‘Lilo & Stitch’ กู้หน้า Disney! สร้างประวัติศาสตร์ ดันรายได้หนัง-ยอดขายสินค้าพุ่ง

‘Lilo & Stitch’ กู้หน้า Disney! สร้างประวัติศาสตร์ ดันรายได้หนัง-ยอดขายสินค้าพุ่ง

“Lilo & Stitch” กลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดอันดับ 2 ของปี ด้วยคาแร็กเตอร์ของ “Stitch” ทั้งน่ารักและป่วน

ผ่านมา 23 ปีแล้ว ที่โลกได้รู้จักกับ “สติทช์” (Stitch) เอเลี่ยนตัวสีฟ้า จากภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง “Lilo & Stitch” ของ “Disney” ทำรายได้เกือบ 275 ล้านดอลลาร์ จากนั้นมีภาคต่อเป็นหนังและซีรีส์ที่หลายเรื่อง และกลายเป็นหนึ่งในตัวละครที่คนทั้งโลกรู้จักอย่างดี จนกระทั่งได้กลับมาสร้างเป็นภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชันในปี 2025 ขึ้นแท่นเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดของปีเป็นอันดับ 2 และทำกำไรได้มากที่สุดเรื่องหนึ่งในรอบหลายปี

ภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชันรีเมคเรื่อง “Lilo & Stitch” ของ Disney สร้างด้วยงบประมาณ 100 ล้านดอลลาร์ และวางแผนไว้ในตอนแรกว่าจะฉายทางสตรีมมิ่ง “Disney+” แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจนำมาฉายในโรงภาพยนตร์ ซึ่งทำรายได้ทั่วโลกไปแล้วกว่า 618 ล้านดอลลาร์ (ข้อมูล ณ วันที่ 3 มิ.ย. 2568) หลังจากฉายในโรงภาพยนตร์เพียง 2 สัปดาห์

นักวิเคราะห์บ็อกซ์ออฟฟิศกล่าว น่าจะขายตั๋วได้ราว 950 ล้านดอลลาร์เมื่อสิ้นสุดการฉาย แต่อาจจะทำรายได้ถึง 1,000 ล้านดอลลาร์ได้ หากกระแสตอบรับในญี่ปุ่นดี ซึ่งจะเข้าฉายในวันศุกร์ที่ 6 มิ.ย. 2025 นั่นหมายความว่าหลังแบ่งรายได้จากการขายตั๋วกับโรงภาพยนตร์แล้ว Disney จะมีกำไร 300 ล้านดอลลาร์​หรือมากกว่านั้นจากรายได้จากบ็อกซ์ออฟฟิศเพียงอย่างเดียว

รายได้ภาพยนตร์ที่เพิ่มขึ้น ยิ่งตอกย้ำว่านโยบายการลดจำนวนออริจินัลคอนเทนต์ใน Disney+ และกลับมาให้ความสำคัญกับการฉายในโรงภาพยนตร์มากขึ้น ซึ่งเกิดหลังจากที่โรเบิร์ต เอ. ไอเกอร์ กลับมารับตำแหน่งซีอีโออีกครั้ง

“การฉายในโรงภาพยนตร์และขยายฐานผู้ชมทั่วโลกนั้นช่วยยกระดับทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการสมัครสตรีมมิ่ง สินค้าอุปโภคบริโภค และสวนสนุก แต่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ยากกว่าเมื่อเริ่มจากบริการสตรีมมิ่ง” อลัน เบิร์กแมน ประธานร่วมของ Disney Entertainment กล่าว

‘Lilo & Stitch’ กู้หน้า Disney! สร้างประวัติศาสตร์ ดันรายได้หนัง-ยอดขายสินค้าพุ่ง

Disney ตัดสินใจนำ “Moana 2” เข้าฉายในโรงภาพยนตร์เมื่อเดือนพ.ย. 2024 แทนที่จะฉายในสตรีมมิงเพียงอย่างเดียว ตามที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก ซึ่งสามารถทำรายได้ถึง 1,100 ล้านดอลลาร์จากการฉายโรง ทำให้ Disney ตัดสินใจนำ “Lilo & Stitch” เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ด้วยเช่นกัน

Lilo & Stitch เข้าฉายในสหรัฐชนกับของแข็งอย่าง “Mission: Impossible - The Final Reckoning” ของทอม ครูซ ซึ่งในตอนแรกแทบไม่มีใครคิดว่า Lilo & Stitch จะทำรายได้มากกว่า MI8 และเปิดตัวอันดับหนึ่งบนบ็อกซ์ออฟฟิศ 183 ล้านดอลลาร์ในช่วงหยุดยาววันรำลึกถึงผู้พลีชีพเพื่อชาติ 

