สมเด็จย่า “ฉันจะปลูกป่าบนดอยตุง” สู่เทรนด์โลก คาร์บอนเครดิต

จากพระวิสัยทัศน์ในอดีตของ "สมเด็จย่า" ปัจจุบันผืนป่าดอยตุงต่อยอดสู่การเป็นแหล่ง "คาร์บอนเครดิต" ตามเทรนด์โลก สร้างประโยชน์ทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจชุมชน
KEY
POINTS
- พระราชดำริ “ฉันจะปลูกป่าบนดอยตุง” ของ "สมเด็จย่า" คือจุดเริ่มต้นการพลิกฟื้นดอยตุงจากภูเขาหัวโล้น โดยใช้หลักการ “ปลูกคน” พัฒนาคุณภาพชีวิตควบคู่กับการปลูกป่า
- โครงการพัฒนาดอยตุงฯ ประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ ทำให้คนสามารถอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างยั่งยืน
- จากพระวิสัยทัศน์ในอดีต ปัจจุบันผืนป่าดอยตุงได้ถูกต่อยอดสู่การเป็นแหล่ง "คาร์บอนเครดิต" ตามเทรนด์โลก สร้างประโยชน์ทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจชุมชน
ป่าไม้ มีความสำคัญต่อชีวิต ความเป็นอยู่ของผู้คน ให้ออกซิเจน ที่พักอาศัย ให้งาน น้ำ อาหาร ตลอดจนเชื้อเพลิง
กองทุนสัตว์ป่าโลก (World Wide Fund for Nature - WWF) ระบุว่า โลกมีประชากรมากกว่า 1.6 พันล้านคนที่พึ่งพาป่าไม้สำหรับอาหารและเชื้อเพลิง กับอีกประมาณ 70 ล้านคน (รวมถึงชุมชนชนพื้นเมืองหลายแห่ง) อาศัยอยู่ในป่า
ด้วยจำนวนคนมากมายที่พึ่งพาป่าไม้ ชะตากรรมของป่า อาจกำหนด 'ชะตากรรมของมนุษย์' เองเช่นกัน
สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงมีพระวิสัยทัศน์ก้าวไกลมาตลอด โดยเฉพาะเรื่อง ป่าไม้ ซึ่งเชื่อมโยงกับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของชาวไทยภูเขาและการพัฒนาที่ยั่งยืน หลังเสด็จฯ ไปเยี่ยมชาวไทยภูเขาทางภาคเหนือนับตั้งแต่ปีพ.ศ.2515 เวลานั้นพระองค์ทรงมีพระชนมายุ 72 พรรษาแล้ว
“ทรงจำได้ว่าเมื่อครั้งเสด็จเยี่ยมชาวไทยภูเขาครั้งแรก ประเทศไทยเคยมีป่าไม้ แล้วค่อยๆ หายไป ซึ่งป่าไม้เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำลำธารที่เป็นทรัพยากรสำคัญสำหรับมนุษย์และประเทศ คนไทยตั้งแต่เหนือจรดใต้ต้องใช้น้ำ รัชกาลที่ 9 ก็ทรงทำเรื่องน้ำ สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงถึงได้มีโครงการป่ารักน้ำ ทุกพระองค์ทรงเห็นความสำคัญของชีวิตมนุษย์นะคะ ถ้าพวกเขาอยู่ได้ หรืออยู่ได้ดีตามอัตภาพ ก็จะเกิดความช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้”
ท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ ประธานคณะกรรมการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้สัมภาษณ์ถึงพระวิสัยทัศน์ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ในพิธีเปิดนิทรรศการ ‘คิดถึง...สมเด็จย่า ครั้งที่ 28: เส้นทางแม่ฟ้าหลวง…จากวันวานสู่วันนี้’ ประจำปี 2568 ณ ไอคอนสยาม
สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงเป็นหม่อมในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และทรงเป็น “สมเด็จพระบรมราชชนนี” ในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร (รัชกาลที่ 8) และพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) ทรงเป็นสมเด็จพระอัยยิกาเจ้าในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงเป็น สมเด็จย่า ของปวงชนชาวไทย
