สิทธิมนุษยชนกับการจัดการ “พิพิธภัณฑ์สมัยใหม่”

สิทธิมนุษยชนกับการจัดการ “พิพิธภัณฑ์สมัยใหม่”

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้เขียนได้ไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียง คือ พิพิธภัณฑ์ Kelvingrove Art Gallery and Museum เมืองกลาสโกว์ สกอตแลนด์ และพิพิธภัณฑ์ American Museum of Natural History นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา

ขณะกำลังชมสถาปัตยกรรมและโบราณวัตถุต่างๆ ที่จัดแสดง ก็สังเกตเห็นป้ายประกาศขนาดใหญ่ในห้องจัดแสดงชั้นบนของ Kelvingrove Art Gallery and Museum ซึ่งคงจะติดไว้ได้ระยะหนึ่งแล้ว 

ป้ายเขียนแนะนำประวัติความเป็นมาของวัตถุ สิ่งประดิษฐ์ และงานศิลปะที่จัดแสดง ใจความโดยรวมกล่าวว่า “ผู้จัดแสดงเชิญชวนให้ผู้เข้าชมครุ่นคิด ตีความ และทำความเข้าใจข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการค้าทาสข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกและการล่าอาณานิคมของจักรวรรดิบริติชในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16-19 ผู้จัดแสดงขอแสดงความรับผิดชอบและความห่วงใย หากภาษาที่ใช้ในป้ายต่างๆ ในบางบริบทไม่เหมาะสมหรือก่อให้เกิดความไม่สบายใจ เช่น คำว่า “ทาส” “อาณานิคม” หรือ “ลัทธิชนชาติ” และพร้อมรับข้อเสนอแนะจากผู้เข้าชมเสมอ”  

ทางพิพิธภัณฑ์ยังพยายามเลือกใช้ภาษาที่เป็นกลางมาจัดทำป้าย เพื่ออธิบายที่มาของที่ดินและอาคารพิพิธภัณฑ์ที่พ่อค้ายาสูบผู้มั่งคั่งจากแรงงานทาสได้อุทิศให้ ขณะเดียวกันที่พิพิธภัณฑ์ American Museum of Natural History ในตู้กระจกที่ควรจัดแสดงกระดูกของมนุษย์โบราณกลับมีแผ่นประกาศขนาดเล็กวางไว้แทน ระบุว่า “ผู้จัดแสดงเล็งเห็นว่า การจัดแสดงกระดูกมนุษย์จริงที่ปราศจากความยินยอมเป็นการไม่เหมาะสม และกระดูกเหล่านี้ก็มิได้ช่วยเพิ่มเติมเนื้อหาสาระของการจัดแสดงแต่อย่างใด” 

 

ผู้เขียนพบว่า เมื่อไม่นานมานี้ในสหรัฐอเมริกามีการเคลื่อนไหวในประเด็นดังกล่าว นักวิชาการส่วนหนึ่งมีความเห็นว่าโครงกระดูกและซากร่างกายของมนุษย์ที่นำมาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์หลายแห่งนั้น บางส่วนได้มาจากการลักลอบขุดค้น ปราศจากที่มาที่ชัดเจน ไม่ได้รับความยินยอม และไม่ชอบธรรม โดยเฉพาะโครงกระดูกและซากร่างกายของชนเผ่าพื้นเมือง สิ่งนี้สะท้อนถึงความไม่สมดุลของอำนาจทางชนชาติ ดังนั้น ในสหรัฐอเมริกาจึงเริ่มยกเลิกการจัดแสดงโบราณวัตถุลักษณะนี้ และหากเป็นไปได้จะมีการตรวจสอบและส่งคืนกลับไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

การไปชมพิพิธภัณฑ์และการจัดแสดงในต่างแดนและต่างเวลา ทำให้เห็นความเปราะบางที่แปรเปลี่ยนไปตามบริบทของสังคมโลก กระแสที่ผู้คนในอดีตยอมรับอาจเปลี่ยนแปลงโดยการตีความและทำความเข้าใจเนื้อหาในมุมมองที่ต่างไปของผู้คนในปัจจุบัน ร่วมกับมีข้อมูลใหม่มาเพิ่มเติม ก็ยิ่งเพิ่มแง่มุมใหม่ๆ มากขึ้น พิพิธภัณฑ์ในฐานะตัวแทนของการอนุรักษ์และถ่ายทอดวัฒนธรรมจึงต้องตระหนักถึงการจัดแสดงสมัยใหม่กับประเด็นปัญหาสิทธิมนุษยชน ซึ่งมีมากไปกว่าการใช้ภาษาที่ละเอียดอ่อนและไม่ก่อให้เกิดผลกระทบทางจิตใจ

