เถรอดเพล: ของเล่นโบราณ สู่สถาปัตยกรรมโมดูลาร์ลดคาร์บอน

มิวเซียมสยาม ชวนสำรวจพลังการเล่นสู่ความสำเร็จ! ของเล่นกลไม้โบราณ "เถรอดเพล" สู่นวัตกรรมสถาปัตยกรรมโมดูลาร์ลดคาร์บอน บาร์บี้ ของเล่นสังกะสี เท็ดดี้แบร์ ซ่อนพลังใด
KEY
POINTS
- เถรอดเพล คือของเล่นโบราณประเภทกลไม้ 6 ชิ้น ที่ใช้หลักการเข้าสลักเพื่อยึดติดกันโดยไม่ต้องใช้ตะปู
- หลวงตาโจ้ย ต่อยอดของเล่นดังกล่าวให้กลายเป็น 'เครื่องตั้ง' สำหรับประกอบพิธีศพ ซึ่งเป็นโครงสร้างที่สามารถถอดประกอบและเคลื่อนย้ายได้
- หลักการของเถรอดเพลได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ม.ศิลปากร นำไปพัฒนาเป็นข้อต่อสำหรับสร้างศาลาแบบโมดูลาร์ได้จริง
- แนวคิดการเข้าสลักของเถรอดเพลถูกมองว่าเป็นต้นแบบของสถาปัตยกรรมที่ยั่งยืน สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ช่วยลดการใช้ทรัพยากรและลดการปล่อยคาร์บอน
- บาร์บี้ ของเล่นสังกะสี เท็ดดี้แบร์ หมากเก็บ ลูกแก้ว ฯลฯ ซ่อนพลังใด
เถรอดเพล (เถน-อด-เพน) เป็นชื่อของเล่นโบราณ ทำด้วยไม้ 6 ชิ้น มีรอยบากที่แตกต่างกัน เข้าสลักกันอย่างซับซ้อน หากสามารถเข้าสลักได้สำเร็จ ไม้ทั้ง 6 ชิ้นจะเกาะตัวกันเป็นรูปทรงลูกบาศก์สามมิติ คนไทยโบราณเรียกของเล่นประเภทนี้ว่า “กลไม้”
พิเคราะห์จากชื่อ ของเล่นกลไม้ชนิดนี้แก้กลได้ยาก ขนาดนักบวชยังใช้เวลาแก้กลจนเลยเวลาฉันเพล
จุดกำเนิด ‘กลไม้ 6 ชิ้น’ มีที่มาไม่ทราบแน่ชัด เว็บไซต์ puzzle museum เรียกของเล่นลักษณะนี้ว่า BURR puzzle และระบุว่าของเล่นนี้ยังเป็นที่รู้จักกันในนาม Chinese Cross หรือ ‘กางเขนชาวจีน’ เนื่องจากถูกส่งจากประเทศจีนไปยังยุโรปประมาณต้นศตวรรษที่ 18 สมัยนั้นของเล่นนี้ทำด้วยงาช้าง เริ่มเป็นที่นิยมเล่นกันแพร่หลายในปลายศตวรรษที่ 18 นั่นเอง
ขณะที่เว็บไซต์ kubiyagames ระบุว่า BURR puzzle มีจุดเริ่มต้นจากประเทศเยอรมนี
ใครเป็นคนตั้งชื่อ ‘เถร-อด-เพล’ ไม่ทราบแน่ชัด แต่ผู้ซึ่งต่อยอดของเล่นกลไม้นี้ให้เป็นมากกว่าของเล่นคือ หลวงตาโจ้ย (โจ้ย จ้อยสวัสดิ์)
หลวงตาโจ้ย เกิดปีพ.ศ.2410 (ปลายสมัยรัชกาลที่ 4) ชีวิตวัยหนุ่มเรียบง่าย พายเรือรับจ้างบรรทุกข้าวในจังหวัดนครปฐม มีครอบครัวแล้วจึงบวชที่วัดไทร ในอำเภอนครชัยศรี เมื่ออายุ 60 ปี
