SX Talk : ชีวิตพอดีในแบบนุ่น-ศิรพันธ์ และการตายดี เรื่องเล่าคุณหญิงจำนงศรี

SX Talk : นุ่น ศิรพันธ์ เล่าถึงชีวิตที่พอเหมาะพอดี เลือกที่จะไม่มีลูก และวางแผนบั้นปลายชีวิต ส่วนคุณหญิงจำนงศรี อยากให้คนเข้าใจเรื่องการตายดีมากขึ้น
"มีความสุขเวลาอยู่กับต้นไม้และป่า ทุกอย่างเป็นเรื่องเดียวกัน...." ป้าศรี-คุณหญิงจำนงศรี หาญเจนลักษณ์ ผู้ก่อตั้งบริษัทชีวามิตร วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด กล่าว
ส่วนนุ่น-ศิรพันธ์ วัฒนจินดา นักแสดงและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัทคิดคิด จำกัด (กิจการเพื่อสังคม)บอกว่า“ถ้าเราทำไม่ดีกับธรรมชาติ มันก็ไม่ดีต่อเรา เหมือนเราทำร้ายตัวเอง”
เรื่องเล่าส่วนหนึ่งในงาน SX sustainability Expo2025 โดยมี ดร.ดีพร้อม เทพหัสดิน ณ อยุธยา ผู้ก่อตั้ง KidWise Studios นวัตกรรมสื่อเพื่อความยั่งยืน เป็นพิธีกร ในหัวข้อ คืนสู่ดิน เซคชั่น SX Talk
ทั้งป้าศรีและนุ่น ศิรพันธ์ ต่างเป็นคนทำงานเพื่อสังคมที่ทำมาอย่างต่อเนื่องกว่าสิบปี เพราะเชื่อว่า ธรรมชาติและมนุษย์อาศัยผืนดินเดียวกัน พึ่งพิงอาศัยซึ่งกันและกัน
ถ้าจะเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น ทั้งสองเลือกทำแต่พอเหมาะพอดีสำหรับตัวเอง โดยคำนึงถึงความยั่งยืน
นุ่น ยอมรับว่า ผู้ชายข้างกายมีส่วนทำให้เธอสนใจเรื่องธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในมิติที่ลึกขึ้น และกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน รวมถึงการเลือกไม่มีลูก เป็นการเลือกที่พอเหมาะพอดีกับชีวิตของเธอและสามี
ส่วนป้าศรี บอกว่า อีกไม่กี่ปีจะเข้าสู่วัย 90 ปี ยังมีแพสชั่นที่จะทำงานเพื่อสังคม อยากให้คนเข้าใจกระบวนการตายดี และธรรมชาติมากขึ้น
เรื่องราวทัศนะความคิดของนุ่น ศิรพันธ์ และป้าศรี คุณหญิงจำนงศรี มีหลายเรื่องน่าสนใจ
- ชีวิต ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมมีความสำคัญต่อพวกคุณอย่างไร
ป้าศรี : ตอนนี้อายุเกือบ 86 ปี อีกไม่กี่ปีก็ 90 ปี เรื่องความตายจึงอยู่ข้างหน้า ชีวิตช่วงหลังๆ ของป้ามีความสุขตลอดเวลา เพราะตัวเราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เราจึงมีความสุขเวลาอยู่กับต้นไม้และป่า ทุกอย่างเป็นเรื่องเดียวกัน
ใบไม้ร่วงลงพื้นก็ค่อยๆ ย่อยสลายกลายเป็นดิน เป็นอาหารให้สัตว์ และเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศ เราก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ทั้งหมดคือเรื่องเดียวกัน เมื่อเราพูดถึงสิ่งแวดล้อมก็คือเรื่องชีวิตและธรรมชาติ วัฏจักรการกิน อยู่และตาย เป็นเรื่องธรรมดา
นุ่น : ก่อนหน้านี้คิดว่า ธรรมชาติก็เป็นสภาพแวดล้อมหนึ่งที่เราอาศัยอยู่ ก็ใช้ชีวิตปกติ ถ้าเราอยู่ในสภาพแวดล้อมดีๆ เราก็น่าจะดีด้วย จนมาสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม เพราะผู้ชายข้างกาย ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ อยากจะทำเพื่อโลก จนมีความเข้าใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เมื่อเราใช้ชีวิตกับธรรมชาติ ไม่ใช่ต่างคนต่างอยู่ ไม่ใช่ว่าเราพึ่งพิงเขา จริงๆ แล้วคือ โลกใบเดียวกัน