ทั้งนี้ เพื่อการนำเสนอมุมมองความคิดที่หลากหลาย การจัดแสดงสมัยใหม่จึงต้องคำนึงถึงประเด็นสิทธิมนุษยชนในหลายมิติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น การส่งคืนทรัพย์สินทางวัฒนธรรม การจัดแสดงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์หรือสังคมที่ซับซ้อน (หากนำมาจัดแสดงโดยปราศจากบริบทที่เหมาะสม อาจนำไปสู่การตีความผิดหรือความเข้าใจที่ไม่สมบูรณ์) และการจัดแสดงวัตถุศักดิ์สิทธิ์หรือวัตถุที่มีความสำคัญทางวัฒนธรรม (ควรนำมุมมองของชุมชนนั้นมาผนวกเข้ากับการจัดแสดงอย่างเหมาะสม)

การจัดแสดงวัตถุโบราณเกี่ยวกับการค้าทาสและการล่าอาณานิคมของจักรวรรดิบริติชที่พิพิธภัณฑ์ Kelvingrove Art Gallery and Museum มีป้ายและข้อความตอนหนึ่งอธิบายบริบทและการตีความช่วงประวัติศาสตร์ที่สำคัญและซับซ้อนนี้ไว้ว่า “ช่วงกลางคริสตศตวรรษที่ 16 ถึง 19 บริเตนพัฒนาอาณาจักรโพ้นทะเล...การค้าทาสข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเกี่ยวข้องกับความมั่งคั่งของสกอตแลนด์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 

ความมั่งคั่งนี้สร้างขึ้นจากการแสวงหาประโยชน์และความรุนแรงที่กระทำต่อผู้คนที่เกี่ยวข้อง ทรัพย์สินที่ได้จากการค้าทาสและการเข้ายึดครองอาณาจักรถูกนำไปลงทุนในหลายพื้นที่ เช่น อุตสาหกรรม เกษตรกรรม ทางรถไฟ และพิพิธภัณฑ์ของเรา ในปัจจุบันประเทศต่างๆ จำนวนมากที่ถูกแสวงหาประโยชน์ผ่านการล่าอาณานิคมยังคงด้อยการพัฒนาทางเศรษฐกิจ อันเป็นผลจากแนวคิดเหยียดเชื้อชาติที่ถูกนำมาใช้เป็นข้ออ้างในการแสวงหาประโยชน์ในช่วงเวลาดังกล่าว สิ่งนี้ยังเป็นมรดกตกทอดที่พวกเขาเหล่านั้นยังต้องต่อสู้ดิ้นรนอยู่จนถึงทุกวันนี้

เช่นเดียวกับพิพิธภัณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ที่มักมีตู้มากมายที่จัดแสดงแบบธรรมชาติจำลอง โดยนำสัตว์น้อยใหญ่ที่ถูกสตัฟฟ์มาจัดวางไว้ เช่น ระบบนิเวศป่าดิบชื้นจำลอง ปัจจุบันมีการตั้งคำถามและมองว่าเป็นการสร้างธรรมชาติขึ้นใหม่ ทำให้เกิดความเข้าใจและเชื่อมโยงอย่างผิด ๆ กับแบบธรรมชาติที่แท้จริง 

ผู้ชมโดยเฉพาะเยาวชนจะซึมซับและเข้าใจผิดได้ว่าสามารถเรียนรู้ธรรมชาติได้ผ่านแบบจำลอง ผ่านรูปแบบชีวิตที่มนุษย์สร้างขึ้น แทนที่จะสังเกตและเรียนรู้จากธรรมชาติจริง ๆ (ซึ่งมีน้อยลงทุกขณะ) จึงเป็นไปได้ว่าในอนาคตจะเกิดการปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดแสดงแบบธรรมชาติจำลองที่จะกระตุ้นเตือนอย่างจริงจังให้ผู้ชมรับรู้ถึงความบอบบางและซับซ้อนของสิ่งมีชีวิตที่สัมพันธ์กันในระบบนิเวศ

กล่าวโดยสรุป นอกเหนือไปจากสื่ออินเทอร์เน็ตและแพลตฟอร์มออนไลน์ พิพิธภัณฑ์และการจัดแสดงจริงในพื้นที่สาธารณะ เช่น ห้องสมุด สนามบิน ควรมีบทบาทที่ชัดเจนต่อชุมชนและมีหน้าที่สำคัญในการปลูกฝังค่านิยมและสิทธิมนุษยชน ที่ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมและความหลากหลายทางวัฒนธรรม แก้ไขอคติในการตีความความคิด และส่งเสริมการจุดประเด็นสนทนาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก เหตุการณ์ในอดีตเกิดขึ้นและจบลงแล้ว 

หน้าที่สำคัญของคนรุ่นหลังคือทบทวน ตั้งคำถามเพื่อทำความเข้าใจ และเรียนรู้จากข้อผิดพลาดและความสำเร็จของผู้คนและเหตุการณ์ในยุคก่อน