ดูแลประคับประคอง ทางเลือกไม่ยื้อชีวิต วาระสุดท้ายที่เลือกได้

ดูแลประคับประคอง ทางเลือกไม่ยื้อชีวิต วาระสุดท้ายที่เลือกได้

การรักษาระยะสุดท้าย ยังมีทางเลือกดูแลประคับประคองดูแลไม่ให้ทุกข์ทรมานเกินไป เมื่อถึงเวลาจากไปก็ไปอย่างสงบ แต่เรื่องนี้ต้องทำเข้าใจ

เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ หรือป่วยระยะสุดท้าย แม้การใช้เครื่องมือทางการแพทย์จะทำให้มีลมหายใจยื้อชีวิตต่อไป แต่ร่างกายอาจทุกข์ทรมาน จะเลือกรักษาแบบนี้ไหม...

นอกจากการรักษาปกติตามอาการป่วย ยังมีทางเลือกในการรักษา นั่่นก็คือ การดูแลแบบประคับประคอง(Palliative Care) แต่ต้องทำความเข้าใจ ซึ่งเป็นอีกหัวข้อการพูดคุยในงาน Death Fest ที่ผ่านมา

  • Palliative Care คืออะไร

หากป่วยระยะสุดท้าย และยังมีสติสัมปชัญญะ คนป่วยก็สามารถตัดสินใจเลือกการรักษาได้ แต่ถ้าคนในครอบครัวต้องเลือกการรักษาให้ผู้ป่วย บางทีอาจไม่ตรงความต้องการ ดังนั้นความรักอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องมีความเข้าใจเรื่องนี้ด้วย 

ดูแลประคับประคอง ทางเลือกไม่ยื้อชีวิต วาระสุดท้ายที่เลือกได้ (จำลองการดูแลในโรงพยาบาลคูน)

รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวถึง Palliative Care ว่าไม่ใช่การรักษาอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เป็นการดูแลแบบองค์รวม มีเป้าหมายเรื่องคุณภาพชีวิต 

“การยื้อชีวิตนานๆ เป็นทางเลือกที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น การเลือกรักษาแบบ Palliative Care เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ควรได้รับการดูแลควบคู่กับการรักษาโรค เมื่อถึงจุดหนึ่งต้องหยุดการรักษา เพราะไม่เกิดประโยชน์ คือ ไม่ต้องการยื้อชีวิต แต่ไม่เร่งให้ตายเร็วขึ้น”

ส่วน พญ.นิษฐา เอื้ออารีมิตร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลคูน บอกว่า เมื่อต้องเลือกระหว่าง Palliative Care ที่มุ่งดูแลเรื่องความสุขและคุณภาพชีวิต และการรักษาปกติมุ่งเน้นที่การรักษาโรค ทั้งสองอย่างทำควบคู่กันได้

"ขอยกตัวอย่างกรณีคนไข้ปอดติดเชื้อ สุขภาพยังแข็งแรง แต่คนไข้ระบุในสมุดเบาใจว่า เมื่อป่วยแล้ว ไม่อยากใส่ท่อช่วยหายใจ นี่คงไม่ใช่คนไข้ระยะสุดท้าย หรือกรณีเป็นมะเร็งระยะ4 จะไม่รักษาต่อ ไม่ใช้ยาใดๆ ทั้งๆ ที่สมรรถภาพร่างกายดี บางทียังสามารถรักษาให้มีชีวิตที่ดีต่อเนื่องได้ ก็แนะนำให้รักษาปกติ ทุกวันนี้การรักษามะเร็งพัฒนาดีขึ้น แต่ระหว่างการรักษา บางอย่างอาจไม่สุขสบาย”

ทางด้าน อ.นพ.นิยม บุญทัน แพทย์ประจำศูนย์การุณรักษ์ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น  มองว่า Palliative Care ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นคนไข้ใกล้เสียชีวิต หรือระยะท้ายๆ แต่แนวโน้มของโรคที่เป็นอยู่ถดถอยลงในอนาคต หรือหมอวินิจฉัยแล้วว่า จะมีชีวิตอยู่ในระยะเวลาจำกัด

