20 ปี ‘Love Actually’ หนังประจำ ‘คริสต์มาส’ ทำให้รู้ว่าความรักอยู่รอบตัวเรา

20 ปี ‘Love Actually’ หนังประจำ ‘คริสต์มาส’ ทำให้รู้ว่าความรักอยู่รอบตัวเรา

ครบรอบ 20 ปี “Love Actually” หนังรักประจำ “เทศกาลคริสต์มาส” ในใจคนทั่วโลก ที่ทำให้รู้ว่า “ความรัก” และ “คริสต์มาส” มีอยู่รอบตัวและเป็นแรงขับเคลื่อนทุกอย่าง

ถ้า “All I Want For Christmas Is You” เป็นเพลงที่เปิดในช่วง “คริสต์มาส” มากที่สุด  “Love Actually” ก็คงเป็นหนังที่ถูกหยิบมาเปิดในช่วงนี้มากที่สุดเช่นเดียวกัน ด้วยเนื้อเรื่องที่ย่อยง่ายมีครบทุกรส สุข เศร้า เหงา ซึ้ง แถมบรรยากาศในเรื่องยังทั้งโรแมนติกและอบอุ่น เข้ากับบรรยากาศแห่งความสุขที่สุด (แม้ว่าไทยจะไม่หนาวเลยก็ตาม)

Love Actually” เป็นหนังรักที่เล่าเรื่องความรักของคนชั้นกลางของอังกฤษหลากหลายคู่ ถูกร้อยเรียงในบรรยากาศเทศกาลคริสต์มาส เป็นผลงานการกำกับชิ้นแรกของ ริชาร์ด เคอร์ติส เจ้าพ่อหนังรัก ซึ่งได้รวมนักแสดงตัวท็อปไว้อย่างคับคั่ง ทั้งฮิวจ์ แกรนท์, เอ็มม่า ทอมป์สัน, คอลิน เฟิร์ธ, เลียม นีลสัน, โรแวน แอทคินสัน, อลัน ริคแมน, เคียร์รา ไนท์ลีย์, มาร์ติน ฟรีแมน, โธมัส โบรดี้-แซงสเตอร์ และอีกมากมาย เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ครั้งแรกเมื่อปี 2003 

อันนี้จริงภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้รับคำวิจารณ์ที่ดีเท่าไหร่นัก แต่กลับเป็นที่ชื่นชอบของผู้ชมทั่วโลก โดยทำรายได้ไปถึง 247 ล้านดอลลาร์ทั่วโลก ซึ่งตลอด 20 ปีที่ผ่านมาชื่อของ Love Actually ไม่ได้จางหายไปไหน ในทุกเทศกาลคริสต์มาสเหล่าคอลัมนิสต์จะต้องเขียนวิจารณ์หนังเรื่องนี้แบบแสบ ๆ คัน เช่น มีแต่มุกล้อเลียนคนอ้วน มีแต่เรื่องความรักของชายหญิง นำเสนอความสัมพันธ์ของเจ้านายผู้ชายกับลูกน้องผู้หญิง มีเส้นเรื่องมากเกินไป แถมเป็นอเมริกันจ๋า 

20 ปี ‘Love Actually’ หนังประจำ ‘คริสต์มาส’ ทำให้รู้ว่าความรักอยู่รอบตัวเรา

ขณะเดียวกันหนังเรื่องนี้ก็กลายเป็นหนังรักประจำคริสต์มาสของใครหลายคน หยิบมาดูซ้ำได้ไม่มีเบื่อ เพราะหนังเรื่องนี้ดูง่าย ไม่ซับซ้อน ปกคลุมไปด้วยบรรยากาศคริสต์มาสที่แสนอบอุ่น อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความรัก มีเพลงประกอบที่ไพเราะแทรกอยู่ตลอดทั้งเรื่อง

