‘พรหมลิขิต’ ภาคต่อที่ไม่ดีเท่าเดิม ละครที่คนทำไม่รู้ว่าคนดูต้องการอะไร

‘พรหมลิขิต’ ภาคต่อที่ไม่ดีเท่าเดิม ละครที่คนทำไม่รู้ว่าคนดูต้องการอะไร

“พรหมลิขิต” ทำเรตติ้งสูงสุดของปี แต่กลับทำให้ผู้ชมผิดหวัง บทมีปัญหา เคลียร์ปมไม่จบ เน้นในสิ่งที่ไม่ควรเน้น สิ่งที่ควรเล่ากลับตัดทิ้ง มีดีที่การแสดงของ “โป๊ป-เบลล่า” จะกี่บทก็เอาอยู่

จบไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับ “พรหมลิขิต” ภาคต่อของ “บุพเพสันนิวาส” ละครดังแห่งยุค แม้จะทำเรตติ้งไปได้ถึง 8.63 ถือเป็นเรตติ้งสูงสุดของปีนี้ แต่ก็โดนเสียงบ่นของผู้ชมทั้งโซเชียล ถึงเรื่องการตัดต่อที่งงงวย ยัดทุกประเด็นเข้ามาในตอนจบ บทละครที่มีปัญหา บุคลิกตัวละครแปลก ๆ ทำให้ #พรหมลิขิตตอนจบ ติดเทรนด์ X ประเทศไทยอันดับหนึ่งข้ามคืนถึงวันที่ 19 ธ.ค.

ถ้าย้อนกลับไป ตอนที่บุพเพสันนิวาสออกอากาศครั้งแรก ( 21 ก.พ. 61) ซึ่งหลังจากออกอากาศเพียงไม่นานละครเรื่องนี้ก็ทำเรตติ้งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนตอนจบพุ่งไปถึง 18.6 สูงสุดนับตั้งแต่มีการออกอากาศระบบทีวีดิจิทัล อีกทั้งกระแสบุพเพฯ ฟีเวอร์ ยังกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวไทย ในตอนนั้นใคร ๆ ก็อยากตามรอย “แม่การะเกด” แต่งชุดไทยเที่ยวอยุธยากันทั้งนั้น แถมยังพาเมนูอาหารไทยทั้ง หมูกระทะ กุ้งเผา มะม่วงน้ำปลาหวาน และหมูสร่ง ให้ขายดีขึ้นเป็นเทน้ำเทท่า ที่สำคัญละครเรื่องนี้ช่วยให้คนหันมาสนใจประวัติศาสตร์ชาติไทยมากขึ้น

ด้วยความสำเร็จระดับปรากฏการณ์ทำให้และกระแสเรียกร้องจากผู้ชม ทำให้ผู้สร้าง ช่อง 3 และเจ้าของบทประพันธ์ ตัดสินใจสร้างภาคต่อของบุพเพสันนิวาสขึ้นมา ในชื่อว่า “พรหมลิขิต” ที่เล่าเรื่องราวรุ่นลูกแทน โดยยังมีนักแสดงนำอย่าง “โป๊ป - ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ” และ “เบลล่า - ราณี แคมเปน” กลับมารับบทพระเอกนางเอกในรุ่นลูกเช่นเดิม เท่ากับว่าโป๊ปต้องเล่นทั้งหมด 3 ตัวละคร คือ พ่อ และลูกฝาแฝด ส่วนเบลล่าเล่น 2 ตัวละคร คือ เกศสุรางค์ในร่างการะเกดและพุดตาน ขณะที่ “ศัลยา” ยังคงรับหน้าที่เขียนบทดังเดิม ส่วนผู้กำกับ มีการเปลี่ยนตัวจาก “ใหม่ - ภวัต” เป็น “สรัสวดี วงศ์สมเพ็ชร”

