'คณิกา' ยุคแม่แฟง(คุณพี่เจ้าขา)ถึงยุคสมัยที่เปลี่ยนไป

'คณิกา' ยุคแม่แฟง(คุณพี่เจ้าขา)ถึงยุคสมัยที่เปลี่ยนไป

คณิกาถูกกฎหมาย ในสมัยรัชกาลที่ 3-5 ในละครคุณพี่เจ้าขา อิฉันเป็นห่านไม่ใช่หงส์  และบางกอกคณิกา ถึงยุคปัจจุบันที่ไม่ถูกกฎหมายยังเป็นที่ถกเถียง

คุณพี่เจ้าขา อิฉันเป็นห่านไม่ใช่หงส์ ทางสถานีช่อง 3 กำลังเป็นที่ชื่นชอบของคนดู เล่าถึงเหล่าคณิกาในมุมที่ดูมีชีวิตชีวา ไม่ได้ฉายภาพหญิงงามเมืองรันทด หดหู่ แต่เน้นสีสันความสวยงามบันเทิงใจ อิงประวัติศาสตร์สมัยรัชกาลที่ 3 

เรื่องราวเกี่ยวกับ นิทรา นักแสดงสาวย้อนอดีตมาเป็นบุณตา คณิกาโรงแม่แฟง และได้เจอคนรักคือ หลวงทุกขราษฎร์ (ภณ ณวัสน์) ราชทินนาม ตำแหน่งกรมการเมือง ซึ่งต่อมาสมัยรัชกาลที่ 4 เปลี่ยนราชทินนามใหม่เป็นหลวงบรรเทาทุกขราษฎร์

เรื่องนี้เลือกนักแสดงสวมบทบาทได้ดีทีเดียว โดยเฉพาะบุณตา (โบว์ เมลดา) ปีนี้น่าจะเป็นปีทองของเธอ เรื่องนี้จะจบลงในเดือนเมษายน 2568

 

ส่วน บางกอกคณิกา ทางช่องวัน แม้จะจบไปหลายเดือนแล้ว ก็ยังมีประเด็นน่ากล่าวถึง สามคณิกาสมัยรัชกาลที่ 5 ในยุคการค้าประเวณีรุ่งเรือง อาชีพที่โดนเหยียดศักดิ์ศรีความเป็นคน พยายามต่อสู้เพื่อปลดแอก และกอบกู้ศักดิ์ศรีของพวกเธอ

เรื่องนี้ทำให้อิงฟ้า วราหะ ที่รับบทกุหลาบ เข้าชิงรางวัลนักแสดงนำหญิงในงานประกาศรางวัลนาฏราช ครั้งที่ 16 ประจำปี 2567 ของสมาพันธ์สมาคมวิชาชีพวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ รอบตัดสินวันอาทิตย์ที่ 18 พ.ค. 2568

ทั้งสองเรื่องนำเสนอเรื่องราวคณิกาย่านสำเพ็ง ยุครัชกาลที่ 3 และรัชกาลที่ 5 อาชีพขายบริการที่ถูกต้องตามกฎหมาย และต้องเสียภาษีเหมือนคนทั่วไป แต่ไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม

สำนักคณิกาสมัยก่อนเรียกกันว่า โรงรับชำเราบุรุษ เป็นที่รู้จักในชื่อ โคมเขียวแห่งสำเพ็ง ซึ่งเป็นกิจการที่เฟื่องฟู จนเหล่าคณิกาของโรงแม่แฟงสามารถรวบรวมเงินสร้างวัดถึง 2 แห่ง คือ วัดคณิกาผล (ตรงข้ามสถานีตำรวจนครบาลพลับพลาไชย) วัดแห่งนี้สร้างตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 เดิมทีเรียกว่า วัดใหม่ยายแฟง

 

'คณิกา' ยุคแม่แฟง(คุณพี่เจ้าขา)ถึงยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ปัจจุบันยังมีรูปหล่อยายแฟงภายในอาคารหลังอุโบสถวัด คนมักมาขอพรเรื่องคนรัก การงานและเงินๆ ทองๆ โดยเฉพาะคนที่ทำธุรกิจขายบริการ และคนในแวดวงบันเทิง ส่วนอีกวัดที่คุณหนูกลีบ ลูกสาวแม่แฟง ร่วมบุญสร้างที่ตรอกเต๊า เยาวราช นั่นก็คือ วัดกันมาตุยาราม

แม่แฟงที่เกิดในช่วงยุครัชกาลที่ 3 สามารถมีรายได้จากการขายบริการทางเพศจนกลายเป็นเศรษฐี  ซึ่งสมัยนั้นการสร้างวัดได้ขนาดนั้นถือว่าเป็นหน้าเป็นตา 

มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ยืนยันอีกว่า การค้าประเวณีเริ่มมีตั้งแต่ช่วงติดต่อค้าขายกับชาติตะวันตกในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ ตามประมวลกฎหมายตรา 3 ดวง บทพระไอยการลักษณะผัวเมีย มีการบัญญัติผู้ค้าประเวณีว่าหญิงนครโสเภณี และสมัยรัชกาลที่ 5 เรียกสถานประกอบการเรียกว่า โรงหญิงนครโสเภณี โดยทั่วไปมีโคมสีเขียวตั้งข้างหน้า

ในช่วงรัชกาลที่ 5 (พ.ศ. 2411-2453) ไทยได้รับอิทธิพลจากตะวันตกหลายด้าน จึงเกิดการปฏิรูประบบราชการและสังคม รวมถึงความพยายามควบคุมโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มีการออกกฎหมายเพื่อควบคุมสถานบริการทางเพศ

นอกจากนี้ยังมีการขึ้นทะเบียนหญิงโสเภณี และโปรดให้สร้างโรงพยาบาลหญิงคนชั่ว เพื่อให้บริการรักษาพยาบาลหญิงงามเมือง จนมาถึงช่วงรัชกาลที่ 6 เปลี่ยนชื่อเป็นโรงพยาบาลกลาง

แต่ยุคสมัยที่เปลี่ยนและแนวคิดผู้นำประเทศ ทำให้อาชีพของหญิงงามเมืองที่เรียกว่า โสเภณี กลายเป็นอาชีพต้องห้าม เมื่อรัฐบาลจากการนำของพล.อ.สฤษดิ์ ธนะรัชต์ บริหารประเทศออก พ.ร.บ.ปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 ทำให้การค้าประเวณีกลายเป็นความผิดทางกฎหมาย

และต่อมามีการร่างเป็น พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 ก็ยังผิดกฎหมาย

ปัจจุบัน ถ้าจะให้อาชีพโสเภณีถูกต้องตามกฎหมาย จึงมีการเสนอให้จดทะเบียน Sex worker ซึ่งมีทั้งฝ่ายเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย ยังหาบทสรุปไม่ได้

แต่ที่แน่ๆ อาชีพการขายบริการทางเพศไทยติดอันดับต้นๆ ที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกนิยมใช้บริการ แม้จะสร้างความไม่พอใจให้คนในประเทศ ก็คือความจริงที่เกิดขึ้น