เปิดใจ ‘พัคซังยอง’ ผู้เขียน ‘Love in the Big City’ ยก ‘กรุงเทพฯ’ ศูนย์กลาง ‘LGBTQ+’

พูดคุยกับพัคซังยอง ผู้เขียน ‘Love in the Big City’ ถึงแรงบันดาลใจการแต่งนิยาย เผยยกให้กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลาง LGBTQ+ ในเอเชีย เพราะประทับใจวัฒนธรรมที่เปิดรับกลุ่มเควียร์ของไทย
พัคซังยอง (Park Sang-young) นักเขียนชาวเกาหลีใต้ผู้แต่งนวนิยายเควียร์ เรื่อง “Love in the Big City” (대도시의 사랑법) หรือในชื่อภาษาไทยว่า “เราไม่อาจกักเก็บใครไว้ได้ตลอดกาล ในจักรวาลสีแอเมทิสต์” ซึ่งถูกนำไปเป็นซีรีส์และภาพยนตร์จนโด่งดังไปทั่วโลก และด้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลวรรณกรรมระดับนานาชาติมากมาย เช่น รางวัล International Booker Prize ในปี 2022, รางวัล Dublin Literary Award, รางวัล Prix Médicis Award สาขาวรรณกรรมต่างประเทศ และรางวัล Émile Guimet Prize สาขาวรรณกรรมเอเชีย นวนิยายของเขาได้รับการแปลและตีพิมพ์ใน 25 ประเทศ รวม 18 ภาษา
วันที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมา ศูนย์วัฒนธรรมเกาหลีประจำประเทศไทย ได้เชิญนักเขียนพัคซังยอง เข้าร่วมกิจกรรม Book Talk โดยกิจกรรมนี้จัดขึ้นภายใต้นิทรรศการ K-Book ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “โครงการส่งเสริมและการแลกเปลี่ยนหนังสือเกาหลีสู่ต่างประเทศ ประจำปี 2025” ที่จัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างกระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว (MCST) กับสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมวัฒนธรรมการเผยแพร่ของเกาหลี (KPIPA)
ในช่วงบ่ายของวันนั้น นักเขียนพัคซังยองได้จัดการบรรยายพิเศษให้กับนิสิตจากภาควิชาภาษาเกาหลี คณะอักษรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกว่า 40 ท่าน และในช่วงเย็น นักเขียนพัคซังยองได้เข้าร่วมกิจกรรม Book Talk ณ ศูนย์วัฒนธรรมเกาหลีเพื่อพูดคุยกับเหล่านักอ่านชาวไทย ร่วมกับพิชยาภา ดีทองหลาง ผู้แปลนิยายเรื่อง “เราไม่อาจกักเก็บใครไว้ได้ตลอดกาล ในจักรวาลสีแอเมทิสต์”
‘Love in the Big City’ สำรวจความรักในเมืองใหญ่
พัคซังยองเริ่มมีความฝันอยากเป็นนักเขียนอาชีพ หลังจากที่เริ่มทำงานในบริษัทนิตยสาร และค้นพบว่าบทความที่เขาเขียนนั้นไม่ใช่ “งานเขียนของตัวเอง” แต่เป็นการเขียนเพื่อผู้อื่น เขาจึงตัดสินใจลาออกจากงานประจำ เพื่อลงทะเบียนเรียนที่สถาบันสอนเขียนนิยาย อาจารย์ได้แนะนำว่าเขามีพรสวรรค์พอที่จะศึกษาต่อในระดับปริญญาโท
ผลงานชิ้นแรกที่ซังยองส่งเข้าประกวดสามารถเข้าถึงรอบสุดท้ายได้ แต่หลังจากนั้นเขาส่งผลงานเข้าประกวดมากกว่า 50 ครั้ง แต่ก็ถูกปัดตกรอบเสมอ จนกระทั่งมีหนี้สินถึง 20 ล้านวอน เพื่อน ๆ ได้แนะนำให้เขาเขียนในสิ่งที่สนุกและผสมผสานอารมณ์ขันเข้าไป อย่าจริงจังมากเกินไป
ด้วยภาระหนี้สิน ทำให้ซังยองต้องกลับมาทำงานประจำอีกครั้ง แต่เขาก็ไม่ทิ้งงานเขียน ในแต่ละวันเขาจะตื่นนอนตอนตี 5 เพื่อเขียนงานก่อนไปทำงานตอน 9 โมงเช้า และงานเขียนเรื่องนั้นก็คือ “Love in the Big City” ซึ่งเป็นการสำรวจคำถามส่วนตัวเกี่ยวกับ “ความรัก” ในช่วงวัย 20 ปลาย ๆ ของเขา รวมถึงความมุ่งมั่นที่จะผลักดันความเปลี่ยนแปลงทางสังคมผ่านงานวรรณกรรม
