"มาฆบูชา 2565" : ทำไมบุญกุศลไม่ช่วยฉัน ข้อธรรมจาก"พระไพศาล วิสาโล"

"มาฆบูชา 2565" : ทำไมบุญกุศลไม่ช่วยฉัน ข้อธรรมจาก"พระไพศาล วิสาโล"

เนื่องในวัน"มาฆบูชา 2565" การทำบุญ ตักบาตร ทำทาน รักษาศีล ล้วนเป็นเรื่องดี ที่ชาวพุทธควรทำ แต่ต้องทำความเข้าใจ ทำด้วยใจบริสุทธิ์ ไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ ...

ธรรมในพุทธศาสนาแยกได้เป็นสองอย่างเท่านั้น คือ "จริยธรรม" และ "สัจธรรม"

จริยธรรม คือ ความดี เป็นสิ่งที่ต้องทำ ถ้าอยากมีความสุขก็ต้องทำ ต้องทำจึงจะมีชีวิตที่ผาสุกและเจริญงอกงามได้ ส่วนสัจธรรมคือความจริง เป็นสิ่งที่ต้องเห็นหรือเข้าถึง

การปฏิบัติธรรมถ้ากล่าวอย่างย่อๆ ก็มีแค่สองเท่านั้น คือทำความดี และเห็นความจริง

ทำความดีได้แก่ การให้ทาน การรักษาศีล รวมทั้งการภาวนาที่ทำให้คุณภาพจิตเจริญงอกงาม เช่น มีเมตตา มีความเพียร มีขันติ มีความอดทน ซึ่งล้วนทำให้จิตใจอ่อนโยน นุ่มนวล เอื้อเฟื้อต่อการทำความดี

แต่เท่านั้นยังไม่พอ เราต้องฝึกจิตให้ "เห็นความจริง" ด้วย ความจริงนั้นมีมากมาย อาจจะเรียกว่าไม่น้อยกว่าดวงดาวที่อยู่บนฟากฟ้า หรือที่อยู่ในจักรวาลนี้

ใบไม้ในกำมือ

พระพุทธเจ้าเคยเปรียบความจริงทั้งหลายในโลกนี้ เหมือนกับใบไม้ในป่า คราวหนึ่งพระพุทธองค์ได้ประทับที่ป่าประดู่ลาย และหยิบใบไม้มากำมือหนึ่ง ตรัสถามพระสาวกว่าใบไม้ในมือของพระองค์กับใบไม้ในป่า อันไหนมีมากกว่ากัน พระสาวกก็ตอบว่าใบไม้ในป่ามีมาก ใบไม้ในกำมือพระองค์มีน้อย

พระพุทธองค์ก็ตรัสว่า ธรรมะที่พระองค์สอนก็เหมือนกับใบไม้ในกำมือ น้อยกว่าความจริงทั้งหลายในโลกและจักรวาลนี้ ความจริงมีมากมายนับประมาณไม่ได้ มหาศาลมาก

 

แต่ความจริงที่พระพุทธเจ้าเอามาสอนนี้มีเพียงน้อยนิด เช่น ความจริงเกี่ยวกับรูปนาม ความจริงเกี่ยวกับกฎแห่งกรรม

ความจริงเกี่ยวกับเหตุแห่งทุกข์ คือปฏิจจสมุปบาท ความจริงที่เกี่ยวกับการดับทุกข์ คือปฏิจจสมุปบาทฝ่ายนิโรธวาร รวมทั้งความจริงเกี่ยวกับไตรลักษณ์

จะว่าไปแล้วมีความจริงไม่กี่อย่างที่เราควรเปิดใจให้เห็น ถ้าเราทำความดีแต่ไม่สามารถเปิดใจให้เห็นความจริงอย่างที่ว่ามา ก็ยังหนีความทุกข์ไม่พ้น หรือยังไม่สามารถยกจิตเหนือความทุกข์ได้ ก็ยังต้องทุกข์ต่อไป

ถึงแม้ว่าการทำความดีนั้นจะช่วยให้เรามีความทุกข์น้อยลง มีความสุขมากขึ้น แต่ก็ไม่สามารถช่วยให้เราพ้นทุกข์ได้อย่างแท้จริง

ทุกข์เพราะทำดีแล้วคนไม่เห็น

คนที่ทำความดีมามากก็ยังมีความทุกข์อยู่ อาจจะทุกข์เพราะทำความดีแล้วไม่มีคนเห็น มีความน้อยเนื้อต่ำใจที่ถูกตำหนิ มีความแค้นเคืองที่ถูกต่อว่าด่าทอ หรือเป็นทุกข์เมื่อล้มป่วย