‘พรหมลิขิต’ ภาคต่อที่ไม่ดีเท่าเดิม ละครที่คนทำไม่รู้ว่าคนดูต้องการอะไร

  • เวรกรรมของพุดตาน

หลังจากที่รอคอยกันมาอย่างยาวนานถึง 5 ปี ในที่สุดพรหมลิขิตก็ได้ฉาย ท่ามกลางความคาดหวังของแฟนละคร และถือเป็นละครความหวังของ “ช่อง 3” เมื่อออกฉายตอนแรกก็ได้การตอบรับอย่างดี เปิดตัวด้วยเรตติ้ง 6.40 พร้อมคำชมอย่างล้นหลามว่าสามารถรับช่วงต่อจากบุพเพสันนิวาสได้เป็นอย่างดี และมีนักแสดงชื่อดังของช่องมาเสริมทัพหลายชีวิต

เมื่อเข้าสู่เรื่องพรหมลิขิตเต็มตัว บทเริ่มมีปัญหา พาร์ทประวัติศาสตร์สุดเข้มข้นที่เป็นจุดเด่นและทำให้บุพเพสันนิวาสแตกต่างจากละครข้ามภพข้ามชาติเรื่องอื่นนั้นหายไป หันมาเน้นการใช้ชีวิตประจำวันของนางเอกแทน มีฉากทำอาหารอยู่ทุกตอน ให้พุดตานพูดด้วยคำสมัยใหม่ตลอดเวลา ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นกิมมิคที่อยู่ในบุพเพสันนิวาส ทำออกมาได้เนียนตา อยู่ถูกที่ถูกเวลา จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของผู้ชม

แต่พรหมลิขิตพยายามอ้างอิงกับความสำเร็จเดิมจนกลายเป็น “ยัดเยียด” ใส่เมนูอาหารมามากมายแต่ไม่สร้างอิมแพคให้แก่ผู้ชม หรือปลุกกระแสให้คนหันมาสนใจอาหารไทย เหมือนตอนบุพเพสันนิวาสได้เลย ส่วนการให้พุดตานพูดคำยุคปัจจุบันใส่ตัวละครอื่นตลอดเวลา ทำให้พุดตานดูเป็นคนไม่พยายามปรับตัวให้เข้ากับบริบทสังคม ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าพูดไปคนสมัยอยุธยาก็ไม่เข้าใจ แต่ยังทู่ซี้จะพูดมันตลอดเรื่อง ก็สร้างความหงุดหงิดได้ไม่น้อย

อันที่จริง พรหมลิขิต เป็นเรื่องของการะเกดที่ออกจากขุมนรกมาเกิดใหม่ในร่างของพุดตาน ถูกลิขิตให้กลับมายังอดีตชาติเพื่อขออโหสิกรรมกับเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย แต่กลับไม่เล่าที่มาที่ไปของการะเกดเลย ทั้ง ๆ ที่เป็นตัวเอกของเรื่อง ผู้ชมไม่รู้เลยว่าทำไมการะเกดถึงกลายเป็นคนไม่ดี กล้าทำบาปกรรมหนัก 

แม้จะมีพาร์ทที่ไปเมืองสองแคว บ้านเกิดของการะเกดแต่กลับไม่ขยี้ปมนี้ มีแต่ความรักของพระนาง และตระเวนเที่ยวเล่น กินลมชมวิว เรียกได้ว่าในบุพเพสันนิวาสเราได้เห็นการะเกดมากกว่าในพรหมลิขิตเสียอีก 

ส่วนเจ้ากรรมนายเวรของการะเกดมีแค่ตัวละครเดียวคือ “กลิ่น” ที่จงเกลียดจงชังพุดตานแบบไม่มีเหตุผล ซึ่งถ้ารีบเคลียร์ปมนี้ภายในไม่กี่ตอนก็คงไม่น่าเบื่อมาก แต่กลายเป็นว่ายึดเส้นเรื่องนี้เป็นเรื่องหลัก ลากยาวมาจนเกือบจบ ทั้ง ๆ ที่ไม่เรื่องอะไรให้เล่า กลิ่นออกมาทีไรก็มีแต่หาเรื่องแกล้งพุดตาน ทำตัวท็อกซิก แทบจะไม่มีมุมน่ารักให้ผู้ชมได้เห็น กลายเป็นตัวละครน่าเบื่อไม่น่าติดตาม