ในช่วงเวลานั้นเขาตั้งคำถามว่า “ความรักเป็นสิ่งสวยงามจริงหรือเปล่า? ถ้าเกิดว่าเป็นสิ่งที่สวยงามจริง ๆ ทำไมความรู้สึกนี้ถึงทำให้ฉันรู้สึกทรมานนัก” และใช้การเขียนเป็นเครื่องมือในการตอบคำถามดังกล่าว โดยพยายามแยกส่วนและเจาะลึกความรักหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นความรักแบบเพื่อน ความรักจากแม่ ความรักโรแมนติก และแรงดึงดูดทางเพศ
นอกจากนี้ เขายังได้นำความทรงจำในอดีตของตนเองมาใส่ไว้ในเรื่องราวเป็นจำนวนมาก จะเห็นได้งานในงานเขียนจะพูดถึงวัฒนธรรมร่วมสมัย (Pop Culture) จำนวนมาก ที่โดดเด่นที่สุดคงจะหนีไม่พ้น “ไคลี่ มิโนก” นักร้องหญิงชาวออสเตรเลีย และ “T-ARA” วงเกิร์ลกรุ๊ป K-POP ซึ่งเป็นศิลปินโปรดของซังยอน และอยู่ในทุกช่วงชีวิตของเขา โดยมีฉากหลังเป็นเมืองใหญ่อย่าง กรุงโซล และกรุงเทพมหานครที่สะท้อนความเหงา ความโดดเดี่ยวของตัวละครได้อย่างดี
“ทั้งโซลและกรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีคนอยู่เยอะ แต่ในทางตรงข้ามเพราะเป็นสถานที่แบบนั้น ผมมองว่าโซลเป็นเมืองที่เหงามากครับ มีผู้คนที่จำนวนมากที่อาศัยอยู่คนเดียว ต่างฝ่ายต่างลำบากใจที่จะเข้าหากัน และยังเป็นเมืองที่ไม่รู้ว่าใครอาศัยข้างบ้านด้วยซ้ำนะครับ แต่ตรงข้ามผมกลับคิดว่าการไม่เปิดเผยตัวตน ถือเป็นเมืองที่ช่วยปกป้องตัวเราเองได้ด้วยเช่นกัน”
นอกจากแรงบันดาลใจส่วนตัวแล้ว พัคซังยองยังมีเจตนาที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงในวงการวรรณกรรมเกาหลี ในช่วงที่เขาเริ่มเขียน นวนิยายที่มีตัวละครกลุ่มเควียร์ (Queer) ยังไม่ได้รับการยอมรับและยังไม่ถูกทำให้เป็นที่รู้จัก อย่างกว้างขวางในเกาหลีใต้ เขาต้องการที่จะจุดประกายกระแสใหม่ในแวดวงวรรณกรรมเกาหลี และต้องการแสดงให้เห็นว่า กลุ่มเควียร์นั้นมีอยู่ทุกหนแห่ง ในฐานะเพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน หรือเพื่อนของเรา
หลังจากที่หนังสือเล่มนี้ถูกตีพิมพ์ออกมาเพียงเดือนเดียว สามารถขายได้กว่า 40,000 เล่ม ซึ่งคิดเป็นเงินมากกว่ารายได้ของงานประจำ ซังยองจึงตัดสินใจลาออกจากงาน และกลายเป็นนักเขียนเต็มตัวตามที่ฝันไว้
ถึงแม้ว่าในหนังสือจะมีเรื่องราวของวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์การเมืองของเกาหลีใต้ แต่พัคซังยองเชื่อว่าสาเหตุที่นวนิยายของเขาได้รับความนิยมไปทั่วโลก จนได้รับการตีพิมพ์ใน 25 ประเทศ เป็นเพราะเรื่องราวในหนังสือมีความเป็นมนุษย์ สะท้อนเรื่องราวอันเป็นสากลที่ผู้อ่านทุกคนล้วนเคยสัมผัสและมีประสบการณ์ร่วม
“กรุงเทพฯ” ศูนย์กลางเควียร์แห่งเอเชีย
นอกจากกรุงโซลจะเป็นเมืองหลักของนวนิยายเรื่องนี้แล้ว กรุงเทพมหานครก็เข้ามามีบทบาทสำคัญในเรื่องด้วยเช่นกัน โดยเขากล่าวว่า “ประเทศไทย เปรียบเสมือนบ้านเกิดหลังที่สอง” เพราะหลังจากที่เขามาประเทศไทยครั้งแรกในปี 2009 เขาก็กลับมาเที่ยวซ้ำอีกหลายสิบครั้ง จนเรียกได้ว่าเขามาไทยแทบจะทุกปี
ในสายตาของคนเกาหลีใต้ ซังยอนกล่าวว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศท่องเที่ยวที่คนเกาหลีรักมาก และมีความสนิทชิดเชื้อกัน เพราะคนเกาหลีใต้เข้าใจดีว่าคนไทยรักวัฒนธรรมเกาหลี ขณะเดียวกันคนเกาหลีจึงรู้สึกใกล้ชิดกับวัฒนธรรมไทยเช่นกัน เนื่องจากวงการ K-POP มีศิลปินชาวไทยด้วยกันหลายคน และคนเกาหลีใต้ก็รักอาหารไทยมากด้วย