มีคนจำนวนไม่น้อยทำความดี สร้างบุญกุศล เพราะมีความเชื่อว่าจะทำให้มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ คือมีอายุยืน ไม่ป่วยไข้ ชีวิตมีแต่ความเจริญ

แต่พอเจ็บป่วยก็ทำใจไม่ได้ ตีโพยตีพายว่าทำไมต้องเป็นฉัน ฉันอุตส่าห์ทำความดี ทำไมฉันถึงต้องเป็นมะเร็ง

อันนี้เป็นตัวอย่างของคนที่แม้ทำความดีแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะพ้นทุกข์ ยิ่งถ้าทำความดีด้วยความเชื่อว่าทำความดีแล้วจะไม่มีทุกข์ ก็ยิ่งทุกข์เข้าไปใหญ่

ทำไมบุญกุศลไม่ช่วยฉัน

มีชายคนหนึ่งทำบุญให้ทานรักษาศีลตั้งแต่ยังหนุ่ม เพราะมีความเชื่อว่าทำแล้วชีวิตจะมีแต่ความสุขความเจริญ อายุยืน รอดพ้นจากโรคาพยาธิ แคล้วคลาดจากภัยอันตราย

แล้ววันหนึ่งก็พบว่าตัวเองเป็นมะเร็ง เขาทำใจไม่ได้ ไม่ใช่เสียใจเท่านั้น แต่ยังมีความโกรธเคือง รู้สึกเหมือนถูกโกหกหลอกลวง ถูกหักหลัง เอาแต่ตัดพ้อว่า ทำไมฉันทำบุญแล้วถึงต้องล้มป่วย ทำไมบุญกุศลไม่ช่วยฉันเลย ทำไมทำดีแล้วต้องมาเจอทุกข์ภัยแบบนี้

เขาแค้นเคืองมาก แสดงความก้าวร้าวต่อหมอและพยาบาลเพราะทำใจไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตน กลายเป็นว่าไม่เพียงแค่ป่วยกาย แต่ยังป่วยใจด้วย เพราะว่าวางใจผิด ตอนตายเขาก็ตายไม่สงบเพราะรู้สึกผิดหวังที่ต้องมาเจอเคราะห์กรรมแบบนี้ ทั้งๆ ที่ทำความดี รักษาศีลมาตลอด

อันนี้เป็นเพราะเขาไม่ตระหนักถึงความจริงที่ว่า คนเราไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม รวยหรือจน เด็กหรือผู้ใหญ่ พระหรือโจร ก็หนีความเจ็บป่วยและความตายไม่พ้น

แต่ถ้าตระหนักถึงความจริงที่ว่าความแก่ ความเจ็บป่วยหรือความตายก็ดี เป็นธรรมดาของชีวิต เป็นความจริงที่ไม่มีใครหนีพ้น ก็จะทำใจยอมรับได้ และจะไม่ตีโพยตีพายซึ่งกลายเป็นการซ้ำเติมร่างกายให้ย่ำแย่ลงไป

อันนี้เป็นตัวอย่างว่าทำความดีอย่างเดียวยังไม่พอ ต้องฝึกใจหรือเปิดใจให้เห็นความจริง เห็นความจริงเกี่ยวกับไตรลักษณ์คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

ตระหนักว่าในที่สุดแล้วคนเราก็ไม่อาจหนีความเจ็บป่วยและความตายได้พ้น รวมไปถึงความพลัดพรากสูญเสียด้วย เป็นเพราะคนเราไม่เห็นความจริงตรงนี้ ดังนั้นแม้ทำความดีก็ยังทุกข์

ดังนั้นการฝึกใจให้เห็นความจริงเป็นการปฏิบัติธรรมที่สำคัญ ช่วยให้เราสามารถอยู่ในโลกที่ผันผวนแปรปรวนได้โดยที่ใจไม่ทุกข์

เมื่อเราได้เห็นความจริงในเรื่องไตรลักษณ์แล้ว ก็ทำให้เรามีท่าทีและวางใจเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นกับเรา ใจก็เป็นปกติได้ ไม่ต้องรู้ความจริงถึงขั้นเป็นพระอริยเจ้าก็ได้ แม้เป็นปุถุชน

แต่ถ้าเปิดใจยอมรับความจริงเหล่านี้อยู่เสมอ ก็สามารถที่จะอยู่กับความทุกข์ ความพลัดพรากสูญเสียได้โดยใจไม่ทุกข์

.................

อ้างอิง : visalo.org