“หนังเรื่องนี้ถือเป็นหนังรักที่คลาสสิก เต็มไปด้วยนักแสดงฝีมือฉกาจ มีมุกตลกแทรกอยู่ตลอด ซึ่งทุกคนหัวเราะไปกับมันและทำให้เรามองข้ามเรื่องแย่ ๆ ไปได้ ยิ่งเมื่อเรานำกลับมาดูใหม่ ทำให้เราหวนระลึกถึงอดีตได้เป็นอย่างดี” เฮเลน โอฮารานักวิจารณ์ภาพยนตร์ กล่าวกับสำนักข่าว BBC

 

  • ฉากในตำนานของหนังรัก

Love Actually มีเส้นเรื่องหลักทั้งสิ้น 9 เรื่อง มีตัวละครหลายสิบตัว แต่ก็สามารถร้อยเรียงออกมาได้อย่างลงตัว ทุกตัวละครมีความเกี่ยวข้องกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง หรืออย่างน้อยที่สุดก็อยู่ในสถานที่เดียวกัน ไม่ได้แยกตัวออกมาเป็นเอกเทศ เล่าเป็นเรื่อง ๆ ซึ่งเรื่องนี้เป็นต้นแบบของภาพยนตร์แนวรวมดาวอีกด้วย

หลายฉากในภาพยนตร์เรื่องนี้ยังคงอยู่ในความทรงจำของผู้ชมทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นฉากนายกรัฐมนตรี ที่รับบทโดยฮิวจ์ แกรนท์ เต้นสุดเหวี่ยงไปทั่วบ้านพักหมายเลข 10 ถนนดาวนิง นับเป็นซีนที่เรียกเสียงหัวเราะของผู้ชมได้อย่างดี 

ขณะที่ฉากสารภาพรักต่อภรรยาของเพื่อนสนิทตัวเองที่หน้าประตูด้วยกระดาษคิวของมาร์ค ที่รับบทโดยแอนดรูว์ ลินคอล์น ก็เป็นอีกหนึ่งฉากที่คนจะนึกถึงเมื่อพูดถึงหนังเรื่องนี้ ซึ่งฉากนี้ถูกนำไปล้อเลียนและใช้เป็นแบบอย่างในสื่ออีกหลายเรื่อง หนึ่งในนั้นคือ “ปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น” หนังรักวัยรุ่นของไทยด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ บอริส จอห์นสัน อดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษนำฉากนี้มาใช้ระหว่างการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2019 ที่อาจจะไม่โรแมนติกเท่าในภาพยนตร์ เพราะใช้บอกว่า “Brexit กำลังจะเสร็จสิ้นในปีหน้า (2020)”

 

ส่วนการแสดงเอ็มมา ทอมป์สันในฉากที่เธอร้องไห้ในห้องนอน หลังรู้ความจริงว่าสามีกำลังมีความสัมพันธ์กับเลขาก็ถูกยกย่องว่าเป็นฉากที่ดีที่สุดในหนังเรื่องนี้ พร้อมส่งให้ทอมป์สันได้ชิงรางวัล BAFTA Awards ในสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมอีกด้วย

 

  • หนังรักที่ดูตกยุคในปัจจุบัน?

นอกเหนือจากบรรยากาศคริสต์มาสที่แสนอบอุ่นหัวใจแล้ว เรื่องรักหลากหลายมุมมองที่ถูกนำเสนอผ่าน Love Actually เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่เหนือกาลเวลา เพราะมีชีวิตของหลากหลายตัวละครให้ได้ดู ทั้งในแง่มุมรักสมหวัง รักต้องห้าม แอบรัก รักที่แตกสลาย สูญเสียความรัก แน่นอนว่าจะต้องมีสักเรื่องที่ตรงกับประสบการณ์ชีวิตของผู้ชม

ในฐานะผู้กำกับและคนเขียนบท ริชาร์ด เคอร์ติสกล่าวว่าคอนเซ็ปต์ของ Love Actually ไม่ใช่เรื่องของคนที่มีความรัก แต่เป็นการนำเสนอว่า “ความรักคืออะไร” ในรูปแบบต่าง ๆ อีกทั้งในเรื่องมีฉากหลังเป็นเทศกาลคริสต์มาส ซึ่งเป็นช่วงเวลาสุดโรแมนติก มีแต่ความสุข จึงทำให้ตัวละครกล้าทำอะไรที่อาจผิดแปลกไปจากปรกติ เพราะเชื่อว่า “ถ้าเป็นคริสต์มาสแล้ว อะไรก็เกิดขึ้นได้” 