วันหนึ่งในพรรษาแรก เจ้าอาวาสวัดไทรมอบของเล่นกลไม้ ‘เถร อด เพล’ ให้พระใหม่ลองแก้กล ไม่มีใครในวัดถอดสลักกลไม้ออกได้ หลวงตาโจ้ยก็เช่นกัน
‘เครื่องตั้ง’ ที่หลวงตาโจ้ยพัฒนาจากของเล่นกลไม้ ‘เถรอดเพล’
แต่หลวงตาโจ้ยไม่ยอมแพ้ ว่ากันว่าท่านใช้เวลา 1 คืนเต็มๆ จึงคลี่ออกได้สำเร็จ และศึกษากลไม้นี้ต่อไปอย่างจริงจัง ถอดประกอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ใช้เวลารวม 8 ปี จึงสามารถต่อยอดกลไม้ ‘เถร อด เพล’ เป็น เครื่องตั้ง ใช้สำหรับตั้งศพสำหรับประกอบพิธีบำเพ็ญกุศล
‘เครื่องตั้ง’ ของหลวงตาโจ้ย สามารถถอดประกอบได้ง่าย เนื่องจากใช้การเข้าสลัก ไม่ได้ตอกตะปู เมื่อไม่ใช้งานก็ถอดเก็บ ต่อเมื่อจะใช้งานก็นำมาประกอบได้ใหม่ กลายเป็นผลงานประวัติศาสตร์ชิ้นหนึ่งของวงการสถาปัตยกรรมไทย
ผลงาน ‘เครื่องตั้ง’ ของหลวงตาโจ้ยที่ต่อยอดจาก ‘เถรอดเพล’ เป็นแรงบันดาลใจให้ พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ หรือ Museum Siam (มิวเซียม สยาม) สร้างสรรค์นิทรรศการ Thai Rubik- Play Instinct: เล่นให้เป็นจริง ชวนผู้เข้าชมนิทรรศการกลับไปสำรวจ ‘ของเล่น’ ที่แฝงด้วยความคิดสร้างสรรค์ อุดมการณ์ และแรงบันดาลใจ มากกว่าที่เคยเข้าใจว่าเป็นเพียงของเล่น
“ใครจะไปรู้ว่าจากของเล่นกลไม้ สามารถนำไปสร้างเป็นโครงสร้างที่เรียกว่า modular system สามารถถอดประกอบได้ เครื่องตั้งศพที่หลวงตาโจ้ยคิดค้นมีทั้งความสวยงาม ใช้ประโยชน์ได้จริง ถอดออกแล้วประกอบเป็นรูปร่างและขนาดตามที่เราต้องการได้ เคลื่อนย้ายไปใช้ในที่ต่างๆ ได้ พ.ศ. 2480 ยังไม่มีคำว่า ‘โลกร้อน’ ยังไม่มีคำว่าลดคาร์บอน แต่โครงสร้างของ ‘เถร อด เพล’ นำไปสู่โครงสร้างอนุรักษ์พลังงาน แล้วลดการใช้คาร์บอนได้จริงครับ” ทวีศักดิ์ วรฤทธิ์เรืองอุไร ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายนิทรรศการและกิจกรรม มิวเซียม สยาม ให้สัมภาษณ์กับ 'กรุงเทพธุรกิจ'
ทวีศักดิ์กล่าวด้วยว่า ในนิทรรศการนี้ มิวเซียมสยามได้นำกลไม้เถรอดเพลมาจัดทำเป็น แท่นที่ใช้ตั้งวางของเล่น เมื่อจบนิทรรศการสามารถถอดออกและประกอบขึ้นใหม่ให้มีขนาดตามต้องการเพื่อใช้กับนิทรรศการชุดถัดๆ ไป ประหยัดทรัพยากรได้อย่างแท้จริง