“ยกตัวอย่างคนป่วยเป็นมะเร็ง ไม่ว่าจะผ่าตัด ให้เคมีบำบัด หรืออะไรก็ตาม ในขณะที่ดูแลแบบทางเลือกหลัก ก็สามารถใช้วิธีการดูแลแบบประคับประคองควบคู่ได้ และการดูแลแบบ Palliative Care ไม่ได้สิ้นสุดที่คนไข้เสียชีวิต ยังต้องดูแลครอบครัว  เตรียมความพร้อมกับการสูญเสีย รวมถึงภาวะเศร้าของคนในครอบครัว"

ดูแลประคับประคอง ทางเลือกไม่ยื้อชีวิต วาระสุดท้ายที่เลือกได้ (เวทีเสวนา Death Fest ที่ผ่านมา)

ส่วนคนทำงานภาคประชาชน วรรณา จารุสมบูรณ์ ประธานกลุ่ม Peaceful Death และประธานมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาชุมชนกรุณา บอกว่า  Palliative Care คือไม่เร่งให้ตายเร็ว และไม่ยื้อ จะดูแลคนป่วยให้มีคุณภาพชีวิตดีในช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ 

“อย่างที่อาจารย์ฉันชายพูดคือ ไม่เจ็บปวด ไม่ทรมานมากไป และสามารถใช้ชีวิตอย่างที่คนไข้ต้องการ ใช้เวลาที่เหลืออย่างมีความสุขแบบที่เป็นไปได้”

  • ทางเลือก Palliative Care

ถ้าการรักษาไม่ได้ทำให้คนไข้ดีขึ้นเลย มีระยะเวลาการป่วยยาวนาน ก็ต้องมีทางเลือกอื่นๆ เพื่อใช้ชีิวิตที่เหลืออย่างมีคุณภาพ คุณหมอฉันชาย บอกว่า ถ้าเป้าหมายการรักษาทำให้ทุกข์นานเกินไป และทุกอย่างแย่ลง อาจต้องหยุดการรักษาเพื่อยื้อชีวิต

“ถ้าจะรักษาแบบ Palliative Care ต้องวางแผน และรู้ว่า โรคที่ป่วยอยู่ขั้นไหน ไม่ใช่กระโดดไปรักษาแบบ Palliative Care ทันที อาจรักษาควบคู่กับการรักษาปกติ อย่าให้ทรมานกายมากไป รักษาตามความเหมาะสม ดูแลทั้งร่างกายและจิตใจ  การดูแลแบบนี้เป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน หมอจบใหม่ต้องเข้าใจเรื่องนี้ด้วย”

ขณะที่หลายคนมองว่า ป่วยระยะสุดท้ายเป็นวิกฤติของชีวิต วรรณา  มองว่า เป็นโอกาสที่ผู้ป่วยได้ทบทวนชีวิตจะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างไร

ดูแลประคับประคอง ทางเลือกไม่ยื้อชีวิต วาระสุดท้ายที่เลือกได้ “เมื่อใดที่มีคนในครอบครัวป่วย บางกรณีคนดูแลคนเดียวไม่พอ ชุมชนต้องมาช่วย Palliative Care ไม่ใช่แค่ดูแลตัวโรค แต่ดูแลทุกอย่าง เพื่อให้คนไข้มีคุณภาพชีวิต เมื่อถึงเวลาจากไป ก็ไปดี"

ส่วนการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายในโรงพยาบาลคูน คุณหมอนิษฐา บอกว่า เมื่อมารักษาที่โรงพยาบาลเรา ไม่ใช่ว่าโรงพยาบาลตั้งต้นดูแลไม่ดี แต่คนป่วยหรือญาติอยากลดการรักษาบางอย่างที่มากเกินไปสำหรับร่างกาย เรื่องนี้ต้องยืดหยุ่น ในช่วงท้ายของโรค บางทีการรักษาไม่ใช่ตัวโรค แต่เป็นการดูแลให้สุขสบายมากขึ้น เราต้องปรับตามคนไข้แต่ละคน

