อาลัย ‘ไกเซอร์ลูกหนัง’ ฟรานซ์ เบ็คเคนเบาเออร์ ยอดนักเตะตลอดกาลของเยอรมนี

อาลัย ‘ไกเซอร์ลูกหนัง’ ฟรานซ์ เบ็คเคนเบาเออร์ ยอดนักเตะตลอดกาลของเยอรมนี

Franz Beckenbauer สุดยอดนักเตะตลอดกาลของประเทศเยอรมนี อาลัย ‘ไกเซอร์ลูกหนัง’ ฟรานซ์ เบ็คเคนเบาเออร์

Key Points:

  • ฟรานซ์ เบ็คเคนเบาเออร์ เป็นนักเตะที่เล่นเกมรับได้อย่างแข็งแกร่ง มีความสามารถในการอ่านเกมได้อย่างเฉียบขาด แต่สิ่งที่ทำให้เขาโดดเด่นและแตกต่างจากคนอื่นคือท่วงท่าลีลาการเล่นที่สง่างาม จนทำให้มีนักเขียนในบ้านเกิดตั้งสมญาของเบ็คเคนเบาเออร์ว่าเป็น ‘ไกเซอร์’ หรือจักรพรรดิลูกหนัง
  • เบ็คเคนเบาเออร์ กลายเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่เก่งกาจที่สุดของโลก และสร้างตำนานของตัวเองได้สำเร็จในฟุตบอลโลก 1974 ด้วยการโค่นเนเธอร์แลนด์ในระบบ ‘โททัลฟุตบอล’
  • เบ็คเคนเบาเออร์ เป็นคนที่ 2 ของโลกที่ได้แชมป์ฟุตบอลโลกทั้งในฐานะผู้เล่นและในฐานะโค้ช ต่อจากมาริโอ ซากัลโล ตำนานผู้ยิ่งใหญ่ของบราซิล ผู้ที่เพิ่งจากโลกนี้ไปก่อนหน้าเขาเพียงแค่ 2 วันเท่านั้น

บนโลกใบนี้มีนักฟุตบอลที่ได้รับการตั้งสมญาต่างๆมากมาย แต่มีคนเดียวที่ได้รับสมญาว่า ‘แดร์ ไกเซอร์’ (Der Kaiser) ที่แปลได้ว่า จักรพรรดิ และคนนั้นคือ ฟรานซ์ เบ็คเคนเบาเออร์ สุดยอดนักเตะผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลของเยอรมนี

เบ็คเคนเบาเออร์ จากโลกนี้ไปอย่างสงบด้วยวัย 78 ปีหลังจากที่ล้มป่วยหนักมาเป็นเวลาหลายเดือน ซึ่งข่าวการจากไปของอดีตนักฟุตบอลผู้พาทีม ‘อินทรีเหล็ก’ คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกได้ในปี 1974 และอีกครั้งกับการคุมทีมคว้าแชมป์โลกในปี 1990 สร้างความโศกเศร้าเสียใจให้แก่ชาวเยอรมันทั้งประเทศ

เพราะหากให้เทียบกันแล้วไกเซอร์ลูกหนังผู้นี้ไม่ได้แตกต่างจากดีเอโก มาราโดนา และเปเล ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่อดีตนักฟุตบอลในวันวาน แต่เป็นบุคคลสำคัญระดับประเทศที่เป็นที่รักและเคารพอย่างยิ่ง

ตำนานความยิ่งใหญ่ของเบ็คเคนเบาเออร์ ยังเปี่ยมด้วยสีสันและเรื่องราวที่น่าทึ่งมากมาย

  • ฟรานซ์ผู้โชคดี

ฟรานซ์ เบ็คเคนเบาเออร์ เป็นนักฟุตบอลที่เก่งกาจและเปี่ยมด้วยพรสวรรค์ในการเล่นเป็นอย่างยิ่ง 

เด็กหนุ่มที่เกิดในเมืองไกซิง ซึ่งอยู่ชานเมืองมิวนิคได้เริ่มต้นเล่นฟุตบอลตั้งแต่เล็กๆและฉายแววของความเป็นยอดนักเตะออกมาตั้งแต่ 8 ขวบ โดยได้รับการจับตามองจากแมวมองในเมืองเพราะเป็นผู้เล่นที่เก่งกาจครบเครื่อง

