เปิดดราม่า ‘เหยียดผิว-เฟคนิวส์โควิด’ กับ ‘3 ทางออก’ สำหรับ ‘Spotify’ 

เปิดดราม่า ‘เหยียดผิว-เฟคนิวส์โควิด’  กับ ‘3 ทางออก’ สำหรับ ‘Spotify’ 

ศิลปินและนักจัดพอดแคสต์แห่ลบคอนเทนท์ออกจาก “Spotify” หลังเลือกปกป้อง “โจ โรแกน” ที่พูดเหยียดผิว และ ให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับวีคซีนโควิด-19 ในรายการพอดแคสต์ “The Joe Rogan Experience”

แม้ว่า “Spotify” บริการสตรีมมิงฟังเพลงและพอดแคสต์ชื่อดัง ตัดสินใจถอดรายการ “The Joe Rogan Experience” ของ “โจ โรแกน” นักจัดรายการพอดแคสต์ชาวอเมริกันที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคนหนึ่งของโลก ออกจากแพลตฟอร์มไปแล้วร่วมร้อยตอน หลังจากที่พบว่าเนื้อหาในพอดแคสต์ของเขามีการให้ข้อมูลที่บิดเบือนเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 และมีคำพูดเหยียดเชื้อชาติและสีผิว แต่เหมือนว่ายังไม่เป็นที่พอใจของหลายฝ่าย

 

  • จุดเริ่มต้นของปัญหา

ย้อนกลับไปเมื่อ วันที่ 12 ม.ค. 2565 กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ อาจารย์ แพทย์ และบุคลากรทางการแพทย์กว่า 270 คน ในสหรัฐ ส่งจดหมายถึง Spotify เพื่อเรียกร้องให้มีการกำหนดนโยบายที่ชัดเจนและเป็นสาธารณะเพื่อกลั่นกรองข้อมูลที่ผิดบนแพลตฟอร์ม อันเนื่องมาจากพอดแคสต์ของโรแกน ออกอากาศเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2564 เขาได้สัมภาษณ์ ดร.โรเบิร์ต มาโลน (Robert W. Malone) นักไวรัสวิทยาผู้อ้างว่าตนเป็นหนึ่งในผู้พัฒนาเทคโนโลยี mRNA ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 ซึ่ง ดร.มาโลนกล่าวโดยไม่มีหลักฐานว่า 

“วัคซีนไม่ได้มีประสิทธิภาพในการรักษาโควิด-19 แต่เป็นเพราะอุปทานหมู่เลยทำให้คนเชื่อแบบนั้น ในความจริงแล้ววิธีที่รักษาโควิด-19 ได้ดีที่สุด คือ ยาไอเวอร์เม็กติน (Ivermectin) แต่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน สั่งระงับข้อมูลดังกล่าว”

อย่างไรก็ตาม ผู้คนต่างตั้งข้อสังเกตมานานแล้วว่า โรแกนเป็น “กลุ่มต่อต้านวัคซีน” (Anti-vaccine) เนื่องจากเขาเคยพูดในรายการว่า คนหนุ่มสาวที่แข็งแรงไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีน แม้ว่าตัวเขาเองจะเคยติดโควิดมาแล้วก็ตาม

ขณะที่ “นีล ยัง” (Neil Young) ศิลปินเพลงร็อคระดับตำนานประกาศขอให้ Spotify ลบเพลงของเขาออกจากแพลตฟอร์ม เพราะ Spotify เผยแพร่ข้อมูลปลอมเกี่ยวกับวัคซีน ซึ่งอาจทำให้ผู้เสียชีวิตได้ เพราะเชื่อข้อมูลเท็จเหล่านั้น อีกทั้งยังกล่าวว่าถ้ายังมีพอดแคสต์ของโรแกน ก็จะไม่มีเพลงของเขาอยู่บนแพลตฟอร์ม ซึ่ง Spotify ได้เลือกลบเพลงของนีลออก และยิ่งทำให้เหตุการณ์บานปลายเป็นไฟลามทุ่ง 

ศิลปินและนักจัดพอดแคสต์หลายคน สนับสนุนนีล และเรียกร้องให้ถอดเพลงและรายการของพวกเขาออกจาก Spotify เพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น โจนี มิตเชลล์ (Joni Mitchell), เดวิด ครอสบี (David Crosby), สตีเฟน สติลส์ (Stephen Stills), แกรห์ม แนช (Graham Nash), อินเดีย แอร์รี (India Arie) และ แมรี ทรัมป์ (Mary Trump)

ขณะที่ผู้ใช้บริการหลายคนรณรงค์ผ่าน #DeleteSpotify ให้เลิกใช้ Spotify และหันไปใช้บริการสตรีมมิงรายอื่นแทน