ยอดขายตั๋วของ Lilo & Stitch แซงหน้าภาพยนตร์เรื่อง “Top Gun: Maverick” ของปี 2022 กลายเป็นภาพยนตร์เปิดตัวในช่วงสุดสัปดาห์วันรำลึกถึงผู้พลีชีพเพื่อชาติ (Memorial Day) ที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ 

“Disney ทำทุกอย่างถูกต้องในเรื่องนี้ พวกเขาสร้างภาพยนตร์ที่ผู้คนชื่นชอบ ด้วยต้นทุนที่เหมาะสม พวกเขาเลือกวันที่ออกฉายได้อย่างสมบูรณ์แบบ แถมทำการตลาด การประชาสัมพันธ์ และแคมเปญทางโซเชียลได้ดี” เควิน โกเอตซ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทวิจัยภาพยนตร์ Screen Engine/ASI กล่าว 

Lilo & Stitch” ประสบความสำเร็จอย่างมาก และพิสูจน์ให้เห็นว่า แนวคิดของเท็ด ซารานดอส ผู้บริหารของ Netflix ที่กล่าวว่าภาพยนตร์ที่ฉายในโรงภาพยนตร์เป็นแนวคิดที่ “ล้าสมัย” โดยซารานดอสชี้ไปที่บ็อกซ์ออฟฟิศกำลังประสบปัญหาในขณะนั้น ซึ่งเป็นช่วงที่ “Snow White” เข้าฉายแต่ล้มเหลวทั้งในด้านรายได้และคำวิจารณ์ ซารานดอสกล่าวว่า “นั่นหมายถึงอะไร ผู้บริโภคกำลังพยายามบอกอะไรกับเรา พวกเขาต้องการชมภาพยนตร์ที่บ้าน”

‘Lilo & Stitch’ กู้หน้า Disney! สร้างประวัติศาสตร์ ดันรายได้หนัง-ยอดขายสินค้าพุ่ง

ตามข้อมูลของ IMDBpro ฐานข้อมูลอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา มีภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชั่นเพียง 3 เรื่องที่ใช้งบประมาณ 100 ล้านดอลลาร์หรือต่ำกว่า (ไม่รวมการตลาด) ที่สามารถทำรายได้จากการขายตั๋วได้ถึง 950 ล้านดอลลาร์ คือ “Oppenheimer” (Universal Pictures), “Joker” (Warner Bros.) และ “Jumanji: Welcome to the Jungle” (Sony Pictures Entertainment)

แต่กำไรของภาพยนตร์เหล่านี้ไม่ได้เข้าสตูดิโอผู้สร้างทั้งหมด ตัวอย่างเช่น คริสโตเฟอร์ โนแลน ผู้เขียน กำกับ และอำนวยการสร้าง “Oppenheimer” ได้รับส่วนแบ่งจากการขายตั๋ว ส่วน Village Roadshow ได้รับส่วนแบ่งจากรายได้จาก “Joker” หลังจากเป็นพันธมิตรด้านการเงินของ Warner Bros. 

ต่างจาก “Lilo & Stitch” ที่ Disney ไม่จำเป็นต้องจ่ายรายได้ให้กับผู้สร้างภาพยนตร์หรือดารา และก็ไม่มีพันธมิตรทางการเงินที่จะต้องจ่ายด้วย

นอกเหนือจากการขายตั๋วแล้ว นักวิเคราะห์คาดว่า “Lilo & Stitch” จะทำกำไรได้หลายสิบล้านดอลลาร์จากการเช่าและขายแบบดิจิทัล (ที่เรียกว่าพรีเมียมวิดีโอออนดีมานด์) แม้ว่าจะวัดผลได้ยาก แต่ “Lilo & Stitch” จะสร้างมูลค่าให้กับ Disney+ โดยช่วยในเรื่องการสมัครใช้และการขายโฆษณา ซึ่งนักวิเคราะห์ประเมินว่ายอดขายผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภคที่เกี่ยวข้องจะเพิ่มกำไรได้ถึง 400 ล้านดอลลาร์ต่อปี
 

‘Lilo & Stitch’ กู้หน้า Disney! สร้างประวัติศาสตร์ ดันรายได้หนัง-ยอดขายสินค้าพุ่ง

ด้วยรายได้ที่ดีขนาดนี้ แน่นอนว่าหนังภาคต่อคงจะตามมาในอีกไม่นานเกินรอ จักรวาลของ Lilo & Stitch ยังมีเรื่องให้เล่าได้อีกมากมาย แต่ต่อให้ไม่มีคอนเทนต์ Lilo & Stitch ออกมาใหม่ ยอดขายสินค้าของสติทช์ก็ทำรายได้ในปี 2024 ได้มากถึง 2,600 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นอย่างมากในปี 2019 ที่ทำรายได้ไปเพียง 200 ล้านดอลลาร์เท่านั้น เห็นได้ชัดว่าผู้คนรักสติทช์มากแค่ไหน แม้ว่าเด็กหลาย ๆ คนจะเกิดไม่ทันช่วงที่สติทช์เข้าฉายเมื่อ 23 ปีที่แล้วก็ตาม