ทีมในดวงใจของว่าที่ยอดนักเตะแห่งยุคสมัยในเวลานั้นคือ 1860 มิวนิค ซึ่งถือเป็นสโมสรฟุตบอลใหญ่ของเมืองมิวนิคและแคว้นบาวาเรีย แต่เบ็คเคนเบาเออร์ได้มาอยู่กับบาเยิร์น มิวนิค สโมสรซึ่งเล็กกว่ามากในอดีต แต่มีสิ่งสำคัญสำหรับการแจ้งเกิดคือเวลาและโอกาส

ตำแหน่งดั้งเดิมของเบ็คเคนเบาเออร์ในสมัยเยาวชนคือกองหน้า แต่เมื่อเติบใหญ่มาได้มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งการเล่นไปเป็นปีกซ้ายบ้าง กองกลางบ้าง จนมาถึงกองหลังซึ่งเป็นตำแหน่งที่สร้างชื่อให้กับเขามากที่สุด

ด้วยความเก่งกาจและรูปร่างหน้าตาที่สะโอดสะองค์ทำให้เบ็คเคนเบาเออร์ได้รับการจับตามองตั้งแต่ครั้งยังเป็นนักเตะวัยรุ่นที่แจ้งเกิดกับทีมได้ไม่นาน

หนังสือพิมพ์ในเยอรมนีเขียนถึงเขาว่า ‘Franz im Glück’ (Franz in luck) ซึ่งล้อมาจากนิทานดังของพี่น้องกริมม์ ‘ฮันส์ผู้โชคดี’ (Hans im Glück) เพราะดูเหมือนเบ็คเคนเบาเออร์จะเกิดมาใต้พรแห่งดวงดาวที่ทำให้ทุกอย่างในชีวิตของสุกสกาวไปเสียทุกอย่าง เล่นฟุตบอลเก่ง นิสัยดี มีชื่อเสียง

  • ตำนานไกเซอร์ลูกหนัง

ทั้งนี้ในช่วงเวลานั้นเยอรมนียังแบ่งออกเป็น 2 ประเทศคือเยอรมนีตะวันออกและเยอรมนีตะวันตก ซึ่งเบ็คเคนเบาเออร์นั้นรับใช้ทีมชาติเยอรมนีตะวันตก

ฟุตบอลโลกหนแรกของเขาคือฟุตบอลโลก 1966 ที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งแม้จะจบลงอย่างเจ็บปวดเมื่อทีม ‘อินทรีเหล็ก’ พ่ายแพ้ให้กับเจ้าภาพอังกฤษในช่วงของการต่อเวลาพิเศษในรอบชิงชนะเลิศที่สนามเวมบลีย์ด้วยประเทศปริศนาที่ไม่มีใครรู้ว่าตกลงแล้วลูกยิงของเจฟฟ์ เฮิร์สต์นั้นข้ามเส้นประตูไปแล้วหรือไม่ แต่ผลงานของเบ็คเคนเบาเออร์ในการแข่งขันครั้งนั้นได้รับเสียงชื่นชมเป็นอย่างมาก

นั่นเพราะเขาเป็นนักเตะที่เล่นเกมรับได้อย่างแข็งแกร่ง มีความสามารถในการอ่านเกมได้อย่างเฉียบขาด แต่สิ่งที่ทำให้เขาโดดเด่นและแตกต่างจากคนอื่นคือท่วงท่าลีลาการเล่นที่สง่างาม จนทำให้มีนักเขียนในบ้านเกิดตั้งสมญาของเบ็คเคนเบาเออร์ว่าเป็น ‘ไกเซอร์’ หรือจักรพรรดิลูกหนัง 

สมญานี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงบุคลิกที่สง่างามยามอยู่ในสนาม แต่มาจากการที่เขาดูคล้ายกับไกเซอร์ ลุดวิกที่ 2 ผู้เป็นอดีตจักรพรรดิของแคว้นบาวาเรียที่ผู้คนรักเป็นอย่างยิ่งด้วย