แรงบันดาลใจ ‘เครื่องตั้ง’ ของหลวงตาโจ้ย ยังส่งต่อถึงคณาจารย์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร นำโดย อาจารย์วีระ อินพันทัง หยิบกลไม้ ‘เถร อด เพล’ มาคลี่ใหม่ เพื่อศึกษาว่าจะเล่นให้เป็นจริงได้อย่างไรอีกบ้าง
อ.วีระเปลี่ยนกลไม้ 6 ชิ้นที่มีรอยบากไม่ซ้ำกัน เป็นไม้ที่บากให้มีรอยเหมือนกัน 2 คู่ (จากรอยบาก 6 แบบ จึงเหลือรอยบาก 4 แบบ) เพื่อให้ถอดและประกอบง่ายขึ้น รอยบากกินเนื้อไม้น้อยลง ทำให้โครงสร้างแข็งแรงขึ้น และที่สำคัญคือสร้างได้จริง
สิ่งที่สร้างได้จริงคือเรือนสถาปัตย์ประเภท ศาลา ที่ไม่มีเสาเข็ม ไม่มีตะปู ใช้เพียงกลไม้เล็กๆ ของ ‘เถร อด เพล’ เป็น ‘ข้อต่อ’ ซึ่งเป็นหัวใจของโครงสร้าง
อ.วีระและคณาจารย์พิสูจน์ให้เห็นว่า ‘เถร อด เพล’ ไม่ได้เป็นเพียงของเล่นอีกต่อไป แต่กลายเป็นภาษาสถาปัตยกรรมที่ต่อเติมได้ทั้งจินตนาการและโครงสร้างจริงของโลก
เถรอดเพลในรูปแบบ 'ของเล่น เครื่องตั้ง ศาลา' ได้รับการนำมาจัดแสดงให้ชมใน นิทรรศการ Thai Rubik- Play Instinct: เล่นให้เป็นจริง ร่วมกับ ‘ของเล่น’ อีกหลายประเภทที่เราอาจนึกไม่ถึงว่าเป็นส่วนหนึ่งของการหล่อหลอมความคิดและตัวตนผู้เล่น
เนื่องจาก ‘ของเล่น’ แต่ละอย่างแอบฝึกไหวพริบ สมาธิ กล้าเล่น ทักษะการเข้าสังคม และจินตนาการ พร้อมนำไปสู่การพัฒนาสิ่งใหม่ๆ
เคยเล่นหรือไม่ รางดินน้ำมัน ไม่ใช่แค่ปั้นให้สวย แต่ต้องเป่าลูกกลมๆ ให้ถึงเส้นชัย หลบหลุมให้ดี อย่าเข้าโค้งแรงเกินไป ไม่ใช่นั้นอาจตกราง สนามนี้แข่งทั้งปอดแข่งทั้งใจ ส่งเสริมจินตนาการ ตามมาด้วยไหวพริบและสมาธิ
ของเล่นสังกะสี : โลกกลไกในมือเด็ก
ของเล่นสังกะสี เคยเป็นของเล่นยอดนิยมในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 คือราว พ.ศ.2490-2510 เวลานั้นเมืองไทยเริ่มมีโรงงานผลิต ‘ของเล่นทันสมัย’ เองได้แล้ว สะท้อนถึงการฟื้นฟูเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมในประเทศไทย
ของเล่นเหล่านี้มักมีรูปทรงของยานพาหนะ เช่น รถยนต์ รถไฟ เครื่องบิน ทำด้วยสังกะสีบางๆ พับง่าย ติดลวดลายสดใสด้วยเทคโนโลยีเท่าที่จะอำนวยในยุคนั้น
