เหตุจากคลิป AI นักร้องดังแปลง บทสวดกุสลาธัมมา มาร้องเป็นเพลง | ธงชัย พรรณสวัสดิ์

เหตุจากคลิป AI นักร้องดังแปลง บทสวดกุสลาธัมมา มาร้องเป็นเพลง | ธงชัย พรรณสวัสดิ์

เหตุจากคลิปของ Mariah Carry และ Gloria Gaynor นำบทสวดในงานพิธีศพทางพุทธศาสนาของไทย คือบทสวดกุสลาธัมมาและสัพพีติโย มาร้องเป็นเพลงออกเผยแพร่

KEY

POINTS

  • นักวิชาการนำเสนอประเด็นถกเถียงในสังคม หลังจากมีคลิปไวรัลที่สร้างโดย AI แสดงภาพนักร้องดังระดับโลกนำบทสวดทางพุทธศาสนามาดัดแปลงเป็นเพลง
  • แม้คลิปดังกล่าวจะเป็นของปลอม แต่ชี้ให้เห็นแนวโน้มที่อาจเกิดขึ้นจริงในอนาคต และทำให้เกิดคำถามว่าจะส่งผลดีหรือผลเสียต่อวงการศาสนา
  • ผู้เขียนเสนอว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเตรียมรับมือกับกระแสนี้ โดยเน้นการสื่อสารกับคนกลุ่มกลางในสังคมเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง

เมื่อเร็วๆ นี้ มีคลิปของ Mariah Carey และ Gloria Gaynor นักร้องที่ได้รางวัลระดับโลกมาแล้วมากมาย เอาบทสวดในงานพิธีศพทางพุทธศาสนาของไทย คือบทสวดกุสลาธัมมาและสัพพีติโย มาร้องเป็นเพลงออกเผยแพร่ ทำเอาบางส่วนของสังคมเราปั่นป่วนและจิตตกที่มีคนเอาศาสนาซึ่งเป็นของสูงมาจาบจัวงปู้ยี่ปู้ยำเป็นของเล่น 

คนรุ่นก่อนส่วนใหญ่คงรับไม่ได้กับการกระทำเช่นนี้ แต่คนรุ่นใหม่เช่น Gen Z โดยเฉพาะคนที่ไม่นับถือศาสนาใดๆ แล้วที่มีจำนวนมากขึ้นๆ คงเห็นเป็นเรื่องปกติ   ซึ่งจะนำมาซึ่งการเห็นต่าง ถกเถียง โต้แย้ง หรือแม้กระทั่งทะเลาะกันได้หากคุมสติไม่อยู่

โชคดีที่คลิป เพลงจากบทสวด ทั้งสองนั้นข่าวบอกว่ามีคนทำขึ้นโดยใช้ AI และนักร้องดังทั้งสองคนนั้นไม่ได้เอาบทสวดมาร้องเป็นเพลงจริง  ถ้าเป็นเช่นนั้นเราก็ไม่ควรต้องตื่นตกใจเพราะมันเป็นผลผลิตของ AI ไม่ใช่ของจริง

ถ้าคิดตื้นๆเช่นนั้นก็คงใช่ แต่ถ้าคิดให้ลึกซึ้งจะรู้ว่าแม้จะเป็นผลผลิตจาก AI แต่มันก็เป็นเรื่องจริงในอีกรูปแบบหนึ่งของคนรุ่นใหม่ พวกเขายินดีที่จะเสพสิ่งที่ AI ผลิตขึ้นโดยไม่รู้สึกว่ามันผิดไปจากความเป็นจริง เพราะมันเป็นความจริงในสังคมของเขา

สิ่งที่ต้องถกกันต่อไปคือเมื่อมีการเอาบทสวดมาร้องเป็นเพลงป๊อปแบบนี้จะมีผลกระทบอย่างไรต่อวงการศาสนา และจะทำให้คนรุ่นใหม่สนใจศาสนามากขึ้นหรือไม่ 

ผมขอตอบด้วยทฤษฎี “ปิรามิดมนุษย์” ดังนี้  

ผมแบ่งปิรามิดออกเป็นสามส่วนอย่างหยาบๆ  ส่วนบนซึ่งมีขนาดเล็ก มีสัดส่วนของจำนวนคนน้อย แต่เป็นกลุ่มคนเก่ง คนมีความรู้ ฯลฯ ดีกว่าคนกลุ่มที่ส่วนกลางและฐานล่างของปิรามิด 

ทั้งนี้ ทฤษฏีปิรามิดนี้ใช้ได้กับทุกเรื่อง ไม่ใช่เฉพาะเรื่องคนจนคนรวย หรือคนฉลาดมากฉลาดน้อย แต่เพียงเท่านั้น

คนส่วนฐานล่างมีสัดส่วนของจำนวนคนมากที่สุด แต่มีข้อดีข้อเด่นน้อยที่สุด  ตรงข้ามกับคนกลุ่มส่วนบน  ส่วนคนส่วนกลางมีจำนวนและความสามารถในระดับกลางๆระหว่างส่วนบนและส่วนฐานของปิรามิด 

คนส่วนฐานจะด้อยกว่าคนอีกสองกลุ่มในแทบทุกเรื่อง จึงต้องได้รับการนำพาที่ถูกต้อง  สังคมโดยรวมจึงจะไปรอด

เรื่องศาสนาก็เช่นกัน คนส่วนฐาน(ไม่ได้หมายถึงคนจนนะครับ)ยังมุ่งอยู่กับการสวดอ้อนวอน ขอให้เทวดาหรือคนอื่นช่วย  ไม่นิยมขวนขวายหาทางพ้นทุกข์ด้วยตัวเอง ในขณะที่คนกลุ่มกลางพร้อมที่จะเรียนรู้ รวมทั้งสามารถเรียนรู้ได้เร็วกว่าคนส่วนฐาน 

