอยู่ในนั้น แต่มันก็มีความเศร้าสลดหดหู่และความโหยหาอาลัยอาวรณ์อยู่ด้วย ผมคิดว่านี่คือสิ่งที่ผมอยากทำจริงๆ”
The Princess Bride (1987)
จากหนังกึ่งสารคดี หนังคัมมิงออฟเอจ ใครจะคิดว่าในปีต่อมา ร็อบ ไรเนอร์จะเปลี่ยนแนวมาทำหนังเทพนิยายแฟนตาซีที่สร้างจากนิยายของวิลเลียม โกลด์แมน
ตำนานอย่างหนึ่งของหนังเรื่องนี้คือ มีผู้หญิงคนหนึ่งบอกกับร็อบ ไรเนอร์ว่า The Princess Bride ช่วยชีวิตเธอไว้ตอนที่เธอกับนักสกีหลายคนติดอยู่ในหิมะที่ถล่มลงมาทับ เธอได้หยิบยกเอาคำพูดทุกประโยคจากหนังเรื่องนี้มาพูดเพื่อดึงสติตัวเอง และคนอื่น ๆ ให้ยังตื่นอยู่ได้ระหว่างรอคอยความช่วยเหลือ เช่น ประโยคที่ว่า “ชีวิตคือความเจ็บปวด ฝ่าบาท ใครก็ตามที่พูดผิดไปจากนี้กำลังขายอะไรบางอย่าง”
ขณะที่ร็อบ ไรเนอร์ให้สัมภาษณ์ Variety เอาไว้ว่า ประโยคที่ว่า “The Princess Bride ช่วยชีวิตฉันไว้” เป็นประโยคที่ดีที่สุดที่เขาเคยได้ยิน
When Harry Met Sally (1989)
ลองไปค้นหาการจัดอันดับหนังรอมคอม (Romantic Comedy) ของหลายสำนักดูแล้วคุณจะพบว่า When Harry Met Sally จะต้องมีรายชื่อติดอยู่อันดับต้น ๆ เสมอ
ตอนที่ร็อบทำหนังเรื่องนี้ออกมาในปี 1989 แทบจะเรียกได้ว่าเขาเป็นคน “สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับหนัง rom-com” โดยบิลลี คริสตัล และเม็ก ไรอันรับบทเพื่อนต่างเพศที่พบเจอ พูดคุยกันมานานหลายปี แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าผู้ชายกับผู้หญิงจะสามารถเป็นเพื่อนกันได้จริงหรือไม่
ที่สำคัญ หนังเรื่องนี้ทำให้ร็อบได้พบและตกหลุมรัก มิเชล ซิงเกอร์ ตากล้องที่กลายมาเป็นภรรยาที่เสียชีวิตไปพร้อมกับเขา โดยการพบกับมิเชลมีอิทธิพลให้ร็อบเปลี่ยนตอนจบของหนังมาเป็นแบบที่เราได้ดูกันด้วย
ร็อบให้สัมภาษณ์รายการ Where Everybody Knows Your Name เอาไว้ว่า เขาไม่คิดว่าตัวเองจะใช้ชีวิตร่วมกับใครได้ เขานึกภาพไม่ออกว่าการอยู่กับอีกคนเป็นยังไง ซึ่งมันก็สะท้อนออกมาในหนังตอนที่แฮร์รี่กับแซลลี่เข้ากันไม่ได้ พวกเขาเจอกันโดยบังเอิญที่นิวยอร์ก พูดคุยกันเล็กน้อยแล้วก็เดินกันไปคนละทาง แต่พอเจอกับมิเชลเขาก็มองเห็นแล้วว่าการใช้ชีวิตกับคนอื่นเป็นยังไง เขาเลยบท ถ่ายตอนจบใหม่ให้บิลลี่วิ่งไปหาเม็กที่งานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
หลังจากนั้นไม่นาน ร็อบกับมิเชลก็แต่งงานกัน มีลูก 3 คน และใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตราบจนวันสุดท้ายของชีวิตทั้งคู่ ก่อนหน้านี้ร็อบเคยแต่งงานกับนักแสดงละผู้กำกับชื่อ เพนนี มาร์แชลในปี 1971 มีลูกบุญธรรมด้วยกันคนหนึ่งเป็นนักแสดงชื่อ เทรซี่
ร็อบกับมิเชล (Credit: REUTERS)
Misery (1990)
ปีต่อมา ร็อบ ไรเนอร์ก็เปลี่ยนแนวอีกครั้งโดยหันไปหยิบนวนิยายเรื่อง Misery ของสตีเฟน คิงมาดัดแปลงเป็นหนัง thriller ขึ้นหิ้งอีกเรื่องของวงการ
เคธี เบทส์ รับบท แอนนี วิลเคส หญิงโรคจิตที่จับตัวนักเขียนคนโปรดของตัวเองมาจองจำไว้ไม่ให้ไปไหน (นำแสดงโดย เจมส์ คาอัน) เธอเล่นดีถึงขนาดได้รับรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมมาเป็ํนเครื่องรับประกันความสามารถ
ร็อบ ไรเนอร์ให้สัมภาษณ์เอาไว้ในงาน San Diego Comic-Con เมื่อต้นปีนี้ว่าก่อนที่จะทำหนังเรื่องนี้เขาศึกษางานของฮิทช์ค็อกอย่างละเอียด รวมถึงศึกษาหนังทริลเลอร์ทุกเรื่องเท่าที่เขาสามารถหาดูได้เพื่อทำความเข้าใจว่า “ไวยากรณ์ของหนังทริลเลอร์” มันเป็นยังไง
สำหรับเคธี เบทส์ ตอนนั้นยังเป็นนักแสดงละครเวที เธอมาออดิชั่นเล่นหนังใหญ่เรื่องแรกพร้อมกับความวิตกกังวลว่าตัวเองจะทำได้ไหม แต่พออ่านบทไปได้แค่ 2-3 บรรทัด ร็อบก็บอกให้พอแล้วบอกว่าเธอได้รับบทนี้แล้ว
A Few Good Men (1992)
หนัง courtroom drama ที่ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม เนื้อเรื่องเกี่ยวกับการพิจารณาคดีนาวิกโยธินสองนายว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของเพื่อนทหารนายหนึ่งหรือไม่ นำแสดงโดยดาราเบอร์ใหญ่ของฮอลลีวู้ดอย่าง แจ็ค นิโคลสัน, ทอม ครูซ, เดมี่ มัวร์ และเควิน เบคอน






