‘ลักกันวันตาย’ บัญชีไม่เคลื่อนไหว แต่คนต้องกินต้องใช้

พนักงานธนาคารวัยกลางคนที่กำลังเสี่ยงตกงานเพราะปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยียุคใหม่ไม่ทัน ในขณะที่มีค่าใช้จ่ายในครอบครัวก้อนโตรออยู่ เขาเผอิญรับรู้มาว่ามี “บัญชีที่ไม่เคลื่อนไหว” (Dormant Account) มูลค่านับหมื่นล้านนอนนิ่งอยู่เฉย ๆ ในระบบธนาคาร

หากมีช่องทางนำเงินก้อนนี้ออกมาใช้ เป็นคุณจะเลือกอะไร...ระหว่างศีลธรรมและความอยู่รอด

นี่คือเรื่องย่อของภาพยนตร์ “ลักกันวันตาย” Thai Original Content อีกเรื่องหนึ่งจาก Netflix ที่เพียงแค่ปล่อยตัวอย่างออกมาก็เรียกเสียงฮือฮาได้เป็นอย่างมาก กับความแปลกใหม่ น่าสนใจของพล็อต ที่นำแสดงโดยดาราคุณภาพ เคน-ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์, ฮิวโก้-จุลจักร จักรพงษ์ ร่วมด้วยนักแสดงรุ่นใหม่ที่ฝีมือน่าจับตา ริว-วชิรวิชญ์ วัฒนภักดีไพศาล

ที่สำคัญ “ลักกันวันตาย” เป็นผลงานการเขียนบทและกำกับของ นิธิวัฒน์ ธราธร ที่มีภาพยนตร์เรื่องแฟนฉัน, Seasons Change, หนีตามกาลิเลโอ, คิดถึงวิทยา และซีรีส์เรื่องทีมรักนักหลอก (Analog Squad) เป็นเครื่องการันตีคุณภาพ

นี่คือ Exclusive Interview กับ นิธิวัฒน์ ธราธร ที่จะพาคุณไปล้วงลึกถึงก้นบึ้งว่า ทำไมผู้กำกับฟีลกู๊ดอย่างเขาถึงหันมาจับงานดราม่า-ระทึกขวัญที่สุดแสนจะดาร์กอย่างเต็มตัวเป็นครั้งแรก

จุดเริ่มต้นจาก “บัญชีที่ไม่เคลื่อนไหว”

นิธิวัฒน์ ธราธรเล่าว่าจุดเริ่มต้นของภาพยนตร์เรื่องนี้มาจากการไปกินข้าวกับเพื่อนซึ่งทำงานอยู่ที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) แล้วคุยกันเรื่อง "บัญชีที่ไม่เคลื่อนไหว" ซึ่งมีเงินสะสมอยู่นับหมื่นล้านในระบบธนาคาร บัญชีเหล่านี้มีที่มาหลากหลาย เจ้าของอาจลืมไปแล้ว หรือเสียชีวิตไปโดยที่ญาติไม่รู้ว่ามีบัญชีนี้อยู่ บางกรณีเจ้าของเป็นนักเรียนนักศึกษาหรือนักธุรกิจที่มาใช้ชีวิตอยู่ในไทยช่วงหนึ่ง แล้วกลับประเทศไปโดยไม่ได้ปิดบัญชี

แน่นอนว่าสำหรับ creator อย่างนิธิวัฒน์ ข้อมูลนี้คือวัตถุดิบชั้นดีที่จะนำไปต่อยอดเพื่อสร้างเป็นภาพยนตร์ ทว่าเขาไม่ได้สนใจแค่เรื่องที่มีคนพยายามนำเงินจากบัญชีที่ไม่เคลื่อนไหวออกมาใช้ แต่เขาอยากตั้งคำถามกับคนดูว่า "เงินที่เราหามาทั้งชีวิต สุดท้ายแล้วมันจะไปไหน หากเราไม่ได้ใช้ หรือไม่มีใครรู้ข้อมูล?"