 

  • พระเอกไม่น่าเอาใจช่วย

ในบุพเพสันนิวาสจะทิ้งปมเอาไว้ที่จริงแล้วศรีปราชญ์น่าจะมีใจกับการะเกด ทำให้ผู้ชมคาดหวังว่าจะได้เห็นการคลี่คลายปมนี้ในพรหมลิขิต แต่กลับกลายเป็นว่าตัวละครศรีปราชญ์กลับถูกตัดหายไปจากสารบบ ไม่มีกล่าวถึงด้วยซ้ำว่า “พ่อริด” พระเอกของเรื่องคือศรีปราชญ์กลับชาติมาเกิด

พ่อริดกลายเป็นพระเอกที่ไม่น่าเอาใจช่วย ไม่น่าหลงรัก วัน ๆ เอาแต่งอนและงอแงให้พุดตานตามง้อ ดูเป็นคนไม่มีวุฒิภาวะ พึ่งพาไม่ได้ ทั้งที่ตัวเองก็เป็นข้าราชการใหญ่ ขนาดนางเอกจะต้องถวายตัวกับพระเจ้าท้ายสระ พระเอกกลับไม่ทำอะไรเลย ได้แต่พูดว่า ปล่อยให้ Destiny นำทาง กลายเป็นพุดตานต้องคอยออกหน้า ฝ่าฟันกับทุกอุปสรรคเอง ทั้ง ๆ ที่พ่อริดก็รู้ว่าเพราะความไม่หนักแน่นของตนเองทำให้เกิดโศกนาฏกรรมความรักเมื่อพันปีที่แล้ว จนเป็นเหตุให้เกิดคัมภีร์กฤษณะกาลี

ด้วยนิสัยแบบนี้ของพ่อริดจึงทำให้ผู้ชมไม่รู้สึกคล้อยตามหรืออินไปกับความสัมพันธ์ของคู่พระนาง ไม่รู้สึกว่าริดรักพุดตานมากขนาดที่ พุดตานจำเป็นต้องยอมกลับมาอยู่ที่อยุธยาเลยด้วยซ้ำ

  • Woke แบบผิดที่ผิดทาง

การนำเสนอเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ บทบาทเพศหญิง เป็นเรื่องที่ดีและควรตระหนักในปัจจุบัน แต่ในพรหมลิขิตอาจจะมาแบบผิวเผิน ตัวละครหญิงในเรื่องมีแนวคิดหัวสมัยใหม่ เพื่อนหญิงพลังหญิงกันทั่วอยุธยา และเขียนบทให้นางเอกเก่งกล้าสามารถรอบด้าน ยึดมั่นในสิ่งที่ตัวเองต้องการ โดยไม่ต้องง้อผู้ชาย ซึ่งจุดนี้ผิดแปลกไปจากนิยายต้นฉบับมากที่พระเอกเป็นคนไม่ยอมคน ไม่ได้หัวอ่อน เจ้าแผนการ และยอมทำทุกอย่างเพื่อนางเอก

อยู่ ๆ แม่แก้วก็ไม่อยากโดนคลุมถุงชนร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคืออะไร ตัวเองมีสิทธิ์อะไรบ้าง สุดท้ายยอมแต่งงานออกเรือนไปแบบง่าย ๆ ไม่ได้ส่งสารให้ผู้ชมเข้าใจว่ามันไม่ดีอย่างไร ขณะที่แม่กลิ่นและยายกุยยึดมั่นกับแนวคิดรักเดียวใจเดียว ไม่โอเคกับหมู่สงที่มีเมียเยอะ ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องปรกติในสมัยนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลกว่าแม่กลิ่นไปได้แนวคิดนี้มาจากไหน