สมเด็จย่า : “ฉันจะปลูกป่าบนดอยตุง”
ท่านผู้หญิงบุตรี เล่าว่า “สมเด็จย่าประทับอยู่ที่สวิต(สวิตเซอร์แลนด์)มาโดยตลอด แต่จะเสด็จมาเมืองไทยเพื่อเยี่ยมเยียนประชาชนเป็นครั้งเป็นคราว รัชกาลที่ 9 เมื่อทรงเห็นว่าสมเด็จย่าน้ำหนักลดลงเพราะตรากตรำในการเสด็จไปนู่นมานี่ ก็จะเชิญเสด็จกลับไปสวิต ให้ไปบำรุง พอถึงเวลากลับมาใหม่ได้ ก็เชิญเสด็จกลับมา
สมเด็จย่ารับสั่งว่า ถ้าท่านอายุ 80 จะเลิกเล่นสกี และอยากกลับมาทำประโยชน์อยู่เมืองไทย จะมาประทับเมืองไทย
คุณชายดิศนัดดา (ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล เลขานุการส่วนพระองค์ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี) กราบทูลถามว่า ท่านทรงอยากทำอะไร ท่านรับสั่งว่า อยากมาทำงาน อยากปลูกป่าทางเหนือ”
ย้อนกลับไปเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน หากมองจากมุมมองของนก ดอยตุง หรือพื้นที่บนดอยสูงในเขตอำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย คงเห็นเป็นเพียงผืนดินสีน้ำตาลแดงของภูเขาหัวโล้นทอดยาวสุดลูกหูลูกตา แซมด้วยจุดสีเขียวเล็กจ้อยกระจายตัวอยู่เพียงประปราย
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มาถึงพื้นที่เมื่อ ‘สมเด็จย่า’ เสด็จฯ เยือนดอยตุงเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2530 และทรงตระหนักว่ารากเหง้าปัญหาของคนในพื้นที่ดอยตุง คือความยากจนและขาดโอกาสในการดำเนินชีวิต ทรงมีพระราชดำรัสว่า
“ฉันจะปลูกป่าบนดอยตุง”
จึงทรงริเริ่ม โครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงราย นำมาสู่ความร่วมมือเพื่อพลิกฟื้นผืนป่านับแสนไร่ และพัฒนาอาชีพให้ชาวดอยตุงกว่าหมื่นชีวิต แม้ว่าปีนั้นพระองค์ทรงมีพระชนมายุ 87 พรรษาแล้วก็ตาม
ปลูกคน ปลูกป่า
วิธีปลูกป่าของสมเด็จย่า ทรงเริ่มด้วยการ ปลูกคน หมายถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนในพื้นที่ให้ดีขึ้นอย่างเป็นขั้นเป็นตอน บนความเชื่อสำคัญที่ว่า หากสร้างหนทางให้ชาวบ้านหลุดพ้นจาก วงจร ‘ความเจ็บป่วย ความยากจน และความไม่รู้’ ได้ ปัญหาสังคมและการทำลายธรรมชาติเพื่อความอยู่รอด ก็จะหมดไปในที่สุด
ทรงมีพระวิสัยทัศน์ในการทรงงานว่า ต้องสอนให้ชาวบ้านช่วยเหลือตัวเองก่อน แล้วค่อยๆ ช่วยเหลือครอบครัว แล้วขยายในหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ
“เริ่มจากเล็กๆ แล้วขยายออกไป ระเบิดจากข้างในเพื่อออกไปข้างนอก สอนคนให้รู้จักคุณค่า เป็นคนดี ให้มีความรักซึ่งกันและกัน รักเพื่อนบ้านของตัวเองด้วย คือประเทศชาติ
สมเด็จย่ารับสั่งว่า ท่านปลูกป่าปลูกคน คนอยู่กับป่าได้ สมัยก่อนไฟป่าที่เกิด เพราะส่วนใหญ่จุดไฟไล่สัตว์จับมาเป็นอาหาร เป็นเรื่องปากท้อง ถ้าให้เขาปลูกของที่รับประทานได้ล่ะ
พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่เก้าทรงทำเรื่องลูกท้อ เมื่อนำไปปลูกตรงนั้นตรงนี้ ชาวบ้านอาศัยรับประทานได้ ขายได้ เขาก็หวงของของเขา ก็จะไม่ไปจุดไฟ ไม่ทำลาย” ท่านผู้หญิงบุตรี เล่า
การเกิดพระตำหนักดอยตุง
สมเด็จย่าทรงมีพระราชปณิธานที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงทั้งพื้นที่และชีวิตชาวไทยภูเขา ดังพระราชดำรัสที่ว่า
