A Complete Unknown 'บ็อบ ดีแลน' & เพลงสะท้อนสังคมอเมริกันยุค 60

ไม่ใช่แค่หนังที่เราจะได้ฟังเพลงเพราะ ๆ ของ 'บ็อบ ดีแลน' เท่านั้น แต่ A Complete Unknown ยังมีแง่มุมทางประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกัน และโลกยุคสงครามเย็นให้ได้ดูกัน
ภาพยนตร์เรื่อง A Complete Unknown ที่กำลังลงโรงฉายในบ้านเราอยู่ขณะนี้ มีความน่าสนใจในหลายมิติ
นอกเหนือจากความบันเทิงแล้ว หนังชีวประวัติ ‘บ็อบ ดีแลน’ เรื่องนี้ยังเชื่อมโยงกับการเมืองอเมริกัน และการเมืองระดับโลกในยุค 60 อย่างไม่สามารถแยกออกจากกันได้
บ็อบ ดีแลน (Bob Dylan) เป็นนักร้องนักแต่งเพลงผู้ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์วงการดนตรี บทเพลงของเขามีเนื้อหากินใจ และไพเราะราวบทกวี จนถึงขนาดเป็นนักร้องคนแรกของโลกที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมไปครอง (แม้เจ้าตัวจะไม่สนใจ และไม่ไปรับรางวัลก็ตาม)
A Complete Unknown หยิบยกเอาเหตุการณ์ในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1961-1965 มาเล่าขาน ช่วงที่ บ็อบ เด็กหนุ่มวัย 19 ปี จากมินเนโซตา เดินทางมาแสวงโชคในนิวยอร์กพร้อมกีตาร์เพียงตัวเดียว และเงินในกระเป๋าเพียง 5 เหรียญ แต่กลับสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับวงการดนตรี
ช่วงต้นทศวรรษ 1960 เป็นช่วงที่สหรัฐอเมริกาเผชิญการเปลี่ยนแปลงทางสังคม การเมือง และวัฒนธรรมครั้งใหญ่ หนังทำให้เราเห็นภาพผู้คนที่ได้รับผลกระทบจากความตึงเครียดของสงครามเย็นที่นำไปสู่วิกฤตขีปนาวุธ Cuban Missile Crisis, การลอบสังหารประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้ และอีกหลายเหตุการณ์
ขบวนการต่อต้านสงคราม และขบวนการเรียกร้องสิทธิพลเมืองผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ศิลปะอย่างดนตรีเองก็กลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือแสดงความคิดเห็นทางการเมืองด้วยเช่นกัน ซึ่งนั่นทำให้หนุ่มน้อยอัจฉริยะที่สามารถกุมหัวใจผู้คนอย่าง บ็อบ ดีแลน ก็ถูกชักจูงเข้าสู่ขบวนการที่กำลังมองหาผู้นำโดยไม่ได้ตั้งใจ
นอกเหนือจากเหตุการณ์ทางการเมืองดังที่กล่าวมาแล้ว หนังยังทำให้เราได้รับรู้ว่าเพลงฮิตระดับตำนานของ บ็อบ ดีแลน อย่าง Blowin’ In The Wind, Mr. Tambourine Man, Like A Rolling Stone นั้นถูกแต่งขึ้นมาในสถานการณ์แบบใด แล้วมันมีนัยยะสำคัญอย่างไรบ้าง
รวมถึงเรื่องที่ว่า บ็อบ ดีแลน นั้นเกลียดเพลงที่ฮิตที่สุดในชีวิตของเขา เพลงที่ตั้งคำถามเชิงปรัชญาของชีวิตได้ลึกซึ้งอย่าง Blowin’ In The Wind จนถึงขนาดไม่ยอมเล่นบนเวที ทั้งที่มีคนนับพันมารอฟังเขาเล่นเพลงนี้
A Complete Unknown เป็นผลงานของ เจมส์ แมนโกลด์ ผู้กำกับมือดีที่ทำหนังเข้าชิงออสการ์มาแล้วหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น Girl, Interrupted, Logan, Ford v Ferrari โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Walk the Line หนังชีวประวัติ จอห์นนี แคช นักร้องเพลงคันทรีระดับตำนาน ที่ทำให้ รีส วิเธอร์สปูน คว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมมาครองได้
ตอนนี้คอหนังกำลังลุ้นกันว่า ทิโมธี ชาลาเมต์ จะคว้ารางวัลออสการ์ไปครองตามรอย รีส วิเธอร์สปูน ได้หรือไม่ เพราะเขาทุ่มสุดตัวในการรับบท บ็อบ ดีแลน วัยหนุ่มถึงขนาดเตรียมตัวนาน 5 ปี ตอนถ่ายทำก็งดใช้มือถือนานถึง 3 เดือน
ในเรื่องนี้ ทิโมธี ชาลาเมต์ ทั้งร้องเพลงและเล่นกีตาร์ด้วยตัวเอง แถมยังถอดสำเนียงการพูดจาแบบยานคาง เหมือนคนเมาของบ็อบ ดีแลน ออกมาได้คล้ายคลึง จนทำให้เขาคว้ารางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากเวที SAG Awards ไปกอดแล้วหนึ่งตัว
มาร่วมลุ้นกันเช้าวันจันทร์ 3 มีนาคมนี้ว่า A Complete Unknown จะได้ออสการ์ไปครองกี่ตัว พร้อมกับการรับชม ‘ลิซ่า’ สร้างชื่อให้กับประเทศไทย ด้วยการขึ้นแสดงบนเวทีประกาศรางวัลด้านภาพยนตร์ระดับโลกนี้อีกด้วย