คุณหมอนิยม ให้ความเห็นเรื่องนี้ว่า การดูแลแบบประคับประคองเพิ่งเข้ามาเมืองไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ถ้าเทียบกับประเทศอื่น ยังเป็นเรื่องใหม่ในสังคมไทย หลักสูตรการเรียนการสอนในโรงเรียนแพทย์ยังมีอยู่น้อยมาก

วรรณา เสริมว่า น่าเสียดายไม่ได้บรรจุหลักสูตรเรื่องการดูแลแบบประคับประคองไว้ในโรงเรียนแพทย์อย่างเป็นเรื่องเป็นราว ทางกลุ่มเราเคยยื่นเรื่องไปที่กระทรวงสาธารณสุข อยากให้บรรจุไว้ในหลักสูตร

คุณหมอฉันชาย ให้ความเห็นเพิ่มว่า ก่อนหน้านี้เป็นหมออายุรกรรม กระทั่งมาดูแลด้านไอซียู มองเห็นปัญหาเรื่องนี้มากขึ้น พยายามบรรจุการดูแลแบบประคับประคองไว้ในหลักสูตรการเรียนการสอน 

“ไม่ต้องตกใจหมอรุ่นใหม่รู้เรื่องการดูแลแบบประคับประคอง ที่แย่ๆ คือหมอรุ่นเก่า เราก็พยายามพัฒนาให้ความรู้เรื่องนี้ ”

  • ความไม่แน่นอนของชีวิต

บางครอบครัวอาจไม่ทันตั้งตัวในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย และไม่รู้จะปรึกษาใคร ที่ผ่านมากลุ่ม Peaceful Death จึงให้ทั้งความรู้และคำปรึกษาอย่างต่อเนื่อง  วรรณา บอกว่า  เคยทำเรื่องเพื่อนบ้านประคับประคองในชุมชน และชุมชนกรุณา เพื่อช่วยเหลือเรื่องนี้โดยเฉพาะ

"คนเราไม่ต้องรอให้แก่ รอให้ตาย ให้รู้ว่า สักวันหนึ่งก็ถึงจุดนั้น เมื่อถึงตอนนั้นเรามีทางเลือกอะไรบ้าง ส่วนใหญ่ญาติจะตกใจเมื่อต้องดูแลผู้ป่วย และอยากเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้คนไข้ ก็คือ ไปหาหมอที่โรงพยาบาล หมอก็บอกว่า ทำไมมาโรงพยาบาล ไม่ดูแลที่บ้าน ญาติก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร  

“การดูแลแบบประคับประคองไม่ได้ซับซ้อน ต้องดูแลคนไข้ให้มีชีวิตประจำวันสุขสบาย ให้ความรัก ความใส่ใจ สิ่งนี้มีค่าสำหรับเขา ปัจจุบันมีผู้สูงวัยอยู่ตามลำพังเยอะขึ้น มีกลุ่มเปราะบางเข้าไม่ถึงการรักษาพยาบาล และผู้ดูแลแบบประคับประคองมีน้อยมาก เราชวนคนในชุมชนเรียนรู้เรื่องการดูแลแบบประคับประคอง เป็นสิ่งที่ดูแลกันได้ ทำยังไงให้ผู้ป่วยตายดีที่บ้าน โดยมีระบบคอยสนับสนุนช่วยเหลือด้วย ”

คุณหมอนิยม กล่าวถึงการพูดคุยเรื่องความตายว่า บางครอบครัวไม่สื่อสารเรื่องนี้ เป็นเรื่องยากมาก การวางแผนเรื่องตายดี บางทีก็ทำให้คนไข้กังวล และมองว่าทำไมหมอต้องมาคุยเรื่องนี้

“มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่า เมื่อคุยวางแผนล่วงหน้าระหว่างคนไข้กับครอบครัว ทำให้พวกเขารู้สึกเบาใจ สบายใจมากขึ้นที่มีคนมองเห็นความสำคัญช่วยเขาเตรียมตัว ทำให้รู้ว่าจะใช้เวลาที่เหลืออย่างไร การที่จะอยู่ดี ตายดีได้ ต้องวางแผน”