นอกจากแสดงถึงความคิดสร้างสรรค์และฝีมือช่างไทยที่สามารถผลิตของเล่นสังกะสีที่มีคุณภาพและความสวยงาม
ยังนำ จินตนาการโลกยุคใหม่ มาสู่มือเด็กไทย อาจเป็นแรงบันดาลใจให้พวกเขาใฝ่ฝันที่จะประกอบอาชีพในวันข้างหน้า (ใครจะรู้)
บาร์บี้ : แบบฉบับที่ไม่ได้มีแค่แบบเดียว
บาร์บี้ (Barbie) ปรากฏตัวครั้งแรกปี 1959 พร้อมค่านิยมเรื่อง ความสวยอันเป็นแบบฉบับ (แค่แบบเดียว) เด็กผู้หญิงนับล้านเติบโตมากับภาพฝันที่ถูกพิมพ์เขียวไว้ล่วงหน้า ต้องสวย ต้องผอม ต้องแต่งตัวแฟชั่น
ต่อมา บาร์บี้ก็พยายามเป็นกระบอกเสียง ผู้หญิงเป็นอะไรก็ได้ เธอเคยเป็นนักบินอวกาศในปี 1965 ซึ่งในเวลานั้นยังไม่มีนักบินอวกาศหญิงจนกระทั่งปี 1984
บาร์บี้เคยเป็นหมอ วิศวกร นักการเมือง และอีกกว่า 200 อาชีพที่เคยเป็นพื้นที่เฉพาะผู้ชาย
วันนี้ บาร์บี้พยายามเปลี่ยนตัวเองอีกครั้ง จากผู้หญิงหุ่นเดียว สีผิวเดียว ไปสู่ตุ๊กตาหลากรูปร่าง หลายสีผิว มากความสามารถ มีทั้งขาเทียม ใช้วีลแชร์ มีความผิดปกติของสีผิว ฯลฯ เพื่อให้เด็กผู้หญิงรู้สึกว่า “เธอคือบาร์บี้ได้เหมือนกัน”
เท็ดดี้แบร์ : สัญลักษณ์ความเมตตา
ปีค.ศ.1902 ระหว่างการล่าสัตว์ในรัฐมิสซิสซิปปี ประธานาธิบดี ธีโอดอร์ รูสเวลต์ ยังไม่เจอเป้าหมายเสียที ลูกน้องของเขาจึงจับ ‘ลูกหมี’ มามัดไว้ให้เขาล่า
แต่รูสเวลต์ปฏิเสธที่จะทำเช่นนั้น
ข่าวดังกล่าวกลายเป็นการ์ตูนลงหน้าหนังสือพิมพ์แพร่ไปทั่วสหรัฐฯ จุดประกายให้เห็นถึงจิตใจด้านอ่อนโยนของรูสเวลต์
พ่อค้าของเล่นจึงเย็บของเล่นเป็นตุ๊กตาหมี ตั้งชื่อว่า Teddy’s Bear (เท็ดดี้แบร์) ตามชื่อเล่นของประธานาธิบดีรูสเวลต์
ของเล่นชิ้นนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความเมตตา ความอ่อนโยน และการปฏิเสธความรุนแรง
ยังมี ‘ของเล่น’ อีกมากมายให้กลับไปค้นหา ‘บทเรียน’ เบื้องหลังความสนุกและเสียงหัวเราะในนิทรรศการ Thai Rubik- Play Instinct: เล่นให้เป็นจริง จัดแสดงระหว่าง 10 มิ.ย.-28 ก.ย.2568 ณ มิวเซียมสยาม เข้าชมฟรี 10.00-18.00 น. (ปิดวันจันทร์)
แล้วคุณอาจพบว่าการเล่นไม่ใช่แค่เรื่องสนุก แต่เป็น ‘สนามจำลอง’ ให้เราลองผิด ลองถูก ลองล้มแล้วลุกขึ้นใหม่
ก่อนสิ่งยิ่งใหญ่จะถือกำเนิด มักเริ่มต้นจากกระบวนนี้