รายงานทางการเงินประจำปีของ Disney สำหรับปี 2023 และ 2024 ได้รวม Lilo & Stitch ไว้ในรายชื่อของตัวอย่างทรัพย์สินที่มีลิขสิทธิ์หลัก จำนวน 9 รายการ ร่วมกับการ์ตูนในตำนานไม่ว่าจะเป็น Winnie the Pooh, Mickey and Friends, Star Wars และแก๊งเจ้าหญิงดิสนีย์

ริชาร์ด นอร์ธ ประธานบริษัทผลิตของเล่น WOW! Stuff กล่าวว่า “สติทช์ มีดีไซน์และคาแรกเตอร์ที่โดดเด่น ทำให้เขาดึงดูดเด็ก ๆ และวัยรุ่นทุกช่วงวัยได้ และปัจจุบันเราก็เห็นการกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งอย่างมาก”

สติทช์ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในหมู่ผู้บริโภคจำนวนมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสติทช์เป็นเอเลี่ยน ไม่ได้เป็นตัวแทนของคนชาติใดชนชาติหนึ่ง ไม่ได้มีช่วงอายุ เห็นได้จากยอดขายของ Stitch Puppetronic หุ่นอิเล็กทรอนิกส์ขนาด 18 นิ้วจาก Wow! Stuff ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นของเล่นแห่งปี 2025 ที่ลูกค้ากว่า 40% จากทั้งหมดมาจาก ผู้บริโภคที่มีอายุ 13 ปีขึ้นไป รวมถึงผู้ที่ชื่นชอบ Gen Z และนักสะสมวัยกลางคน 

‘Lilo & Stitch’ กู้หน้า Disney! สร้างประวัติศาสตร์ ดันรายได้หนัง-ยอดขายสินค้าพุ่ง Stitch Puppetronic ของเล่นขายดี จาก Wow! Stuff

นอร์ธกล่าวว่า กลุ่มลูกค้าที่อายุต่ำกว่า 13 ปีจะมีทั้งชายและหญิงเท่า ๆ กัน แต่ถ้าหากเป็นกลุ่มแฟน ๆ ที่มีอายุมากกว่า ส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง พร้อมระบุว่ากลุ่มลูกค้าของสติทช์มีขนาดใหญ่มากที่สุด กว้างขวางที่สุด และครอบคลุมทุกด้านเท่าที่มีมา

“เขาเป็นหนึ่งในตัวละครพิเศษที่สามารถสร้างชีวิตชีวาให้กับตัวเองผ่านผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้” ทาเซีย ฟิลิปปาโตส ประธานบริษัท Disney Consumer Products กล่าว อีกทั้งยังระบุด้วยว่าบุคลิกที่ “ขี้เล่น” และ “ซุกซน” ของสติทช์สามารถถ่ายทอดไปยังผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ทั่วโลกได้อย่างง่ายดาย

สติทช์จึงเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ที่จดจำได้ทันที เหมือนกับมิกกี้เมาส์ แต่สติทช์ต่างจากมิกกี้ ตรงที่สติทช์ดูไม่เข้าพวกและเป็นภัยคุกคาม 

“หากตัวละครดิสนีย์ เช่น มิกกี้ โดนัลด์ และกูฟฟี่ จัดงานปาร์ตี้คริสต์มาส พวกเขาจะไม่เชิญสติทช์ แต่ถ้าตัวร้ายหลายตัวจัดงานปาร์ตี้ พวกเขาจะไม่เชิญสติทช์เช่นกัน ตอนที่ผมนึกถึงเรื่องนั้น ผมก็รู้ว่าสติทช์มีตัวตนอยู่ในเขตระหว่างความดีและความชั่ว เขาอยู่ในโลกเดียวกับเรา” คริส แซนเดอร์ส ผู้ให้กำเนิด ผู้เขียนบทและผู้กำกับ Lilo & Stitch กล่าว

ด้วยสถานะพิเศษดังกล่าว สติทช์จึงสามารถประพฤติตัวไม่เหมาะสม ในลักษณะที่ตัวละคร Disney ตัวอื่น ๆ ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำ แต่ยังคงเชื่อมโยงกับผู้บริโภคได้อย่างดี โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ จนสติทช์ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในตัวละครที่ผู้คนนึกถึงเมื่อพูดถึง Disney 


ที่มา: Good to KnowThe New York TimesThe New York Times 1Variety

‘Lilo & Stitch’ กู้หน้า Disney! สร้างประวัติศาสตร์ ดันรายได้หนัง-ยอดขายสินค้าพุ่ง