Hyper Knife ก็ใครเล่าจะเข้าใจฆาตกรโรคจิต (ถ้าไม่ใช่พวกเดียวกัน)

เข้มข้น ลุ้นระทึก มีเรื่องหักมุมชวนให้ติดตามได้ทุกตอน Hyper Knife เมื่อแพทย์สมองอัจฉริยะสองคนต้องห้ำหั่นกันเพราะ “ความหมกมุ่น” จนกลายเป็น “ความบ้าคลั่ง” ของทั้งคู่
ถือเป็นซีรีส์เกาหลีที่ประสบความสำเร็จอีกเรื่องหนึ่งของ Disney+ สำหรับ Hyper Knife ซีรีส์แนว medical thriller ที่พูดถึงการเชือดเฉือนระหว่างแพทย์สมองอัจฉริยะ 2 คน ที่หนึ่งคืออาจารย์หมอ และหนึ่งคือลูกศิษย์สาวอนาคตไกล ที่ต่างฝ่ายต่าง “คลั่งไคล้” การผ่าตัดสมองชนิดยอม “เดิมพันด้วยชีวิต” เหมือนกันทั้งคู่
ข้อมูลจาก FlixPatrol ผู้จัดเก็บข้อมูลการรับชมคอนเทนต์ OTT ทั่วโลกระบุว่า นอกจากที่เกาหลีใต้แล้ว Hyper Knife ยังสามารถไต่ขึ้นไปครองอันดับ 1 ได้ที่ไทย และฮ่องกงในวันเปิดตัว ทั้งยังติดอันดับ Top 10 ในหลายตลาด เช่น เปรู สิงคโปร์ ตุรกี และเวเนซุเอลา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความนิยมในระดับสากล
Hyper Knife เป็นเรื่องราวของ จองเซอ๊ก (พัคอึนบิน) ศัลยแพทย์สมองอัจฉริยะที่แค้นอาจารย์หมอ ชเวด็อกฮี (ซัลคยองกู) ศัลยแพทย์สมองที่เก่งกาจระดับโลกชนิดเข้าไส้ เพราะเขาเป็นคนทำให้ชีวิตของเธอพังทลาย ถูกยึดใบประกอบวิชาชีพจนต้องกลายไปเป็นหมอเถื่อน ทำงานใต้ดินแบบลับ ๆ
แต่แล้ววันหนึ่งหมอด็อกฮีกลับมาขอให้เซอ๊กผ่าตัดสมองให้กับตัวเอง เพราะไม่มีคนไหนบนโลกนี้แล้วที่จะทำได้อีกนอกจากเธอ เรื่องราวบุญคุณความแค้น และความลับอันดำมืดของทั้งลูกศิษย์และอาจารย์จึงค่อย ๆ เผยออกมาให้เราได้รับรู้กัน
มีเรื่องหักมุมให้ ‘ว้าว’ ตลอดเวลา
นับถึงปัจจุบัน (30 มีนาคม 2568) Hyper Knife ฉายไป 4 ตอนแล้ว แต่นับวันยิ่งเข้มข้น ระทึกขวัญ สร้างความตื่นเต้นเร้าใจชวนติดตามได้มากขึ้นทุกตอน
เพราะนิสัยใจคอ และการกระทำของ เซอ๊ก ไม่อาจคาดเดาได้ ด้วยความที่เธอไม่ใช่คนธรรมดาเหมือนพวกเรา แต่เป็นอัจฉริยะที่ฉลาดล้ำ แถมยังเป็น ไซโคพาธ (Psychopath) ซึ่งกรมสุขภาพจิตให้นิยามเอาไว้ว่าเป็นคนที่มีบุคลิกภาพผิดปกติ ขาดความเห็นใจผู้อื่น ขาดความสำนึกผิด ไม่เกรงกลัว ขาดความยับยั้งชั่งใจ และเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง
อย่างไรก็ตามต้องทำความเข้าใจก่อนว่า Hyper Knife ไม่ใช่ซีรีส์แนวการแพทย์เหมือนหลายเรื่องที่ผ่านมา ถึงแม้จะมีการผ่าตัดสมองให้เห็นอยู่หลายฉาก แต่จริง ๆ แล้วเป็นซีรีส์ไซโคทริลเลอร์แนว character study ซึ่งเราจะได้รับรู้เบื้องลึกในจิตใจของตัวละครอย่าง เซอ๊ก และอาจารย์ด็อกฮีกันอย่างลึกซึ้งว่าพวกเขา “บ้า” ได้มากขนาดไหน
