107 ปี ศาลาเฉลิมธานี ท่องภูมิปัญญาชุมชนนางเลิ้ง รอพบอีก 3 งานใหญ่

เปิดประวัติโรงหนังนางเลิ้ง หรือ โรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมธานี ในงาน “107 ปี ศาลาเฉลิมธานี...ที่คิดถึง” เปิดพื้นที่ให้ประชาชนรู้จักผ่านกิจกรรมภูมิปัญญาชุมชนย่านนางเลิ้ง
สัญญาณว่า ศาลาเฉลิมธานี หรือที่เรียกกันติดปากทั่วไปว่า “โรงหนังนางเลิ้ง” โรงภาพยนตร์ที่เป็นหน้าประวัติศาสตร์สำคัญของวงการบันเทิงไทย กำลังจะคืนชีพอีกครั้งหลังปิดตัวและถูกทิ้งร้างไป 37 ปี
เมื่อ สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ร่วมกับ หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) และชุมชนโดยรอบตลาดนางเลิ้ง จัดกิจกรรมงาน "๑๐๗ ปี ศาลาเฉลิมธานี...ที่คิดถึง" เมื่อวันเสาร์ที่ 26 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา
งาน “107 ปี ศาลาเฉลิมธานี...ที่คิดถึง" เป็นการเปิดพื้นที่อาคารศาลาเฉลิมธานีให้ประชาชนทั่วไปได้รู้จักและเข้าเยี่ยมชม จากการมีส่วนร่วมกันระหว่าง หอภาพยนตร์, ชุมชนบริเวณใกล้เคียง, หน่วยงานภาคี รวมถึงนักศึกษาด้านศิลปะที่มีผลงานแสดงในที่สาธารณะต่างๆ
มุ่งเน้นการแสดงออกถึง ‘อัตลักษณ์ด้านศิลปวัฒนธรรมไทย’ และสนับสนุนพื้นที่ให้เด็กและเยาวชนได้แสดงความสามารถเชิงสร้างสรรค์ส่งเสริมและต่อยอดมูลค่าทางเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนในบริเวณตลาดนางเลิ้งได้ดียิ่งขึ้น
ย้อนรำลึกบรรยากาศโรงหนังเก่า
งาน "107 ปี ศาลาเฉลิมธานี...ที่คิดถึง" เริ่มขึ้นในเวลา 15.15 น. ของบ่ายวันเสาร์ที่ 26 เม.ย.2568 ผู้สนใจที่ได้รับทราบข่าวการจัดงานทยอยเดินทางมาร่วมงานอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ไม่หวั่นความร้อนของแสงแดดที่มีรายงานว่าระดับอุณหภูมิสูงสุดของวันนั้นขึ้นไปยืนอยู่ที่ 39 องศาเซลเซียส
กิจกรรมได้รับจัดขึ้นภายในอาคารของ โรงหนังศาลาเฉลิมธานี เป็นกิจกรรมที่นำพาทุกท่านย้อนรำลึกถึงบรรยากาศโรงหนังเก่า คึกคักไปด้วยกิจกรรมการแสดงบนเวที
อาทิ การแสดงโขน ฟ้อนจุ๋มสะหรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ ฟ้อนเล็บ จากกลุ่มอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย ศิลปะมวยไทย จากชุมชนศุภมิตร ๑, ละครชาตรี จากชุมชนวัดสุนทรธรรมทาน (วัดแคนางเลิ้ง)
กิจกรรมจากภูมิปัญญาท้องถิ่น อาทิ สาธิตและทดลอง การปักสะดึง โดย “บ้านนราศิลป์” แหล่งเรียนรู้วัฒนธรรมชุมชนย่านนางเลิ้ง ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการปักประดับเครื่องแต่งกายนักแสดงโขน สืบทอดการเป็นบ้านโขน-ละครมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6
“บ้านนางเลิ้ง” ในชุมชนวัดสุนทรธรรมทาน สาธิตและสอนการประดิษฐ์ แป้งพวง การละลายแป้งหินในน้ำปรุงผสมน้ำมันหอมระเหยจากดอกไม้ไทย อาทิ จำปา กระดังงา จำปี แล้วหยดน้ำแป้งลงบนเส้นด้ายที่ขึงบนใบตอง รอจนแป้งหินเหลวแข็งตัว จึงรวบออกมาเป็นช่อ ปกตินิยมทำเป็นเครื่องแขวนตามหน้าต่างเรือนไทยสมัยโบราณ