คนสองกลุ่มนี้มีความต่างกันไม่มาก กลุ่มคนตรงกลางจึงเป็นต้นแบบหรือตัวอย่างให้คนกลุ่มฐานรากทำตามและเปลี่ยนตัวเองได้ดีกว่าคนที่ส่วนยอด

มีคนตั้งข้อสังเกตว่าถ้าเอาบทสวดมาร้องเป็นเพลงฮิต แต่ไม่ได้ให้ความหมายที่แท้จริง ก็ไม่ได้ทำให้คนรุ่นใหม่เข้าใจศาสนาดีขึ้นจนทำให้นับถือศาสนามากขึ้น  เผลอๆจะทำให้ศาสนาเสื่อมลงไปด้วยซ้ำ เพราะเป็นเรื่องของความบันเทิงที่พุทธศาสนาสอนว่าพวกนั้นเป็นกิเลสแบบหนึ่ง พึงหลีกเลี่ยง  

คำถามที่พึงถามสำหรับข้อสังเกตนั้น คือ แล้วที่คนไทยกลุ่มฐานของปิรามิดสวดมนต์กันอยู่ทุกวันๆ เขาเข้าใจความหมายของบทสวดเหล่านั้นหรือไม่  หรือเพียงแค่สวดเป็นนกแก้วนกขุนทองตามประเพณีนิยม 

ถ้าเป็นเช่นนั้นการเอาบทสวดมาร้องเป็นเพลงป๊อปก็คงไม่ได้ต่างอะไรไปจากการสักแต่ว่าสวดฯ นั้น

สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วและจะมีตามมาอีกเรื่อยๆนั้น (พูดไม่ทันขาดคำ ตอนนี้มีการเอา AI มาแปลงบทสวดคาถาชินบัญชร อิมัสมิงมงคล อิติปิโส ฯลฯ เป็นเพลงร้องกันแล้ว โดยเฉพาะเพลงท้ายนั้น AI กำหนดให้ Michael Jackson นักร้องดังก้องโลกเป็นผู้ร้องด้วยซ้ำ)มีผลกระทบอย่างไรต่อพุทธศาสนาของเรา  

ในช่วงร้อยปีที่ผ่านมามีทั้งพระและฆราวาสที่เทศน์และสอนโดยแทรกมุขตลก ซึ่งเป็นเรื่องของความบันเทิงเข้าไปด้วย มากขึ้นๆ จนสังเกตได้ 

บางรูปบางคนถึงกับใช้คำพูดและข้อความที่คนรุ่นเก่าเห็นว่าหยาบคายมาใช้ในการเทศน์หรือบรรยายเสียด้วยซ้ำ  แต่คนรุ่นใหม่กลับอินและปรบมือชอบใจกับการเทศน์หรือบรรยายรูปแบบนั้น 

หากฟังจากเนื้อหาสาระจริงๆแล้ว ที่ถูกต้องถูกธรรมใช้ได้ดี ก็มีมาก  คนรุ่นใหม่จึงเห็นว่าเขาได้ประโยชน์จากการฟังนั้นและพร้อมที่จะเปลี่ยนไปตามสิ่งดีๆที่เขาได้ฟังมา ยิ่งมีความบันเทิงมาแทรกอยู่มากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งชอบมากขึ้นเท่านั้น

ถ้าจะมองว่าเป็นเทคนิคทางการตลาดก็คงไม่ผิดนัก  และคนที่จะเปลี่ยนมาเป็นลูกค้า(หรือผู้ตาม)ได้เร็วก็คือคนกลุ่มกลางๆของปิรามิด  เมื่อเขาเปลี่ยนได้เขาก็จะเป็นคนที่สร้างแรงบันดาลใจให้คนที่ฐานปิรามิดเปลี่ยนตามด้วย 

ดังนั้น หากจะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเราก็ต้องเน้นและเริ่มที่คนกลุ่มกลางก่อนเป็นลำดับแรก

คำถามที่ต้องถามก่อนคือ การเอาบทสวดมาร้องเป็นเพลงเช่นว่านี้ มันมีสาระในตัวของมันพอที่จะทำให้คนหันมาสนใจศาสนาได้หรือไม่  คำตอบคือถ้าจะ(สวด)ร้องเพียงเพราะทำตามเน็ตไอดอลหรือเพราะกลัวตกเทร็นด์  แบบนี้ก็ยังเป็นนกแก้วนกขุนทองต่อไป  และอาจทำให้เกิดความแตกแยกในความคิดของคนต่างกลุ่มต่างวัยเสียด้วยซ้ำ

แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ที่แน่ๆ คือคนรุ่นใหม่เขาจะฟังเพลงที่เอาบทสวดมาดัดแปลงและร้องตามแน่ เพราะนักร้องเป็นนักร้องดัง เป็นไอดอลของเขา  เขาก็จะเลียนแบบและทำตาม แม้นั่นจะเป็นเอไอ มิใช่ตัวตนจริงของนักร้องเหล่านั้นก็ตาม

นักการศาสนาและหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบจึงต้องตีโจทย์หรือ pain point นี้ให้แตกเสียแต่เนิ่นๆว่าจะทำอะไร อย่างไร เมื่อไร โดยเน้นไปที่คนกลุ่มกลางในปิรามิดมนุษย์เป็นลำดับแรก เพื่อที่หากมีผลกระทบทางสังคมตามมาจริงๆ เราจะมีเครื่องมือพร้อมที่จะรับมือกับมันได้อย่างทันกาล

มันมาแน่ครับ