‘Zootopia 2 - Wicked’ ผงาดบนบ็อกซ์ออฟฟิศ วิจัยเผย woke ได้ แต่อย่ายัดเยียด-เปลี่ยนตัวละคร

‘Zootopia 2 - Wicked’ ผงาดบนบ็อกซ์ออฟฟิศ วิจัยเผย woke ได้ แต่อย่ายัดเยียด-เปลี่ยนตัวละคร

“Go woke, go broke” ไม่จริง งานวิจัยพบ ภาพยนตร์ที่สนับสนุนแนวคิดก้าวหน้า หรือ “Woke” ไม่จำเป็นต้องล้มเหลวบน “บ็อกซ์ออฟฟิศ” เสมอไป ตอกย้ำด้วยความสำเร็จของ “Zootopia 2” และ “Wicked: For Good”

KEY

POINTS

  • งานวิจัยชี้ว่าภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาแนว “โว้ค” (Woke) ไม่ได้ล้มเหลวในเชิงรายได้เสมอไป โดยความสำเร็จขึ้นอยู่กับการนำเสนอที่จริงใจและไม่ยัดเยียด
  • ความสำเร็จของภาพยนตร์อย่าง Zootopia 2 และ Wicked พิสูจน์ให้เห็นว่าหนังแนวโว้คสามารถทำรายได้สูงบนบ็อกซ์ออฟฟิศได้
  • ปัจจัยสำคัญที่ทำให้หนังเสี่ยงขาดทุนคือการยัดเยียดประเด็นทางการเมืองจนบดบังเนื้อเรื่อง และการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์หรือเรื่องราวของตัวละครดั้งเดิมที่เป็นที่รู้จัก
  • หนังบางประเภท เช่น สยองขวัญ กีฬา และมิวสิคัล กลับสามารถทำรายได้มากขึ้นเมื่อมีการนำเสนอความหลากหลายและประเด็นด้านอัตลักษณ์อย่างเหมาะสม

วลี “Go woke, go broke” (ยิ่งโว้ค ก็ยิ่งเจ๊ง) เป็นวลีที่ใช้กันในวงการภาพยนตร์ฮอลลีวูด โดยเฉพาะในหมู่กลุ่มอนุรักษนิยมที่ใช้โจมตีหนังบล็อกบัสเตอร์ที่นำค่านิยมแบบก้าวหน้ามาใช้เป็นคอนเซ็ปต์ มีตัวละครหรือนักแสดง LGBTQ+ การสื่อสารทางการเมืองอย่างแนบเนียน หรือการเน้นเรื่องเชื้อชาติและอัตลักษณ์ และเห็นสมควรว่าหนังพวกนี้จะต้องถูกคว่ำบาตรและร้องเรียน

ภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น The Marvels (2023), Charlie’s Angels (2019), Ghostbusters (ฉบับรีบูตปี 2016) และ Elio (2025) ต่างถูกโจมตี เนื่องจากความมุ่งมั่นในการส่งเสริมความเท่าเทียมและความหลากหลาย หรือที่เรียกว่า “โว้ค” (Woke) ไม่ประสบความสำเร็จบนตารางหนังทำเงิน บางเรื่องถึงขั้น “เจ๊ง” คาตารางบ็อกซ์ออฟฟิศด้วยเช่นกัน

งานวิจัยของสตีเฟน ฟอลโลว์ส นักวิเคราะห์ข้อมูลภาพยนตร์ พบว่าไม่มีหลักฐานใดที่บ่งชี้ว่าภาพยนตร์ที่โว้ค จะล้มเหลวในเชิงพาณิชย์ พร้อมว่าภาพยนตร์บางประเภท เช่น ภาพยนตร์สยองขวัญ กีฬา และมิวสิคัล ที่คัดเลือกนักแสดงหลากหลายและเรื่องราวที่ขับเคลื่อนด้วยอัตลักษณ์สามารถช่วยให้หนังทำเงินได้มากขึ้นด้วยซ้ำ

ในทางกลับกัน หากภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่ใช้งบประมาณสูงนำเสนอประเด็นทางเมืองอย่างโจ่งแจ้ง จนผู้ชมรู้สึกว่าข้อความทางการเมืองบดบังตัวละครหรือเรื่องราวของหนังก็จะทำให้เกิดกระแสต่อต้าน จนเกิดความเสี่ยงที่จะขาดทุนได้