จากความผิดหวังในปี 1966 เบ็คเคนเบาเออร์ กลายเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่เก่งกาจที่สุดของโลก และสร้างตำนานของตัวเองได้สำเร็จในฟุตบอลโลก 1974 ซึ่งเป็นปีที่โลกลูกหนังเชื่อว่าแชมป์จะตกเป็นของทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ที่เล่นฟุตบอลในระบบมหัศจรรย์ ‘โททัลฟุตบอล’ และมีนักเตะที่เชื่อว่าเก่งที่สุดในโลกในเวลานั้นอย่างโยฮัน ครอยฟฟ์ เป็นผู้นำทีม

แต่เบ็คเคนเบาเออร์ ก็หยุดเนเธอร์แลนด์และครอยฟ์ได้ในเกมรอบชิงชนะเลิศ โดยเยอรมนีตะวันตกของเขาคว้าแชมป์ได้บนแผ่นดินเกิด และคนที่ได้ชูถ้วยแชมป์โลกสมัยที่ 2 ของประเทศก็คือตัวเขาที่เป็นกัปตันทีมนั่นเอง

  • ลิเบอโรผู้ล่องลอยอย่างอิสระ

สิ่งที่ผู้คนจดจำเกี่ยวกับเบ็คเคนเบาเออร์มากที่สุดคือการเป็น ‘ลิเบอโร’ (Libero) ตำแหน่งในเกมฟุตบอลที่ปัจจุบันไม่มีให้เห็นอีกแล้ว

ลิเบอโรตามความหมายคือ ‘อิสระ’ ซึ่งตำแหน่งนี้จะยืนอยู่หน้าหรือหลังแผงกองหลัง เป็นผู้บัญชาเกมจากแดนหลังโดยจะคอยขยับเติมเกมสูงขึ้นมาช่วยทีมด้วยในเกมรุก ซึ่งฟังดูเหมือนจะไม่ยากแต่ความจริงแล้วเป็นเรื่องยากสำหรับเกมฟุตบอลในยุคอดีตที่ตำแหน่งแต่ละตำแหน่งมีบทบาทเฉพาะของตัวเอง

ด้วยพรสวรรค์ที่ได้รับมาทำให้เบ็คเคนเบาเออร์ สามารถเล่นในตำแหน่งนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม ทรงอิทธิพลต่อเกมการเล่นของเยอรมนีตะวันตกอย่างมาก และมีส่วนสำคัญกับการที่ทีมได้แชมป์ฟุตบอลโลก 1974 รวมถึงกับสโมสรบาเยิร์น มิวนิคที่ประสบความสำเร็จมากมายถึงขั้นได้แชมป์ยูโรเปียน คัพ

เบ็คเคนเบาเออร์ จึงเรียกได้ว่าเป็น ‘ต้นแบบ’ ของนักเตะในตำแหน่งนี้เลยทีเดียว โดยที่ในยุคต่อมามีนักฟุตบอลเยอรมันหลายคนเดินตามรอย แต่คนที่ได้รับการยกย่องและจดจำมีไม่กี่คน เช่น โลธาร์ มัตเธอุส, โอลาฟ โธน และมัททีอัส ซามเมอร์ ซึ่งเป็นนักฟุตบอลในยุค 80-90

ส่วนในปัจจุบันไม่มีนักฟุตบอลคนไหนเล่นในบทลิเบอโรอีกต่อไปแล้ว เพราะยุคสมัยของเกมฟุตบอลได้เปลี่ยนแปลงไป

  • ทีมเชฟเยอรมัน

เมื่อเลิกเล่นฟุตบอลแล้วเบ็คเคนเบาเออร์ ยังสร้างตำนานบทต่อไปของตัวเองเมื่อตัดสินใจที่จะเข้ามาช่วยทีมชาติเยอรมนีตะวันตกในบทของโค้ชแต่ก็ไม่สามารถเรียกตัวเองว่าโค้ชได้เนื่องจากไม่ได้มีการสอบใบอนุญาต

เพื่อไม่ให้ผิดต่อกฎเบ็คเคนเบาเออร์จึงเรียกตัวเองว่าเป็น ‘ทีมเชฟ’ ที่ไม่ได้หมายถึงพ่อครัวปรุงอาหาร แต่เป็นหัวหน้าทีมของทีมชาติเยอรมนีตะวันตกแทน