แม้จะได้รับความนิยมตลอด 20 ปี แต่เคอร์ติส ยอมรับว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มีจุดที่ล้าสมัยและขาดความหลากหลาย ซึ่งทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจ โดยล่าสุดเคอร์ติสได้เปิดใจกับ Independent ว่าฉากบอกรักหน้าประตูในตำนานเป็นการกระทำที่ค่อนข้างแปลกประหลาด

“มาร์คไปที่บ้านเพื่อนสนิทโดยหวังว่าภรรยาของเพื่อนจะมาเปิดประตู เพื่อบอกเธอว่า 'ผมรักคุณ' ผมคิดว่ามันแปลกไปสักหน่อย”
เคอร์ติสยอมรับ

เคอร์ติสยอมรับว่าตอนที่ทำเรื่องนี้ เขาไม่คิดว่าฉากดังกล่าวดูคุกคาม หรือเหมือน “สตอล์กเกอร์” (stalker) แต่อย่างไร ซึ่งการที่คนมีมุมมองต่อฉากนี้เปลี่ยนแปลงไป แสดงว่าโลกใบนี้ก้าวไปไกลกว่าเดิม อีกทั้งเคอร์ติสยังยอมรับว่าตัวละครในหนังเรื่องนี้ไม่มีความหลากหลาย ส่วนใหญ่เป็นคนผิวขาว และมีแต่ความรักของชายหญิง

“ใช่ ผมยอมรับและผมก็อยากให้มันดีกว่านี้ เพราะผมโตมาในโรงเรียนและมีกลุ่มเพื่อนที่ไม่มีความหลากหลายเลย ผมติดกับดักความหลากหลาย เลยไม่รู้ว่าจะต้องเล่าประเด็นเหล่านี้ออกมาอย่างไร ผมยอมรับว่าตัวเองโง่และคิดผิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทั้งผม ทีมแคสติ้งและโปรดิวเซอร์ไม่ได้ออกจากกรอบเลย

การยอมรับข้อผิดพลาดในอดีตของเคอร์ติสเกิดขึ้นจาก “สการ์เล็ต เคอร์ติส” ลูกสาวของเขาที่เป็นนักเขียนและนักเคลื่อนไหวทางสังคม ออกมาเรียกร้องให้เขาเลิกใช้มุกล้อเลียนรูปร่างในภาพยนตร์ 

“ผมคิดว่าเธอพูดถูกเกือบทุกอย่าง ผมหวังว่าเธอจะภูมิใจในตัวผม ที่จริงผมแปลกใจที่ใคร ๆ พากันแปลกใจเวลาที่นักเขียนจะมองย้อนกลับไปดูผลงานตัวเองสัก 10-20 ปี แล้วพูดว่า เราอยู่ในโลกที่แตกต่างไปจากเดิมมาก” ผู้สร้างภาพยนตร์กล่าว

ถึงแม้ Love Actually อาจไม่ได้เป็นหนังรักที่สมบูรณ์แบบ แต่ก็ทำให้เรารู้ว่า ความรักที่มีต่อลูกทำให้พ่อแม่ตัดสินใจอยู่เป็นครอบครัวต่อ ความรักทำให้คนขี้อายกล้าจีบคนอื่นได้ ความรักทำให้คนกล้าเสี่ยงทำอะไรอันตราย ความรักทำให้กำแพงภาษาพังทลายลง ความรักเกิดได้กับคนทุกวัย ความรักทำให้คนมีกำลังใจสู้ต่อ และถึงแม้ความรักจะทำให้คนเราเจ็บปวด แต่อย่างน้อยที่สุดเราก็ได้เรียนรู้ที่จะรัก

เพราะทุกอย่างขับเคลื่อนด้วย “ความรัก” และ “ความรัก” มีอยู่รอบ ๆ ตัวเรา คริสต์มาสก็เช่นกัน


ที่มา: BBCIndependentNew York PostThe Guardian