ท่าน ว.วชิรเมธี เผยขอยังไงให้เห็นผล อธิษฐานอย่างเดียวคือพลาด!

ท่าน ว.วชิรเมธี เผยขอยังไงให้เห็นผล อธิษฐานอย่างเดียวคือพลาด!

รายการ WOODY FM ล่าสุด พบกับ ท่าน ว.วชิรเมธี ที่มาเผยหลักการขอให้สัมฤทธิ์ผลต้องทำอย่างไร และปรากฏการณ์ที่คนยุคนี้หันหลังให้ศาสนา ชี้พระต้องถามตัวเอง พลาดตรงไหน?

รายการ WOODY FM ของ วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา ล่าสุด พบกับ พระเมธีวชิโรดม หรือ ท่าน ว.วชิรเมธี ที่ได้มาเผยถึงหลักการขอให้สัมฤทธิ์ผลต้องทำอย่างไร พร้อมกล่าวถึงปรากฏการณ์ที่วัยรุ่นยุคนี้หันหลังให้กับพุทธศาสนา เพราะความนิยมที่ลดลงไม่เข้าวัดในปัจจุบัน และกระแสการมูจากเทพที่มีอย่างมากมายในเมืองไทย

 

 

หลายคนเชื่อว่าการกราบพระพุทธรูปและการขอคือเส้นทางที่ถูกต้องในการปฏิบัติ การขอให้สัมฤทธิ์ผลต้องทำยังไง?

 

ท่าน ว.วชิรเมธี : การขอที่แท้จริง คือขอให้เรามีปัญญาเป็นของตัวเอง ถ้าเรามีปัญญาเป็นของตัวเองแล้ว เราก็จะขอจากสิ่งอื่นน้อยลงๆ จนไปถึงจุดหนึ่งเราจะไม่ขออะไรเลย เพราะเรารู้แล้วว่าโลกนี้มันไม่มีสิ่งที่เราเรียกว่าซุปเปอร์เพาเวอร์ ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้เป็นไปตามหลักเหตุปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมีเป็นแก่นธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าและก็สอดคล้องกับความเป็นจริงของโลกด้วย


 
ถ้าเราเข้าใจหลักนี้ อยากได้อะไรคุณไม่จำเป็นต้องขอก็ได้ แต่ว่าคุณควรจะตั้งเป้าหมาย การตั้งเป้าหมายคือการปักหมุดว่าเราจะนำพาชีวิตไปที่ไหนแล้วลงมือเดินทางด้วยตัวเอง คนไทยมักจะเข้าผิดว่าตั้งปณิธานอย่างเดียว อธิษฐานอย่างเดียวแล้วก็รอรับเลย นี่คือจุดที่เราพลาด ขออย่างเดียวแต่มันไม่ได้จบตรงนั้น ถ้ามันง่ายอย่างนั้นโลกนี้จะมีคนผิดหวังไหม ฉะนั้นลำพังการขอไม่เคยนำพาใครให้สมปรารถนาได้ เราต้องตั้งจิตอธิษฐาน จากนั้นลงมือสร้างเหตุ สร้างปัจจัย สร้างเงื่อนไข ให้เราไปถึงความคิด ความฝัน ความปรารถนาของเรา

 

 

ทุกวันนี้วัยรุ่นหันหลังให้กับศาสนา ความนิยมของพระก็ลดลง ไม่เข้าวัด ท่านมองปรากฏการณ์นี้อย่างไร?

 

ท่าน ว.วชิรเมธี : พระอาจารย์รับได้สบายๆ เลยนะ เพราะเรามองในสเกลที่ให้ใหญ่กว่านั้น ในโลกตะวันตกทุกวันนี้คนที่บอกว่าไม่มีศาสนามีมหาศาล ในประเทศกลุ่มสแกนดิเนเวียคนที่บอกว่าไม่นับถือศาสนาอะไรเลยมีมากถึง 60% หมายความว่าเมื่อคนเรามีปัญญามากขึ้นๆ เขาจะใช้ศาสนาแห่งเหตุผลมาแทนศาสนาแบบองค์กร ดังนั้นถ้ามนุษย์มีสติปัญญาสูงขึ้นๆ เขาจะให้เหตุผลมาเป็นแหล่งอ้างอิงทางจริยธรรม