แป้งหินนี้ไม่ใช่แป้งดินสอพองที่จะสร้างความระคายเคืองให้กับผิวหนัง จึงนิยมนำแป้งหินมาทำเป็นส่วนประกอบของเครื่องดับและการอบร่ำผ้าให้มีกลิ่นหอม เนื่องจากไม่เป็นอันตรายกับผิวหนัง
ในงานนี้ “บ้านนางเลิ้ง” เปิดสอนการประดิษฐ์แป้งพวงให้เป็นช่อระย้าของปิ่นปักผม ซึ่งคนที่เข้าร่วมเวิร์คช็อปสามารถนำปิ่นปักผมกลับไปเป็นของที่ระลึกได้อีกด้วย สาวๆ หลายคนประดิษฐ์เสร็จก็มัดผมแล้วปักประดับเดินชมงานต่อทันที
ปิ่นแป้งพวง
การเปิดให้ชิมและสอนทำของหวานไทยโบราณที่มีผลไม้ฤดูร้อนเป็นวัตถุดิบหลัก นั่นก็คือ ส้มฉุน โดย “ชมรมมีดีคลับ”
เป็นสูตรที่ได้แรงบันดาลใจจากตำรับ “กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน” พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยและตำราเก่า แต่ชมรมมีดีคลับปรับสูตรน้ำเชื่อมให้มีความหวานลดลง
ผลไม้ที่เป็นเสมือนตัวเอกของส้มฉุนคือ ลิ้นจี่ ตัวแทนชมรมมีดีคลับกล่าวว่า เมื่อก่อนในประเทศเราไม่มีผลไม้ประเภทลิ้นจี่ ต้องส่งมาจากประเทศจีนด้วยการดอง พอเปิดฝาภาชนะออกจะได้กลิ่นฉุน เมื่อนำมาทำของหวานจึงเรียกของหวานชนิดนี้ว่า “ส้มฉุน” ไม่ได้แปลว่าส้มที่มีกลิ่นฉุนแต่อย่างใด
ในส้มฉุนยังมีหอมแดงเจียว ถั่วลิสงคั่ว ขิงซอย และส่วนประกอบสำคัญอีกหนึ่งอย่างคือ “น้ำส้มซ่า” ซึ่งมีกลิ่นหอมคล้ายมะกรูด รสชาติหวานอมเปรี้ยวนิดๆ จึงทำให้ต่างจากของหวานประเภท “ลอยแก้ว” ทั่วไป
นอกจากนี้ ชมรมมีดีคลับ ยังให้คำแนะนำและเปิดโอกาสให้ผู้สนใจได้ทดลองใช้มีดสลักมะม่วงอย่างที่เห็นในส้มฉุนที่ทำมาให้ชิมอีกด้วย
ขณะที่ หอภาพยนตร์ฯ เปิดประสบการณ์เกี่ยวกับภาพยนตร์ด้วยการนำ หนังกระโปรง มาให้ผู้เข้าชมงาน “107 ปี ศาลาเฉลิมธานี...ที่คิดถึง" ย้อนยุคไปกับประวัติศาสตร์ภาพยนตร์
หนังกระโปรง เป็นหนังเร่ประเภทหนึ่งที่ไม่ได้จัดฉายอย่างหนังกลางแปลง แต่พลิกแพลงรูปแบบมาเป็นกิจการการค้าเล็กๆ แบบที่เรียกว่า ถ้ำมอง (Peep Show) คือมีลักษณะเป็นกล่องหรือหีบที่เจาะช่องเพื่อให้ผู้ชมสอดช่องตาดูทีละคน เป็นประดิษฐกรรมที่มีมาแต่โบราณนับพันปี เพื่อตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ ซึ่งเป็นสัญชาตญาณที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน
ในอดีตภายในกล่องจะมีเพียงรูปวิวทิวทัศน์ แบบจำลอง หรือสิ่งของแปลก ๆ เท่านั้น ต่อมาเมื่อภาพยนตร์ถือกำเนิดขึ้น โทมัส อัลวา เอดิสัน ได้คิดค้นเครื่อง Kinetoscope ที่ฉายภาพเคลื่อนไหวภายในตู้และให้ผู้ชมหยอดเหรียญดูได้ทีละคน
แม้ภายหลังจะมีการนำภาพยนตร์ฉายขึ้นจอเพื่อให้ชมพร้อมกันได้ทีละมากๆ แต่ก็ยังมีพ่อค้าหัวใสที่คิดประดิษฐ์ ตู้ฉายภาพยนตร์แบบถ้ำมอง ที่สามารถชมได้คราวละหลายคนไว้หากิน เพราะการชมภาพยนตร์แบบ "ถ้ำมอง" ยังคงมีมนต์ขลังที่สามารถเรียกคนดูได้เสมอ
ในประเทศไทยก็มีผู้คิดประดิษฐ์ตู้ฉายภาพยนตร์แบบถ้ำมองอยู่หลายแบบ แต่ภาพยนตร์ถ้ำมองที่นำมาแสดงให้ชมภายในงานนี้ เป็นแบบที่เรียกว่า "หนังกระโปรง" โดยพ่อค้าจะนำตู้กระโปรงรไปตั้งฉายตามย่านชุมชน ตลาด หรือศูนย์กลางหมู่บ้าน