แต่ถึงจะอ่อนประสบการณ์ก็ไม่ได้ไร้ฝีมือ อินทรีเหล็กของเขาเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 1986 ที่ประเทศเม็กซิโก ได้สำเร็จแม้ว่าสุดท้ายจะพ่ายแพ้ต่อทีมอาร์เจนตินาที่นำมาโดยดีเอโก มาราโดนา แต่ในอีก 4 ปีต่อมาเขาก็สามารถพาทีมล้างตาคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยที่ 3 ของประเทศได้ในการแข่งขันที่ประเทศอิตาลี

นั่นทำให้เบ็คเคนเบาเออร์ กลายเป็นคนที่ 2 ของโลกที่ได้แชมป์ฟุตบอลโลกทั้งในฐานะผู้เล่นและในฐานะโค้ช ต่อจากมาริโอ ซากัลโล ตำนานผู้ยิ่งใหญ่ของบราซิล ผู้ที่เพิ่งจากโลกนี้ไปก่อนหน้าเขาเพียงแค่ 2 วันเท่านั้น

แต่ถ้าจะจำเพาะเจาะจงลงไปอีก เบ็คเคนเบาเออร์สามารถเรียกตัวเองว่าเป็นคนแรกของโลกที่ได้แชมป์ฟุตบอลโลกในฐานะการเป็นกัปตันทีมและเป็นหัวหน้าโค้ช (ซากัลโลไม่ใช่กัปตันทีม) ซึ่งในเวลาต่อมามีดิดิเยร์ เดส์ชองป์ส ที่ทำได้อีกคนเดียว

การพาทีมคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกได้อีกสมัยเป็นเหมือนการแต่งเติมเทพนิยายเฉพาะตัวของเขาให้ยิ่งใหญ่ไร้ที่ติขึ้นไปอีก

  • ผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาล

เมื่อพ้นจากการทำหน้าที่ในบททีมเชฟให้ทีมชาติเยอรมนีตะวันตก (ที่ต่อมารวมกับเยอรมนีตะวันออกกลายเป็นเยอรมนีเดียว) เบ็คเคนเบาเออร์ได้มีโอกาสคุมทีมโอลิมปิก มาร์กเซย์ ในฝรั่งเศสเป็นเวลาสั้นๆแค่ 4 เดือนเพราะประสบปัญหากับลูกทีมที่ไม่สามารถสื่อสารกันได้เข้าใจ

เขากลับมาคุมทีมบาเยิร์น มิวนิค สโมสรเก่าที่เคยพาทีมประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่มากมายเป็นถึงเจ้ายุโรป โดยเฉพาะตำนานการคว้าแชมป์ยูโรเปียน คัพ 3 สมัยติดต่อกันในระหว่างปี 1974-76 และสามารถพาทีมคว้าแชมป์บุนเดสลีกาได้ในปี 1994 กับแชมป์ยูเอฟา คัพในปี 1996

ภายหลังจากนั้นได้ผันตัวไปเป็นประธานสโมสรอีกเป็นเวลา 2 ปี ซึ่งมีส่วนสำคัญกับการวางแนวทางให้บาเยิร์น มิวนิค ยกระดับขึ้นมากลายเป็นสุดยอดสโมสรในบ้านเกิด ก่อนจะเข้าไปช่วยงานสมาคมฟุตบอลเยอรมันหรือ ‘เดเอฟเบ’ กับภารกิจสุดยิ่งใหญ่

ภารกิจดังกล่าวคือการทำให้เยอรมนีเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกในปี 2006 ให้ได้ ซึ่งด้วยความทุ่มเทและบารมีของเบ็คเคนเบาเออร์ทำให้ฟุตบอลโลกได้กลับมาสู่ชาวเยอรมันอีกครั้งแม้ว่าทีมชาติจะไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่ตั้งใจก็ตาม

เรียกได้ว่าตำนานลูกหนังผู้นี้มีเรื่องราวความยิ่งใหญ่ที่เหนือยิ่งกว่าแค่ในสนามมาก และไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ชาวเยอรมันจะยกให้เป็นบุคคลสำคัญของชาติ

การสูญเสียไกเซอร์ลูกหนังในครั้งนี้จึงเป็นความสูญเสียของประเทศ และของโลกฟุตบอล

แต่อย่างน้อยตำนานความยิ่งใหญ่และสิ่งดีๆที่เบ็คเคนเบาเออร์ทำมาจะคงอยู่ในความทรงจำของทุกคนตลอดไป

อ้างอิง theguardian 1 , theguardian 2theguardian 3