เมื่อเราเห็นความจริงบางอย่าง หากเราทำไม่ดีกับธรรมชาติ มันก็ไม่ดีต่อเรา กลับมาทำร้ายตัวเรา และดินคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้เรามีชีวิตที่ดีได้
- มีการวางแผนชีวิตอย่างไร
นุ่น : ทำงานกับพี่ท็อป(พิพัฒน์ อภิรักษ์ธนากร) เราทำเป็นกิจการเพื่อสังคม เปิดบริษัทคิดคิดกว่า 15 ปี ชักจูงมาสู่ความยั่งยืน ความรักอย่างเดียว คงไม่สามารถนำพาความสัมพันธ์มาได้จนถึงทุกวันนี้ เราเป็นคู่ชีวิตที่มีแพสชั่นเดียวกัน ทั้งเรื่องทัศนคติการใช้ชีวิต การเห็นคุณค่าการดำเนินชีวิตและมีอุดมการณ์ร่วมกัน นำพาให้เราอยู่กันได้จนถึงวันนี้
ถ้าแค่ชอบผู้ชายคนหนึ่ง แล้วใช้ชีวิตร่วมกัน อาจจะจบตั้งแต่ปีหรือสองปี ความหล่อมีเวลา ณ วันนี้นุ่นและพี่ท็อปก็แก่ลง และมีริ้วรอยมากขึ้น แต่สิ่งที่เราเห็นเขามากขึ้นคือ คุณค่าการทำเรื่องสิ่งแวดล้อม
นี่คือความหล่อที่หล่อมากขึ้นเรื่อยๆ เราเห็นอุดมการณ์ของเขา มากกว่าความหล่อที่เขามี ทำให้ความสัมพันธ์ของเรามีคำว่า ยั่งยืน ไม่ใช่แค่ความรักอย่างเดียว
กลับมาเรื่องคู่ชีวิต เราเลือกไม่มีลูก พี่ท็อปใช้คำว่า พอเหมาะพอดีสำหรับเรา อาจไม่เลิศหรูตามค่านิยมสังคม ถ้าเราแก่ หรือเกษียณ ก็วางแผนไว้แล้วว่า จะอยู่บ้านพักคนชราหรือจะทำงานเพื่อเลี้ยงดูตัวเองแค่ไหนอย่างไร
สุดท้ายแล้วเราต้องตาย หากวันหนึ่งใครจากไปก่อน เราคุยกันแล้วว่าจะจัดการอย่างไร เพื่อให้คนข้างหลังอยู่ได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น
- งานสิ่งแวดล้อมที่ทำอยู่เป็นอย่างไรบ้าง
นุ่น : การขายสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พี่ท็อปดูแลเรื่องการออกแบบ นุ่มดูแลจัดการเรื่องโรงงาน เมื่อเรามองว่าเรื่องสิ่งแวดล้อมสำคัญ การทำสินค้าด้านสิ่งแวดล้อมจะผลิตจำนวนเยอะไม่ได้ เราทำจากเศษวัสดุหายากและต้องมีคุณภาพ เราไม่ได้มองเรื่องรายได้ แต่มองเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ถ้าต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงจำนวนมาก การทำผลิตภัณฑ์รักษ์โลกอย่างเดียว คงไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ก็เลยมองว่า น่าจะสร้างองค์ความรู้ให้คนในองค์กร และการชักชวนคนไปมาปลูกป่า มันเล็กเกินไป จึงสร้างแอพฯ ECOLIFE เพื่อชักชวนให้คนลองเปลี่ยนแปลงเพื่อโลก
ปีที่ผ่านมาทำงานกับคนในมหาวิทยาลัย เรามองว่าถ้าจะเปลี่ยนแปลงคน ต้องคนเจนนี้ เพราะเปิดรับเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ก็ไปบรรยายตามที่ต่างๆ ทำมา 15 ปี บริษัทก็อยู่ได้
และสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลง ปีหนึ่งมีคนกว่าแสนคนที่รับรู้สิ่งที่เราอยากสื่อ และสามารถสร้างผลกระทบมากกว่าการขายสินค้าเรื่องสิ่งแวดล้อม ที่มีลูกค้าแค่หลักพัน
- ชีวามิตร ทำเรื่องอยู่ดี ตายดี ?