หนังที่ฉายไม่ได้เป็นเรื่องยาวอย่างหนังโรงและหนังกลางแปลงทั่วไป แต่เป็นหนังสั้นๆ เพียงไม่ที่นาที หรืออาจเป็นเศษฟิล์มที่นำมาร้อยเรียงต่อกันให้ยาวพอประมาณ ให้คนได้ส่องดูพอคลายความสงสัยใคร่รู้และเก็บสตางค์เป็นรอบ ๆ ไป
นอกจากนี้ภายในงานฯ ยังมีการฉายภาพยนตร์เรื่อง “ปีหนึ่งเพื่อนกัน และวันอัศจรรย์ของผม” โดย หอภาพยนตร์ฯ
ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างโดย “ไท เอ็นเตอร์เทนเมนต์” เมื่อปีพ.ศ.2536 นำแสดงโดยศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง, ปฎิภาณ ปฐวีกานต์, กัลยา เลิศเกษมทรัพย์, นรากร โลหะชาละ
โดยมีฉากที่เข้ามาถ่ายทำยังโรงหนังนางเลิ้ง หรือ “ศาลาเฉลิมธานี” ให้ร่วมรำลึกถึง และมีการสนทนากับ สมจริง ศรีสุภาพ (คิง) ผู้กำกับภาพยนตร์ภาพยนตร์เรื่องนี้
ภายในอาคารโรงหนังศาลาเฉลิมธานียังมีกิจกรรมวาดภาพเสมือนจริง Workshop เครื่องเซรามิก และนิทรรศการผลงานสถาบันบันทิตพัฒนศิลป์, การแสดงดนตรีสากล
ขณะที่บริเวณลานหน้า “อาคารศาลาเฉลิมธานี” มีการออกร้านอาหารขึ้นชื่อในย่านนางเลิ้งและสาธิตการประกอบอาหาร อาทิ บะหมี่เกี๊ยวกุ้งกระเพาะปลา สาคูเห็ดหอม หมูสะเต๊ะ ขนมเบื้องญวน ขนมเบื้องไทย กล้วยทอด ขนมไทย ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนทั่วไปเข้าร่วมชมงานเป็นจำนวนมาก
ประวัติความเป็นมาโรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมธานี
โรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมธานี เดิมชื่อ “โรงหนังนางเลิ้ง” ตั้งอยู่ในย่านตลาดนางเลิ้ง เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ สร้างขึ้นในปีใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด
มีลักษณะเป็นอาคารโรงไม้ขนาดใหญ่ หลังคาทรงจั่วมุงสังกะสี เป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยมในการสร้างโรงหนังในสมัยนั้น
เปิดฉายครั้งแรกวันที่ 18 ธันวาคม 2461 ดังปรากฏหลักฐานใน หนังสือพิมพ์ กรุงเทพฯ เดลิเมล์ (ออกในช่วงปีพ.ศ.2451-2475 ) ฉบับวันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม 2461
ระยะแรกการเปิดโรงหนังเป็น หนังใบ้ โดยมีการบรรเลงของแตรวงที่ด้านนอกโรงหนังก่อนเริ่มฉายเพื่อบอกให้ทราบว่าหนังจะเริ่มฉาย
หนังที่ฉายไม่มีเสียง มีการบรรเลงแตรวงประกอบในบางตอนที่ตื่นเต้น การบรรยายเรื่องและบทเจรจาของตัวละครจะใช้ตัวอักษรบรรยายสลับกับภาพ
กระทั่งภาพยนตร์ไทยเข้าสู่ ยุคภาพยนตร์พูดได้ มีการรับภาพยนตร์เสียงในฟิล์มจากต่างประเทศเข้ามาฉายตามโรงภาพยนตร์ไทยตั้งแต่ปีพ.ศ.2473 เป็นต้นมา
ย่านนางเลิ้งเคยเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่ ทำให้บรรยากาศของผู้คนย่านนี้ซบเซาลง เกิดโรงตลาดที่เป็นโรงเรือนถาวร และตึกแถวขึ้นทดแทนส่วนที่ถูกเพลิงไหม้ไป
ในปีพ.ศ.2475 บริษัท พยนตร์พัฒนากร ผู้ดูแลกิจการโรงหนังนางเลิ้ง ได้ขายกิจการโรงหนังให้แก่ บริษัท สหศีนิมา และเปลี่ยนชื่อเป็น "ศาลาเฉลิมธานี" พร้อมโรงหนังอีก 5 แห่ง ในเครือเดียวกัน โดยขึ้นต้นด้วย "เฉลิม" เพื่อร่วมฉลองกรุงเทพฯ ครบ 150 ปี ได้แก่