“ผมรู้สึกว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นของหนังที่น่าสนใจมาก มันมีคําถามเกิดขึ้นเยอะแยะมากมาย แต่สิ่งที่ทําให้ผมสนใจมันไม่ใช่แค่เรื่องการขโมย แต่มันคือคําว่า ‘บัญชีที่ไม่เคลื่อนไหว’ ที่ทำให้ผมตั้งคําถามว่า เราเหน็ดเหนื่อยหาเงินมาทั้งชีวิตแต่พ่อแม่ญาติพี่น้อง คนรอบตัวไม่เคยรู้ว่าเรามีบัญชีอะไรอยู่บ้าง ต่างคนต่างไม่เคยถาม เพราะเราเองก็คงไม่เดินไปถามครอบครัวว่า พ่อมีเงินอยู่เท่าไหร่ แม่มีทรัพย์สินอยู่ที่ไหนบ้าง อันนี้คือสิ่งที่ทําให้เรารู้สึกว่า ถ้าวันหนึ่งเราหายไป อาจจะตายหรือหลงลืมไปอะไรก็แล้วแต่ เงินเหล่านี้ที่เราอุตส่าห์หามาทั้งชีวิตมันจะไปไหน”

 

 

หากพิจารณาจากผลงานที่ผ่านมาจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า “ตัวละคร” ของนิธิวัฒน์ “มีความเป็นมนุษย์สูง” เขาชอบลงลึกเรื่อง “ความสัมพันธ์ของมนุษย์” ในหลากหลายแง่มุม อย่าง ‘ลักกันวันตาย’ พล็อตแบบนี้ ผู้กำกับคนอื่นอาจทำเป็นหนังโจรกรรม แอ็คชั่นทริลเลอร์สุดเร้าใจ ทว่านิธิวัฒน์กลับให้น้ำหนักเรื่องปมปัญหาของตัวละครที่สามารถรีเลทกับคนจริง

“พล็อตมันเหมือนจะเป็นหนังขโมย แต่สุดท้ายผมกลับมาตั้งคําถามกับชีวิตคนมากกว่า ตัวละครของผมเล่าผ่านคุณพ่อคนหนึ่งที่ต้องพยายามหาเงินก้อนใหญ่เพื่อส่งลูกเรียนอินเตอร์ ปัจจุบันการเรียนมันกลายเป็นเงินก้อนใหญ่เหมือนกันนะฮะ ผมกลับมาถามตัวเองว่าตั้งแต่เรียนประถมจนจบมหา’ลัย พ่อผมใช้เงินไปเท่าไหร่ แต่กับเด็กยุคนี้เขาใช้เงินปีเดียวมากกว่าผมเรียนจบมหา’ลัยซะอีก”

“มันอาจจะไม่ใช่ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ความตั้งใจของพ่อแม่ที่จะส่งลูกให้เรียนดีที่สุดมันเป็นเรื่องปรกติไม่ว่าจะยุคสมัยไหน แต่พอสังคมมันเปลี่ยน เงื่อนไขในชีวิตก็เปลี่ยนไป นอกจากบัญชีที่ไม่เคลื่อนไหวแล้วผมจึงหยิบเอาสิ่งที่สังคมกําลังพูดถึง หรือแม้กระทั่งเป็น thinking ของคนยุคปัจจุบันที่กําลังดิ้นรนทําอะไรบ้างอย่างใส่เข้าไป”

 

คำว่า "ไหว" ของแต่ละคน...อยู่ตรงไหน

หลังจากที่รับชม ‘ลักกันวันตาย’ ซึ่งสตรีมทาง Netflix พร้อมกันทั่วโลกในวันที่ 14 ตุลาคม 2568 นี้จบลง อาจมีหลายคนเดินไปถามคนในครอบครัวว่าแอบไปเปิดบัญชีอะไรเอาไว้รึเปล่า แต่สำหรับนิธิวัฒน์แล้วมีประเด็นมากมายที่เขาอยากชวนคุย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทํางานมากมาย การสะสมเงินเอาไว้เพื่ออะไร