ส่วน คุณหมอฉันชาย ให้ความเห็นว่า ถ้าผู้ป่วยตัดสินใจการรักษาเองได้ ก็ให้เขาบอกความต้องการ แต่ถ้าลูกๆ พวกเขาต้องตัดสินใจแทน บางกรณีอาจถูกครอบงำด้วยขนบธรรมเนียมบางอย่าง 

"ถ้าเป็นไปได้ คนไข้ต้องมีสิทธิตัดสินใจ โดยมีข้อมูลครบถ้วน ผมขอยกตัวอย่าง ตอนผมยังเรียนแพทย์ไม่จบ ลุงผมป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ญาติไม่เคยบอกคนไข้ ก่อนเสียชีวิตหนึ่งสัปดาห์ คนไข้เรียกคนมาตัดกางเกงใหม่ อยากจะกลับบ้าน และอยากอยู่นานที่สุด ไม่ได้วางแผนอะไรเลย คนไข้ไม่ได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง จึงต้องมีเทคนิคการสื่อสารข่าวร้าย 

การดูแลแบบประคับประคอง ศัตรูสำคัญก็คือการจัดสมดุลในการรักษา คนไข้บางคนพอได้ยินว่า ยาตัวนั้นตัวนี้รักษาหาย แม้จะเป็นความหวัง แต่บางครั้งไม่เป็นความจริง ทำให้คนไข้ทุกข์ทรมาน"

วรรณา เสริมว่า ถ้าจะทำให้ทุกคนตายดี สังคมต้องเกื้อหนุน เนื่องจากบางคนต้องการยื้อชีวิต บางคนก็เลือกยุติการรักษา ก็ไม่ใช่เรื่องผิด 

“การดูแลแบบประคับประคองไม่ใช่คำตอบสุดท้าย คนเรามีทางเลือกที่หลากหลาย สิ่งสำคัญคือ ต้องเข้าใจสิ่งที่เลือก ถ้าคนในครอบครัวคุยกัน แล้วสื่อสารกับแพทย์ที่รักษาคนไข้ เพื่อมีทางเลือกในการรักษาที่มีประโยชน์” 

ดังนั้นก่อนยืนยันการรักษาเป็นลายลักษณ์อักษร ควรศึกษาให้แน่ชัดว่า การรักษาขั้นต่อไปแค่ยื้อชีวิต หรือยังมีทางเลือกอื่นๆ ที่ทำให้คนไข้ใช้ชีวิตที่เหลือไม่ทุกข์ทรมานเกินไป 

ดูแลประคับประคองต้องวางแผน

  • 1. กรณีผู้ป่วยไม่สามารถสื่อสารกับคนอื่นได้ปกติ  ผู้ป่วยสามารถมอบหมายให้ญาติคนใดทำหน้าที่ตัดสินใจแทนได้
  • 2. วางแผนวิธีการดูแลรักษาให้ชัดเจน จะการรักษาแบบแผนปัจจุบัน แพทย์ทางเลือก หรือแบบผสมผสาน หรือไม่บำบัดด้วยวิธีการใดเลย
  • 3. ผู้ป่วยจะรักษาที่บ้าน หรือโรงพยาบาล หรือผสมผสานท
  • 4. เมื่อวาระสุดท้ายมาถึง จะใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ยื้อชีวิตหรือไม่ เช่น การเข้ารักษาในห้องไอ.ซี.ยู., การกระตุ้นให้หัวใจกลับมาเต้นใหม่ ,การเจาะคอใส่ท่อช่วยหายใจ,การใช้เครื่องช่วยหายใจ ,การใช้เครื่องมือทางการแพทย์ช่วยให้อวัยวะต่างๆ ทำงานต่อไป 
  • 5.วิธีดูแลผู้ป่วย จะใช้ระบบเยี่ยมผู้ป่วยที่บ้านของทีมดูแลไหม, ใครจะเป็นผู้ดูแลหลัก ,ค่าใช้จ่ายในการดูแล,การเยียวยาทางจิตใจ การทำบุญ สวดมนต์ ฯลฯ 
  • 6. อาจทำเอกสารทางกฎหมายเพื่อแสดงเจตนารมณ์ในการรักษา

.........

ภาพส่วนหนึ่งจาก เฟซบุ๊ก Peaceful Death