- ศาลาเฉลิมกรุง
- ศาลาเฉลิมบุรี
- ศาลาเฉลิมเวียง
- ศาลาเฉลิมรัฐ
- ศาลาเฉลิมราษฎร์
ภาพยนตร์ในขณะนั้นเป็นภาพยนตร์ที่เป็นข่าวสาร สารคดีเกี่ยวกับบ้านเมือง จึงทำให้ผู้ที่มาดูหนังจะมาเป็นประจำเพื่อไม่ให้ตนเองตกข่าวสาร
บริเวณหน้าโรงหนังจึงเป็นแหล่งรวมของอาหารและขนมขบเคี้ยวสำหรับจำหน่ายแก่ผู้ที่มารอชมหนังในช่วงค่ำจนถึงหนังเลิกฉายในเวลาประมาณเที่ยงคืน
ลักษณะดังกล่าวทำให้หน้าโรงหนังนางเลิ้งและบริเวณใกล้เคียงมีความคึกคักอย่างมาก กลายเป็นศูนย์รวมของกิจกรรมความบันเทิงต่างๆ
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงในปีพ.ศ.2488 มีการใช้ฟิล์มขนาด 16 มิลลิเมตร หรือที่เรียกกันว่า “16 มอมอ” ในการถ่ายทำภาพยนตร์ และการผลิตหนังที่ใช้ฟิล์ม 16 มิลลิเมตร เกิดขึ้นควบคู่กับการผลิตหนังที่ใช้ฟิล์มมาตรฐาน 35 มิลลิเมตร
ต่อมาในราวปีพ.ศ.2525-2526 บริษัทภาพยนตร์จากฮอลลีวูดได้นำภาพยนตร์ของตนเองเข้ามาฉาย ประกอบกับมีการแข่งขันพัฒนากิจการวิทยุโทรทัศน์สถานีต่างๆ ในประเทศไทย
มีการเผยแพร่ภาพออกอากาศครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ การเกิดขึ้นของเครื่องเล่นแบบบันทึกภาพโทรทัศน์
ทำให้ โรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมธานี ไม่ค่อยมีผู้คนเข้ามาชมมากเหมือนแต่ก่อน กระทั่งปิดตัวลงในปีพ.ศ.2537 หลังเปิดรับใช้ประชาชนมาถึง 75 ปี
รางวัลอาคารอนุรักษ์
ปีพ.ศ.2554 อาคารไม้ของโรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมธานี ได้รับการคัดเลือกจาก สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้ได้รับ รางวัลอนุรักษ์ศิลปะสถาปัตยกรรมดีเด่น ประเภทอาคารสถาบันและอาคารสาธารณะ และได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็น โบราณสถาน
ต่อมาในปีพ.ศ.2561 สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ได้สำรวจและตรวจสภาพความมั่นคงของอาคาร พบว่าอาคารไม่มีความมั่นคงแข็งแรงเพียงพอที่จะใช้งานได้อย่างปลอดภัย
จึงได้ดำเนินการบูรณะ โดย กรมศิลปากร มีหนังสืออนุญาตให้สำนักงานทรัพย์สินฯ ปรับปรุงซ่อมแซมอาคารศาลาเฉลิมธานี เพื่อแก้ไขปัญหาความมั่นคงและคงรูปแบบดั้งเดิมไว้ เพื่อเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ต่อไป
ปัจจุบัน สำนักงานทรัพย์สินฯ ยังคงดูแลบำรุงรักษาระบบความปลอดภัย อาทิ การแจ้งเตือนเหตุเพลิงไหม้ ระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด เพื่อให้ อาคารศาลาเฉลิมธานี เป็นอาคารโบราณสถานที่อยู่คู่ชุมชนนางเลิ้งสืบไป
จากหลักฐานที่พบว่า โรงหนังศาลาเฉลิมธานี เปิดฉายครั้งแรกวันที่ 18 ธันวาคม 2461 ดังนั้นใน วันที่ 18 ธันวาคม 2568 “โรงหนังศาลาเฉลิมธานี” จะมีอายุครบ 107 ปี
สำนักงานทรัพย์สินฯ จึงมีดำริจัดกิจกรรมที่ อาคารศาลาเฉลิมธานี หรือ “โรงหนังศาลาเฉลิมธานี” อีก 3 ครั้ง ในช่วงเดือนกรกฎาคม ตุลาคม และธันวาคมปีนี้
ลักษณะกิจกรรมจะเป็นอย่างไร ติดตามข่าวสารได้ลำดับต่อไป
ภาพ : ศูนย์ภาพเนชั่น