สิ่งที่ต้องชมคือ นักแสดงนำทั้งคู่ พัคอึนบิน และซัลคยองกู เอาอยู่กับบทที่ได้รับชนิดที่คนดูรู้สึกว่าพวกเขาเป็นตัวละครนั้นจริง ๆ
โดย เซอ๊ก นั้นมีความหัวร้อน อารมณ์รุนแรง ควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่ขณะเดียวกันก็มีความเป็นเด็กอยู่ในตัว และคาดเดาไม่ได้ เพราะเธอไม่สนสี่สนแปด สามารถทำอะไรแหกคอก นอกกฎหมาย หรือผิดศีลธรรมได้หน้าตาเฉย ซึ่งพัคอึนบินสามารถเก็บรายละเอียดพวกนี้ได้ครบหมด ทั้งแววตา รอยยิ้ม ท่าทางการเดิน การเหลือบตามองนิ่ง ๆ หรือการระเบิดอารมณ์ออกมา
(ขอบอกว่ามีหลายซีนที่ เซอ๊ก ยิ้มได้แบบโรคจิตสุดๆ ถ่ายทอดออกมาถึงทั้งในรอยยิ้มและแววตา)
ในขณะที่ ด็อกฮี มีความสุขุมนิ่งลึกจนเราไม่สามารถอ่านใจเขาได้เลยว่าคิดอะไรอยู่ ซึ่งซัลคยองกูสามารถถ่ายทอดออร่าความเป็นอาจารย์หมอผู้เย็นชา เลือดเย็นออกมาให้สัมผัสได้โดยไม่ต้องอาศัยการแสดงที่มันโอเวอร์แอคติ้งเลย
“ความหลงใหล” มากเกินไปนำไปสู่ “ความบ้าคลั่ง”
Hyper Knife พูดถึงประเด็นที่ค่อนข้างหนักอย่าง การผ่าตัดผิดกฎหมาย ศีลธรรมทางการแพทย์ การฆาตกรรม แต่ผู้กำกับ คิมจองฮยอน ย้ำว่ามันเป็นการต่อสู้ในเชิงจิตวิทยาที่มีไดนามิกและความสัมพันธ์ของตัวละครเป็นแกนหลักของเนื้อเรื่อง
“เราโฟกัสที่การเปิดเผยบุคคลิกภาพ และพัฒนาการความสัมพันธ์ของพวกเขา เซอ๊ก เป็นคนที่มีพลังเยอะ และแสดงอารมณ์ความรู้สึกออกมามากไป ขณะที่ความสงบนิ่งของ ด็อกฮี จะถูกนำมาขับเน้นให้เห็นถึงความขัดแย้งของทั้งคู่ในหลาย ๆ ทาง”
ในขณะที่ พัคอึนบิน บอกว่าซีรีส์เรื่องนี้จะวนเวียนอยู่กับความดิบ ความตึงเครียดระหว่าง ด็อกฮี กับ เซอ๊ก โดยในตอนแรกคนดูอาจจะต้องทำความเข้าใจกับตัวละครมากหน่อย แต่เมื่อเนื้อเรื่องดำเนินไปเรื่อย ๆ คนดูก็จะเริ่มเข้าใจว่าตัวละครพยายามทำอะไร และแสดงอะไรออกมา
เสริมด้วย ซัลคยองกู ที่บอกว่าถึงแม้ตัวละครสองตัวนี้จะมีความเกลียดชังกันอย่างรุนแรง แต่ก็มีความเหมือนกันอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งเขาหวังว่าผู้ชมจะเข้าใจรายละเอียดที่ซ่อนอยู่ลึก ๆ รวมถึงอารมณ์ที่ถูกถักทอขึ้นผ่านความสัมพันธ์ของพวกเขา
ติดตามชมตอนใหม่ของ Hyper Knife ได้ทุกวันพุธ ทางดิสนีย์พลัส ฮอตสตาร์ โดยตอนที่ 5-6 จะสตรีมวันที่ 2 เมษายน และตอนที่ 7-8 จะสตรีมวันที่ 9 เมษายน