‘Zootopia 2 - Wicked’ ผงาดบนบ็อกซ์ออฟฟิศ วิจัยเผย woke ได้ แต่อย่ายัดเยียด-เปลี่ยนตัวละคร

Wicked หนึ่งในหนังโว้คแห่งยุคที่ประสบความสำเร็จ

ยิ่งไปกว่านั้น การลดทอนตัวละครหรือเรื่องราวที่เป็นที่รู้จักมาอย่างยาวนาน ก็เสี่ยงที่จะสูญเงินมหาศาล อย่างเช่น Little Mermaid (2024) และ Snow White (2025) ที่เปลี่ยนภาพลักษณ์ของตัวละครสโนว์ไวท์และแอเรียลใหม่ ไม่ตรงกับต้นฉบับการ์ตูน ก็ทำรายได้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น โดยฟอลโลว์ส อธิบายว่า “การเขียนเรื่องราวหรือตัวละครดั้งเดิมขึ้นใหม่เป็นหนึ่งในสัญญาณเชิงลบที่รุนแรงที่สุดต่อรายได้หนัง

ฟอลโลว์สพิจารณาภาพยนตร์มากกว่า 10,000 เรื่องและความคิดเห็นของผู้ชมกว่า 4 ล้านความคิดเห็น เพื่อตรวจสอบว่ามีความสัมพันธ์ใด ๆ ระหว่างภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาที่ผู้ชมมองว่าตื่นตัวทางสังค กับความสำเร็จในบ็อกซ์ออฟฟิศหรือไม่ ซึ่งผลการวิจัยสรุปว่าไม่มีรูปแบบที่สอดคล้องระหว่างแนวหนังโว้คกับรายได้ที่ลดลงจากบ็อกซ์ออฟฟิศ

“ปัญหามันมาจากตัวหนัง ทั้งจากการสื่อสารทางการเมืองที่หนักหน่วง การเปลี่ยนแปลงเนื้อหาที่ไม่ลงตัว หรือบทสนทนาที่ตกยุค สิ่งเหล่านี้ทำให้ความพึงพอใจของผู้ชมและผลกำไรลดลงทั้งสิ้น” ฟอลโลว์สกล่าว

รายงานยังพบอีกว่า กลุ่มผู้ชมภาพยนตร์สยองขวัญ ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วมีอายุน้อยกว่า มักเปิดรับการเปลี่ยนแปลงและไม่ค่อยมีปัญหากับการปรับเปลี่ยนเนื้อเรื่อง เช่น Candyman (2021) Halloween ฉบับรีบูตปี 2018 และ Evil Dead Rise (2023)

“มุมมองที่ขับเคลื่อนด้วยอัตลักษณ์ การคัดเลือกนักแสดงที่หลากหลาย และการตีความใหม่ผ่านเรื่องราวเดิม มักจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจ ความแปลกใหม่และยกระดับความตื่นเต้น” ฟอลโลว์สกล่าว

นอกจากนี้ การใส่ประเด็นอัตลักษณ์ทางเพศ การค้นหาตัวตน ความเท่าเทียม และการเปิดกว้างให้ทุกคน ทุกกลุ่ม ทุกความแตกต่าง โดยไม่ทิ้งใครไว้ด้านหลัง ลงไปในหนัง ช่วยให้ภาพยนตร์แนวกีฬาและมิวสิคัลประสบความสำเร็จมากขึ้นด้วย เพราะประเด็นเหล่านี้สามารถเสริมสร้างเรื่องราว พลิกมุมมอง เพิ่มน้ำหนักทางอารมณ์หรือศีลธรรม ผ่านเส้นเรื่องของคนชายขอบในสังคม หรือพวกมวยรอง เช่น Creed III (2023) Rocketman (2019) และ A Star Is Born (2018) 

ขณะเดียวกัน Barbie (2023) ก็พิสูจน์แล้วว่า “หนังโว้ค” ก็ประสบความสำเร็จได้ จนขึ้นแท่นเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดในปี 2023 หากทำออกมาได้สมเหตุสมผล ไม่ยัดเยียด แม้จะใส่ความเฟมินิสต์เข้าไปเต็มขั้น

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงหรือใส่ประเด็นทางสังคมเข้าไปในแฟรนไชส์หนังดังที่อยู่มานาน เช่น เจมส์ บอนด์ อาจจะทำให้หนังไม่ประสบความสำเร็จและมีรายได้ลดลงได้ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงแก่นเรื่องอาจส่งผลให้ผู้ชมมีปฏิกิริยาที่ไม่ดี หากผู้ชมมองว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นการบังคับมากกว่าเกิดจากตัวละครหรือเรื่องราว