 
สมัยก่อนถ้าเราปัญญายังไม่มาก จะทำดีทำชั่วทำอะไรก็ต้องบอกนี่พระท่านบอกไว้ เบื้องบนท่านบอกไว้ เราต้องกลัวเกรงนะ ถ้าทำไม่ดีตกนรก ทำดีขึ้นสวรรค์ ยุคที่เรายังพัฒนาไม่มากก็ต้องอ้างอิงจริยธรรมจากศาสนา วันหนึ่งวิทยาศาสตร์เจริญขึ้นๆ คนเราคิดอะไรได้อย่างเป็นตัวของตัวเองและคิดอะไรได้อย่างสมเหตุสมผลมากขึ้น เขาก็เข้าถึงปัญญา แล้วปัญญานั่นคือแก่นของศาสนาพุทธ พระอาจารย์ไม่เดือดเนื้อร้อนใจถ้าคนรุ่นใหม่จะเข้าวัดน้อยลงแต่เขาใช้ชีวิตอย่างมีเหตุผลมากขึ้น ถ้าเขามีปัญญาอยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องมาเดินตามพระพุทธเจ้าก็ได้


 
ถ้าคนรุ่นใหม่มีสติปัญญา รู้อะไรดีชั่วด้วยตัวเขาเองแล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีวิจารณญาณด้วยตัวเอง ไม่ต้องมาให้พระนำทางก็ได้ เขากำลังอยู่ในเส้นทางของศาสนาที่แท้จริง แต่เขาจะหันหลังให้เชิงรูปแบบ เชิงวัฒนธรรม ฉะนั้นถ้ามองในแง่นี้ วัยรุ่นกำลังเข้าถึงแก่นศาสนาโดยที่ไม่จำเป็นจะต้องมาทำพิธีกรรมต่างๆ ก็ได้ ไม่มีปัญหาอะไร แม้ว่าไม่ต้องเข้าถึงศาสนาโดยการนำพาของพระสงฆ์ก็ได้ อันนี้มองในแบบใจกว้างที่สุด


 
แต่ถ้ามองในแบบไทยอนุรักษ์นิยม อันนี้ก็ต้องคิดว่าถ้าคนรุ่นใหม่เริ่มหันหลังให้พระศาสนา พระเราก็ต้องมาถามตัวเองแล้วว่า เราพลาดตรงไหน? อะไรกันที่ทำให้คนรุ่นใหม่เขารู้สึกว่า ศาสนาไม่ใช่แหล่งแห่งแรงบันดาลใจสำหรับเขาอีกต่อไป รู้สึกว่าพระไม่ใช่ไอดอลทางปัญญาอีกต่อไป ถ้ามองในแง่นี้ก็ต้องหันกลับมาพิจารณาแล้วว่าคำสอนของเราเป็นยังไง ล้าหลังไปไหม ไม่สมเหตุสมผลไหม โลกมันไปไกลมากแล้ว


 
แต่ทอดตามองไปทั่วบ้านเมืองของเราทุกวันนี้ เทวาบริหารเต็มบ้านเต็มเมืองเกิดอะไรขึ้นกับประเทศนี้ ถ้ามองในมุมนี้ไม่ใช่แค่เรื่องการเป็นชาวพุทธแล้ว เป็นเรื่องคุณภาพของคนทั้งประเทศ ปี 2024 แล้ว แต่ทำไมเทวาบริหารแรงมาก กระแสสายมูแรงมาก ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้จักศาสนาเท่านั้น แต่มันจะเป็นเพราะว่าปัญหาของชีวิต ปัญหาของโลกมันมากขึ้น ความทุกข์มันซับซ้อนขึ้น หาเงินหาทองยากขึ้น ฉะนั้นถ้าเปิดช่องให้เขาได้หายใจไปทางสายมูบ้าง จะไปสายมูก็ได้ตราบใดที่คุณยังคงเชื่อกฎแห่งกรรม ยังเชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วอยู่ ยังอยู่ในครรลองของศีลธรรมอันดีงามอยู่ เราต้องมองอย่างเข้าใจ ไม่ใช่ว่าคนทุกคนจะสามารถทำความเข้าใจพระพุทธศาสนาที่ลึกซึ้งได้

 

 

ท่าน ว.วชิรเมธี เผยขอยังไงให้เห็นผล อธิษฐานอย่างเดียวคือพลาด!