“ตกลงฉันจะมาปลูกบ้านที่นี่ แต่ถ้าไม่มีโครงการดอยตุง ฉันก็จะไม่มาปลูกบ้านที่นี่ ฉันอยากปลูกบ้านมาสิบกว่าปีแล้ว แต่ไม่มีใครรับปากฉัน”
ท่านผู้หญิงบุตรีเล่าเพิ่มเติมว่า ม.ร.ว.ดิศนัดดาตระเวนไปทั่วดอยตุงซึ่งเวลานั้นเป็นภูเขาหัวโล้นทั้งนั้น ในที่สุดก็พบพื้นที่แห่งหนึ่งเหมาะสำหรับสร้างพระตำหนัก
สมเด็จย่าทรงเช่าพื้นที่ดังกล่าวจากกรมป่าไม้ และทุก 30 ปีต้องขออนุญาตเพื่อที่จะประทับต่อและทรงงาน
พ.ศ.2533 เป็นปีที่สมเด็จย่าทรงเจริญพระชนมพรรษา 90 พรรษา และเป็นปีที่ พระตำหนักดอยตุง ก่อสร้างแล้วเสร็จ ทหารและราษฎรทั่วประเทศร่วมกันปลูกป่าถวายบนพื้นที่เขาหัวโล้น 9,000 ไร่ ที่แบ่งเป็นแปลงหมายเลขต่างๆ ส่วนใหญ่ปลูกต้นสนเพราะเห็นว่าเหมาะกับภูมิอากาศและพื้นที่สูง
แต่สมเด็จย่าทรงรับสั่งเพิ่มเติมว่า ขอให้นำ พันธุ์ไม้ที่เคยอยู่ในพื้นที่ กลับมาปลูกคละกันด้วย ค่อยๆ ปลูกเสริมเข้าไปเพื่อสร้างระบบนิเวศของป่าดั้งเดิม
โครงการพัฒนาดอยตุงฯ 3 ระยะการพัฒนา
ต้นแมคคาเดเมีย สมเด็จย่าทรงปลูกบนดอยตุงเมื่อวันที่ 30 พ.ค.2532
คนส่วนใหญ่มักหวังเห็นความสำเร็จเกิดขึ้นในชั่วพริบตา แต่ความจริงนั้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือการพัฒนาใดสำเร็จได้ชั่วข้ามคืน โครงการพัฒนาดอยตุงฯ จึงแบ่งการพัฒนาทั้งหมดเป็น 3 ระยะ
เริ่มจากขั้นแรก เป็นการ พัฒนาปัจจัยพื้นฐานการดำรงชีวิต วางระบบสาธารณูปโภคและสาธารณสุข เพื่อให้ชุมชน ‘อยู่รอด’ พ้นจากความอดอยาก และให้ความสำคัญกับการส่งเสริมอาชีพระยะต้น โดยไม่บุกรุกทำลายพื้นที่ป่าเหมือนในอดีต เพื่อให้ชาวบ้านสามารถลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ และลดปัญหาหนี้สินในครัวเรือน
อาชีพแรกบนดอยตุงที่มาพร้อมกับการฟื้นฟูผืนป่า คือ การปลูกพืชเศรษฐกิจ โครงการพัฒนาดอยตุงฯ มอบสิทธิ์ให้ชาวบ้านเป็นเจ้าของ ต้นกาแฟ หากใครดูแลต้นกาแฟให้ได้ผลผลิตดีมีคุณภาพ ก็จะได้ผลตอบแทนมากขึ้นตามไปด้วย
ความรู้สึกเป็นเจ้าของ ทำให้ชาวบ้านเอาใจใส่และดึงศักยภาพของตนเองมาใช้อย่างเต็มที่ หลายคนสามารถพัฒนาต่อยอดไปสู่การเป็นเจ้าของกิจการกาแฟได้ในที่สุด
พืชเศรษฐกิจอีกหนึ่งประเภทคือ แมคคาเดเมีย สามารถแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลากหลายและขายได้ราคา ถ้าดูแลดีก็ยืนต้นอยู่ได้นาน เปรียบเสมือนเพื่อนคู่ครอบครัวที่เติบโตไปพร้อมลูกหลาน
การพัฒนาขั้นถัดมา คือระยะ พอเพียง เน้นการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและยกระดับคุณภาพชีวิตด้วยการเพิ่มมูลค่าผลผลิตในท้องถิ่น ส่งเสริมอาชีพที่เหมาะสมกับภูมิสังคมและภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อปูพื้นฐานให้ชุมชนนำไปต่อยอดสร้างรายได้ในระยะยาวที่มั่นคง
รวมทั้งจัดสรรอาชีพรองรับคนรุ่นใหม่ที่สนใจงานประเภทอื่น เช่น งานในโรงงานแปรรูป งานหัตถกรรม งานเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ งานด้านท่องเที่ยว การพัฒนาแบรนด์สินค้าดอยตุงไลฟ์สไตล์