ที่หนักสุดคงจะเป็นฉากที่พุดตานถวายตัวแล้ว พูดจาเอ็ดดูเขต (educate) ขุนหลวงผู้เป็นเจ้าชีวิต ถึงเรื่องวิธีการเริ่มต้นใช้ชีวิตคู่ การขืนใจและโทรม สอนให้ใช้คำว่า “แฟน”  ขณะที่พระเอกเอาแต่นั่งร้องไห้อยู่บ้านรอให้ Destiny นำทาง

 

  • ละครจบ แต่ปมเคลียร์ไม่จบ

เนื้อเรื่องพรหมลิขิตส่วนใหญ่เวียนวนอยู่กับแค่กลิ่นหาเรื่องแกล้งพุดตาน สลับกับเส้นเรื่องพ่อแง่แม่งอน มีฉากเลิฟซีนของพระเอกนางเอก (และทำอาหารเป็นระยะ ๆ) แต่ตอนจบกลับรวบรัดทุกเรื่องเข้ามา จนคนดูปรับอารมณ์ตามไม่ทัน ชนิดที่เรียกว่าใครก้มหน้าไปเล่นโทรศัพท์กลับมาก็ดูไม่รู้เรื่องแล้ว ตอนเดียวมีพันเหตุการณ์ ย่าตาย พ่อเรือง(เล็ก)ตาย ริดไม่ต้องแต่งงานกับแพรจีน นางเอกคลอดลูกหลังจากขายก๋วยเตี๋ยวเรือ 

แน่นอนว่าเวลาออกอากาศเพียงชั่วโมงนิด ๆ (ไม่รวมโฆษณา) ไม่พอสำหรับการเล่าเรื่องมากมายขนาดนี้ ทำให้ละครต้องเดินเรื่องแบบเร่งรีบเหมือนเอาแต่ละฉากมาต่อกัน หลายตัวละครหายไปจากเรื่อง หลายปมไม่ได้เคลียร์ เช่น แม่กลิ่นกับหมู่สงเป็นยังไงต่อ พ่ออินกับแม่ปรางไปแต่งงานกันตอนไหน ในเมื่อพ่อของอินไม่ถูกกับบ้านนี้ ทำไมพ่อเรือง(เล็ก)ตายจากไข้ป่า รวมถึงประเด็นที่ใหญ่ที่สุดคือการแก้กรรม การอโหสิกรรมของการะเกดกับเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย คนในเรือนรู้หรือไม่ว่าพุดตานคือการะเกดกลับชาติมาเกิด ก่อนตายย่าจำปาได้แก้กรรมกับการะเกดหรือไม่ และอื่น ๆ อีกมากมาย 

ทั้งหมดนี้ทำให้ผู้ชมรู้สึก “ผิดหวัง” กับละครเรื่องพรหมลิขิตเป็นอย่างยิ่ง ไม่คุ้มค่ากับการรอคอยถึง 5 ปี ทั้งที่ละครมีวัตถุดิบชั้นดี ทั้งนักแสดง โครงเรื่อง แก่นเรื่องที่แน่น ไม่แพ้กับบุพเพสันนิวาส แต่กลับปรุงออกมาได้ไม่กลมกล่อม เหมือนไม่รู้ว่าอะไรคือปัจจัยที่ทำให้คนทั้งประเทศชื่นชอบบุพเพสันนิวาส ซึ่งความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในพรหมลิขิต คงจะเป็นบทเรียนให้แก่ผู้จัด ผู้กำกับ และคนเขียนบทในการผลิตละครเรื่องต่อไปได้อย่างดี

อย่างไรก็ตามพรหมลิขิตก็ทำให้ผู้ชมได้เห็นถึงพลังการแสดงของโป๊ปและเบลล่าที่สามารถแสดงทุกตัวละครออกมาได้อย่างแตกต่าง ไม่สับสนแม้ว่าในฉากนั้นจะมีโป๊ปและเบลล่าอยู่รวมกันถึง 5 คนก็ตาม