สำหรับเจมส์ บอนด์ภาคใหม่ จะอยู่ในการดูแลของ Amazon MGM ซึ่งในตอนนี้ได้ผู้กำกับและผู้เขียนบทคนใหม่เป็นที่เรียบร้อย นอกจากนี้ยังมีการค้นหานักแสดงนำคนใหม่หลังจากแดเนียล เครกประกาศเลิกรับบทนี้ ซึ่งมีข่าวลือมากมาย ตั้งแต่จะหานักแสดงรุ่นใหม่อายุราว 30 ปี รวมถึงเป็นคนดำ หรือแม้กระทั่งเป็นผู้หญิง

“การเปลี่ยนแปลงเชื้อชาติ เพศ หรือสัญชาติของบอนด์เพียงอย่างเดียวก็มีความเสี่ยงทางการเงินอยู่แล้ว แต่การเปลี่ยนแปลงหลายอย่างพร้อมกันจะยิ่งอันตรายมากขึ้น นี่ถือเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ที่มีโอกาสสร้างรายได้มหาศาลหลายพันล้านดอลลาร์”

ในปี 2025 เองก็มีภาพยนตร์ที่ถูกเรียกว่าหนังโว้คหลายเรื่องที่ประสบความสำเร็จบนบ็อกซ์ออฟฟิศ ไม่ว่าจะเป็น “Superman” ที่นำเสนอในมุมที่มองว่าซูเปอร์แมนเป็นเอเลี่ยน เป็นคนนอก เป็นตัวอันตราย แต่ก็ยังทำรายได้ดีจนทะยานขึ้นเป็นหนังทำเงินสูงสุดอันดับที่ 9 ของปี

เช่นเดียวกับ “Wicked: For Good” หนังมิวสิคัลมีผู้หญิงเป็นตัวละครหลัก ที่พาไปสำรวจความหมายของความดีและความเลวในดินแดนแห่งพ่อมดออซ ก็ยังคงได้กระแสตอบรับดีไม่แพ้ภาคแรก และยังคงทำรายได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ล่าสุด “Zootopia 2” แอนิเมชันภาคต่อที่ทุกคนรอคอย แม้ภาคนี้จะมีเนื้อเรื่องที่พูดถึงการแบ่งแยกและกีดกัน มองสัตว์บางชนิดเป็นอื่น แต่ก็ยังกวาดรายได้ใกล้ทะลุ 1,000 ล้านดอลลาร์ ทั้งที่เข้าฉายยังไม่ถึงเดือน

วลี “Go woke, go broke” จะไม่เกิดขึ้น หากอยู่ในบริบทที่ถูกต้อง ไม่ยัดเยียดมากเกินไป ขณะเดียวกันงบประมาณและประเภทของภาพยนตร์มีผลต่อความเสี่ยงด้วยเช่นกัน ยิ่งเป็นหนังฟอร์มยักษ์ยิ่งถูกจับจ้องจากทั่วโลก ดังนั้นหากมีการสื่อสารทางการเมืองที่โจ่งแจ้งหรือดูไม่เป็นธรรมชาติก็จะถูกลงโทษจากคนดูได้ง่าย

ภาพยนตร์ทุกเรื่องล้วนมีราคาที่ต้องจ่ายสำหรับ “การสั่งสอนศีลธรรมที่ยัดเยียด” รวมถึงการเปลี่ยนแปลง “ภาพจำ” ของตัวละคร หรือเพิ่มความไม่ถูกต้องทางประวัติศาสตร์ ก็ได้รับผลกระทบจากบ็อกซ์ออฟฟิศหลังจากถูกผู้ชมวิพากษ์วิจารณ์

แต่ดังที่นักวิจัยชี้ให้เห็น ส่วนใหญ่แล้วเรื่องราวที่ดีและเล่าเรื่องที่ดีจะเอาชนะคำครหาส่วนใหญ่ได้

“สิ่งที่ได้เรียนรู้ไม่ใช่ว่าผู้สร้างภาพยนตร์ควรหลีกเลี่ยงหรือยอมรับแนวคิดบางอย่าง แต่ความสำเร็จมาจากการจัดการกับแนวคิดเหล่านั้นด้วยความจริงใจและความตระหนักถึงบริบท” ฟอลโลว์สกล่าวสรุป


ที่มา: The GuardianThe Pink News