ปัจจุบัน ชาวดอยตุงกำลังอยู่ในก้าวย่างสำคัญของการพัฒนไปสู่ระยะ ยั่งยืน คือการให้การศึกษากับเด็กและเยาวชน ปลูกฝังการเรียนรู้ตลอดชีวิต เสริมสร้างศักยภาพโดยยึดเด็กเป็นศูนย์กลาง สอนให้เด็กปฐมวัยเรียนรู้ผ่านกระบวนการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง จัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย ฯลฯ
แหล่งคาร์บอนเครดิต
จากพระราชปณิธานสามัญและเรียบง่ายด้วยพระราชดำรัส “ฉันจะปลูกป่า” เมื่อ 30 ปีก่อน ปัจจุบันกลายเป็นความสอดคล้องกับเทรนด์โลกที่ให้ความสำคัญกับแนวคิด คาร์บอนเครดิต ที่สามารถซื้อขายและแลกเปลี่ยนเพื่อนำไปใช้ในการบรรลุเป้าหมายขององค์กรที่กำหนดไว้ หรือเพื่อชดเชยผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเมื่อดำเนินกิจกรรมต่างๆ และสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
หนึ่งในที่มาของ ‘คาร์บอนเครดิต’ ที่สากลยอมรับร่วมกันคือ โครงการปลูกป่า
ทั้งนี้ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้ริเริ่มนวัตกรรมใหม่เพื่อยกระดับคุณภาพป่าในเมืองไทยให้เป็นแหล่งคาร์บอนเครดิต และให้ชุมชนที่อาศัยอยู่ร่วมกับป่ามีอาชีพและรายได้เพิ่มขึ้น เป็นประโยชน์ต่อคนและสิ่งแวดล้อม ภายใต้โครงการต้นแบบ “คุณดูแลป่า เราดูแลคุณ” เมื่อปี 2563
ต่อมาได้ขยายผลโครงการต้นแบบดังกล่าวมาสู่ โครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ในปี 2564 ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และภาคีภาคเอกชนที่สนใจ
ถึงปัจจุบัน มีผลการดำเนินงานครอบคลุมพื้นที่ป่า 253,914 ไร่ ร่วมกับป่าชุมชน 267 ชุมชน ใน 11 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ พะเยา แม่ฮ่องสอน กำแพงเพชร อุทัยธานี กระบี่ ยโสธร อำนาจเจริญ น่าน และ ลำปาง
โดยมีเป้าหมายที่จะดำเนินงานในพื้นที่ป่าชุมชนให้ครบ 6.3 ล้านไร่ ภายในปี 2578 และคาดว่าจะมีปริมาณคาร์บอนเครดิตจากภาคป่าไม้ที่ได้การรับรองตามมาตรฐาน T-VER (Thailand Voluntary Emission Reduction Program) เพื่อชดเชยการปล่อยคาร์บอนภายในประเทศได้ไม่ต่ำกว่า 6 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าในแต่ละปี
จากการสำรวจผืนป่าดอยตุง รายงานเมื่อปี 2566 พบพันธุ์ไม้ทั้งหมด 1,379 ชนิด เป็นพืชชนิดใหม่ของโลก จำนวน 9 ชนิด และรอการรับรองอีก 2 ชนิด
- พบพืชหายากที่เคยมีในพื้นที่ดอยตุง 16 ชนิด
- พบดอกไม้ที่มีเฉพาะในพื้นที่ดอยตุง อาทิ นครินทรา, กระดิ่งวัดน้อย, ม่วงกำมะหยี่, เทียนดอยตุง, กระโถนพระฤาษี
- พบสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 40 ชนิด
- แมลงบก-แมลงน้ำ 850 ชนิด
- สัตว์เลื้อยคลาน 27 ชนิด
- สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ 58 ชนิด
- ปลา 31 ชนิด
- สัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์ 4 ชนิด คือ เลียงผา, ลิ่น, แมวดาว และหมีขอ
- สะท้อนความอุดมสมบูรณ์และความหลากหลายทางชีวภาพของผืนป่าแห่งนี้
วันนี้ที่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ 6 ก็ยังคงยึดมั่นในพันธกิจเดิมในฐานะผู้ดำเนินโครงการพัฒนา ผู้เผยแพร่องค์ความรู้ ผู้ขับเคลื่อนนโยบาย และผู้ให้คำแนะนำปรึกษา เพื่อสร้างสรรค์โลกให้ดีขึ้นกว่าเดิม
น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ 21 ตุลาคม ของทุกปี
อ้างอิง - ภาพ