ป้าศรี : เรื่องความตายฝังอยู่ในความรู้สึกป้าตั้งแต่เด็ก แม่เสียชีวิตตอนอายุ 2 ขวบกว่าๆ เราเป็นเด็กโดดเดี่ยวและอยู่เมืองนอก ตอนนั้นเป็นคนไทยในหมู่คนต่างชาติ ชอบอ่านหนังสือ เคยคิดหาคำตอบว่า เมื่อตายแล้ว ชีวิตจะไปไหนต่อ
จำได้ว่า เมื่อ20-30 ปีเคยเห็นความตายของหมอที่นับถือกัน อายุ 99 ปี รักษาตัวในโรงพยาบาลเอกชน ตอนนั้นมีท่อช่วยหายใจคาที่ปาก ดึงออกไม่ได้ ถูกมัดมือมัดเท้า เพราะกลัวท่านจะดึงออก อยู่ได้หนึ่งเดือนก็เสียชีวิต
ตอนนั้นท่านมองมาที่เราแล้วร้องไห้ หมอไม่กล้าเอาท่อช่วยหายใจออก กลัวว่าคนไข้จะเสียชีวิต ทุกครั้งที่ความดันโลหิตตก ก็ฉีดยากระตุ้นหัวใจ
ลูกสามคนก็ทรมานใจ เมื่อเราถามว่า อยากปล่อยให้คุณพ่อจากไปไหม ลูกๆ ไม่มีใครพูดอะไรเลย ป้าได้เรียนรู้ว่า ลูกเองไม่รู้จะเลือกอย่างไร
ป้าจึงถามหมอว่า ปล่อยคนไข้ไป โดยไม่ต้องฉีดยากระตุ้นหัวใจเมื่อเกิดภาวะความดันตกได้ไหม หมอบอกว่า ท่านจะเสียชีวิต อาการเหมือนคนจมน้ำตาย เพราะน้ำท่วมปอด
ตอนนั้นป้าไม่มีความรู้ และลูกๆ เขาก็ปล่อยให้เราจัดการ จนมาเจอคุณหมออีกท่าน บอกว่า ถ้าเป็นพ่อผม ผมก็ปล่อย จากนั้นอีกสองวันคนไข้เสียชีวิต
กรณีนี้ทำให้ป้าเข้าใจความทรมานของลูกที่มีคำว่ากตัญญูและความไม่เข้าใจเรื่องการแพทย์ และไม่รู้จะสื่อสารกับแพทย์อย่างไร อยากบอกเป็นความรู้ว่า การเจาะคอทรมานน้อยกว่าการใส่ท่อช่วยหายใจ
ป้าเริ่มศึกษาทุกด้านของความตาย และเข้าใจคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ทั้งเรื่องความรัก ความกตัญญู พวกเขามีคำถามในใจว่า ถ้าจะปล่อยให้พ่อแม่เสียชีวิตจะบาปไหม หากถามว่า กรณีนี้เป็นห่วงใคร...ห่วงตัวเองไหม
อีกเรื่องที่ป้าเรียนรู้จากโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง คุณหมอบอกป้าว่า คนที่ตายทรมานยืดยาวที่สุดคือ พ่อแม่ของบุคลากรทางการแพทย์ เพราะพวกเขาได้สิทธิดูแลพ่อแม่วาระสุดท้ายในโรงพยาบาล โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ในสายตาเพื่อนๆ ถ้าปล่อยให้พ่อแม่จากไป ดูเหมือนไม่กตัญญู เพราะรัฐช่วยเรื่องค่าใช้จ่าย
แล้วจริงไหม...ถ้าไม่ฉีดยากระตุ้นหัวใจ ผู้ป่วยจะมีอาการเหมือนน้ำท่วมปอด ป้าเข้าใจเรื่องนี้แล้ว คนไม่เข้าใจมาคุยกับชีวามิตรได้เลย นี่คือจุดที่ทำให้ก่อตั้งชีวามิตร
ในวาระสุดท้ายของคนป่วย เมื่ออวัยวะหนึ่งเสื่อมสภาพแล้ว ร่างกายไม่ต้องการพลังงาน เมื่อไม่ต้องการ ก็ไม่กิน คนไข้ก็หิวน้อยลง เมื่อถึงจุดหนึ่งคนไข้จะหยุดดื่ม เพราะการดื่มช่วยในเรื่องการย่อยอาหาร ทำให้อาหารที่ส่งไปตามเส้นเลือดนำไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ มาถึงจุดหนึ่งไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำ
ขณะเดียวกัน ก้านสมอง ระบบประสาทอัตโนมัติ จะสั่งให้หลั่งสารฮอร์โมนเหมือนยาระงับประสาทธรรมชาติ ทำให้คนไข้อยากนอนและหลับไป
เราสู้มาสิบกว่าปี เพื่อให้เกิดความเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้น เราเดินทางไปกับหมอ เพื่อเรียนรู้เรื่องการตายดีกับโรงพยาบาลทั่วโลก จนกระทั่งโรงพยาบาลในเครือข่ายกระทรวงสาธารณสุข มีหน่วยการดูแลแบบประคับประคอง
นี่คือประวัติชีวามิตร เราสู้เพื่อให้ความรู้ในเรื่อง การตายดี คนที่จะกตัญญูต่อพ่อแม่ในวาระสุดท้าย มาศึกษาเรื่องกระบวนการการตายกับชีวามิตรได้ เรามีหนังสือคู่มือแจก
- คิดเห็นกับเรื่องนี้อย่างไร
นุ่น : ทำให้รู้ว่า ความตายไม่น่ากลัว เมื่อโลกสร้างคุณค่าให้มนุษย์ แล้วเราทำอะไรเพื่อโลกใบนี้บ้าง เรื่องนี้ไม่ใช่แค่การลดการใช้พลาสติก หรือลดมลพิษ เรื่องความตายสามารถเป็นมิตรกับโลกใบนี้ได้ และให้บางอย่างคืนโลกได้