‘ลักกันวันตาย’ สามารถรีเลทกับคนทุกระดับในสังคม ไม่เฉพาะแต่กับพ่อที่หาเงินส่งลูกเรียนอินเตอร์แบบในหนังเท่านั้น แต่มันยังรวมถึงเด็กที่อยากได้โทรศัพท์เครื่องใหม่ first jobber ที่กำลังจะซื้อรถคันแรกในชีวิต คู่รักที่เลือกซื้อบ้านเพื่อสร้างครอบครัว ฯลฯ เพราะทุกคนมีภาระที่ต้องใช้

“ภาระไม่จําเป็นต้องเรื่องลูกเท่านั้น ทุกองค์ประกอบในชีวิตในจุดเลี้ยวของเรา แต่ละช่วงชีวิตมันอาจจะเจอค่าใช้จ่ายที่ไม่เท่ากัน แต่เราไหวที่ตรงไหนล่ะ ถ้าเมื่อไหร่ที่เราไม่ไหวแล้ว แล้วเราบอกว่าไหว หรือเรารู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว แต่เราจะทําเพื่อให้เราไหว ผมว่านี่คือคําถามที่ผมชวนมาคุยว่า คําว่า “ไหว” ของคุณอยู่ตรงไหน”

นิธิวัฒน์กล่าวว่าเวลาทํางานทุกครั้งเขาจะตั้งคําถามเสมอว่าผลงานเรื่องนี้พูดอะไรกับคนดู แล้วถ้าสิ่งที่นำเสนอมีคนนำไปคิดต่อ เอาไปทําตาม นำมาพูดคุยกัน หรือแม้กระทั่งช่วยให้เกิดความเข้าใจอะไรมากขึ้น แค่นี้ก็ถือเป็นพลังในการทํางานสำหรับเขาแล้ว

“เรายังชอบทําหนังเพราะมันมีฟีดแบคแบบนี้กลับมาหาเราอยู่เสมอ ตั้งแต่ ‘แฟนฉัน’ ที่เพื่อนเก่าโทรกลับมาหา หรือย่าง Seasons Change ที่มีคนบอกว่าผมเรียนดนตรีเพราะหนังเรื่องนี้เลยนะ ขณะที่ผู้ปกครองหลายคนบอกว่าเขายอมให้ลูกเรียนดนตรีเพราะดูหนังเรื่องนี้ ผมว่าเรื่องอะไรพวกนี้มันยิ่งใหญ่กว่าเรื่องอื่น มันหมายถึงสิ่งที่เราทําออกไป มันได้พูดคุยกับคนจริง ๆ”

 

 

สำหรับ ‘ลักกันวันตาย’ จุดเริ่มต้นของมันมาจากเรื่องที่ใกล้ตัวและรีเลทกับชีวิตคนจำนวนมาก เขาจึงอยากชวนคนดูมาตั้งคําถามกับสังคมยุคปัจจุบันในหลากหลายแง่มุม ทั้งเรื่องค่านิยม และสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเรา

“ผมเชื่อว่าบัญชีที่ไม่เคลื่อนไหวสามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ในสังคม ไม่ว่าจะตัวเราเอง หรือคนรอบตัวเรา ชวนกันมาตั้งคําถามกับเงินที่เราหามาได้ วันหนึ่งเราอาจจะไม่ได้ใช้มันด้วยซ้ำ ทั้งที่ดิ้นรนกันมาขนาดไหน ในฐานะคนทํา ผมเริ่มต้นประเด็นนี้แล้วชวนคนดูมาคุยกันว่า คุณเห็นเรื่องราวแบบนี้แล้วคุณรู้สึกยังไง มันไม่ใช่เรื่องการขโมย แต่มันคือเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัวและการใช้ชีวิตมากกว่า”

สามารถรับชม ‘ลักกันวันตาย’ ได้แล้ววันนี้ทาง Netflix เท่านั้น