อีกสิ่งหนึ่งที่พัคซังยอนชื่นชอบเป็นพิเศษในประเทศไทย คือ การเปิดรับกลุ่ม LGBTQIA+ จนยกให้ประเทศไทยเป็น “ศูนย์กลางของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศในเอเชีย” ดังนั้นกรุงเทพฯ จึงเป็นพื้นที่ที่ตัวละครเกย์ในนวนิยายของเขาจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระและสบายใจ
“หลังจากที่ผมมากรุงเทพครั้งแรกในปี 2009 ก็ได้มาอีกหลายสิบครั้งครับ ทุกครั้งที่มาก็รู้สึกประทับใจวัฒนธรรมโอบอ้อมอารีที่มีต่อคนกลุ่มน้อยหรือเควียร์ และยังเป็นหนึ่งในเมืองที่ผมรักมากด้วยครับ ดังนั้นตอนที่ผมเขียนนิยาย ตอนที่นึกถึงพื้นที่ที่ตัวเอกทั้งสองคนที่เป็นเกย์ จะสามารถมีความรักได้อย่างเต็มที่ ผมก็นึกถึกรุงเทพขึ้นมาเป็นอันดับแรกเลย จึงเขียนนิยายโดยคิดว่าจะจบตอนสุดท้ายด้วยกรุงเทพให้ได้ครับ
นักเขียนพัคซังยองระบุว่า เขาได้มีส่วนร่วมอย่างมากในการดัดแปลงผลงานออกมาเป็นผลงานต่าง ๆ โดยในส่วนของซีรีส์ เขาเป็นผู้เขียนสคริปต์ทั้งหมด ส่วนในส่วนของภาพยนตร์ เขาได้มีส่วนร่วมในการตรวจทานบทภาพยนตร์ที่ผู้กำกับและนักเขียนบทดัดแปลง
ระหว่างกระบวนการสร้างภาพยนตร์และซีรีส์มีอุปสรรคมากมาย เนื่องจากมีประเด็นเควียร์ที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนในเกาหลีใต้ ทำให้การหานักแสดงชายที่มีรับบทนำเป็นเรื่องที่ยากลำบาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังได้รับความชื่นชอบจากผู้ชมในหลากหลายประเทศทำให้เล่มนิยายได้รับความสนใจอีกครั้ง นักเขียนพัคกล่าวว่า “ผมคิดว่านี่คือผลงานชิ้นใหญ่ในชีวิตของผม ในอนาคตผมจะตั้งใจเขียนเรื่องราวระหว่างนิยายกับภาพยนตร์ต่อไป”
ในช่วงเวลาถามตอบ Q&A เต็มไปด้วยคำถามน่าสนใจมากมายจากผู้เข้าร่วม เช่น วิธีการเขียนหนังสือให้มีประสิทธิภาพ รวมถึงข้อดีข้อเสียของการนำนิยายมาดัดแปลงเป็นสื่อวิดีโอ และแผนการเขียนผลงานในอนาคต ทำให้บรรยากาศภายในงานครึกครื้นยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ นักเขียนพัคซังยอนยังได้ฝากเทคนิคการเขียนเอาไว้ด้วยว่า ไม่จำเป็นต้องเขียนออกมาให้สมบูรณ์แบบมากเกินไป ควรเล่าเรื่องด้วยน้ำเสียงของตัวเองจะทำให้การเขียนง่ายและผ่อนคลายมากขึ้น พร้อมให้ทริคว่า หากคิดไอเดียหรือได้ยินเรื่องราวที่น่าสนใจ ควรบันทึกไว้ในโน้ตโทรศัพท์เพื่อกันลืม และที่สำคัญอย่าละทิ้งความพยายาม เห็นได้จากตัวเขาเองที่แม้จะล้มเหลวในการประกวดถึง 50 ครั้ง แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้
หลังจากสิ้นสุดกิจกรรม มีนักอ่านหลากหลายสัญชาติ ทั้งชาวไทย อิตาลี โปรตุเกส และรัสเซีย เตรียมหนังสือมาจากบ้านเพื่อขอลายเซ็นและถ่ายรูปกับนักเขียนพัคซังยอง แสดงให้เห็นถึงความรักที่ทุกท่านมีต่อวรรณกรรมเกาหลี
พัคซังยองยังคงมุ่งมั่นพัฒนาตนเองไปเป็นนักเขียนที่สามารถเขียนงานได้ทุกแนว โดยในตอนนี้เขากำลังเขียนนวนิยายเรื่องใหม่เกี่ยวกับกลุ่มเศรษฐีเกาหลี หรือที่รู้จักกันในชื่อ “แชบอล” (Chaebol) ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงปี 1940-1970 แม้จะมีแนวเรื่องที่แตกต่างออกไป แต่ซังยองยังคงยืนยันว่าเขาจะยังไม่ทิ้งงานเขียนเกี่ยวกับเควียร์ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาสามารถเขียนงานได้ทุกแนว
เครดิตภาพ: สำนักพิมพ์ Page