ทางด้าน โจ โรแกน ต้นเรื่องได้ออกมาขอบคุณ Spotify ที่ยังคงยืนหยัดอยู่เคียงข้างเขา พร้อมขอโทษสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นและทำให้ Spotify เสียหาย โดยเขาสัญญาว่าจะจัดรายการให้สมดุลและรอบด้าน มีแขกรับเชิญจากทุกความคิดเห็นพูดคุยกันมากยิ่งขึ้น

แดเนียล เอ็ก” (Daniel Ek) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของ Spotify ได้โพสต์ข้อความลงบนเว็บไซต์ Spotify กล่าวว่า Spotify มีกฎการต่อต้านเนื้อหาผิดกฎหมายและข่าวปลอมอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่เคยประกาศให้สาธารณชนทราบ แต่ตอนนี้ได้นำกฎขึ้นมาบนเว็บไซต์แล้ว และจะแปลไปยังภาษาอื่น ๆ เพื่อเข้าถึงครีเอเตอร์ทั่วโลก นอกจากนี้ Spotify จะมีการขึ้นลิงก์ข้อมูลแนะนำ (Content Advisory) ไปยังศูนย์รวมข้อมูล COVID-19 ที่ได้รับการยืนข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ สำหรับพอดแคสต์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ COVID-19 โดยเฉพาะ 

อย่างไรก็ตาม แม้ Spotify จะออกโรงปกป้องโรแกน แต่ The Verge ได้รายงานว่า เอ็กไม่ได้เห็นด้วยกับโรแกนในหลายประเด็น แต่โรแกนมีความสำคัญต่อแพลตฟอร์มอย่างมาก เนื่องจากโรแกนเป็นพอตแคสเตอร์ที่ได้รับความนิยมอันดับต้น ๆ ของโลก และ Spotify เซ็นสัญญาจ้างโรแกนมาผลิตพอดแคสต์ในราคา 100 ล้านดอลลาร์ โดยให้สิทธิโรแกนสร้างสรรค์รายการได้อย่างเต็มที่ แลกกับการให้ Spotify ได้รับสิทธิในการเผยแพร่พอดแคสต์ของโรแกนแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนหนึ่งที่ Spotify กลายเป็นบริการสตรีมมิงที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในสหรัฐ ก็เพราะรายการของโรแกน

 

  • ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก

แต่แล้วเรื่องก็ยังไม่จบ เมื่อมีการพบว่าเนื้อหาพอดแคสต์ของโรแกน มีการใช้ถ้อยคำเหยียดเชื้อชาติและสีผิว โดยเฉพาะ N Word ยิ่งสร้างความไม่พอใจให้แก่สาธารณชนเข้าไปอีก โดยโรแกนได้ออกมาขอโทษผ่านทางอินสตาแกรมส่วนตัว และได้หารือกับ Spotify ที่จะได้ถอดรายการตอนที่มีปัญหาออกจาก Spotify

 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

A post shared by Joe Rogan (@joerogan)

ขณะที่ Spotify ระบุว่าพอดแคสต์ตอนที่มีการใช้ N Word นั้นเป็นรายการตอนเก่า ตั้งแต่สมัยที่ยังไม่ได้เซ็นสัญญากับ Spotify จึงไม่ได้มีการกรองเนื้อหา แต่ในรายการตอนใหม่ ๆ ของโรแกน หลังจากที่เซ็นสัญญากับ Spotify แล้ว เขาไม่เคยใช้คำดังกล่าวในพอดแคสต์อีกเลย

จากการรายงานของ JREMissing เว็บไซต์ที่จัดทำขึ้นเพื่อตรวจสอบเนื้อหาในพอดแคสต์รายการ The Joe Rogan Experience พบพอดแคสต์ของโรแกนจำนวน 113 ตอนได้ ถูกลบออกจาก Spotify ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว (ข้อมูลวันที่ 7 ก.พ. 2565 เวลา 17.00 น.)

 

  • 3 ทางออกของปัญหา

สำนักข่าว Bloomberg ได้วิเคราะห์หาทางออกของปัญหานี้ที่ Spotify สามารถทำได้กับรายการพอดแคสต์ที่มีผู้เข้าฟังเป็นอันดับ 1 ของโลกนี้บ้าง

1. ฉีกสัญญาโจ โรแกน

Spotify สามารถยกเลิกสัญญากับโจ โรแกน และจ่ายเงินชดเชยให้แก่เขาได้ตามที่ตกลง ทำให้เขาสามารถนำพอดแคสต์ไปเผยแพร่ในช่องทางอื่น ๆ ได้ และยังมีรายได้จากการขายโฆษณาให้สินค้าอื่น ๆ อีก แต่ Spotify จะสูญเสียจุดเด่นที่สามารถดึงดูดผู้ฟังจำนวนมากไป และไม่มีอะไรการันตีว่าเหล่าคอนเทนท์ครีเอเตอร์และผู้ใช้บริการที่จากไปแล้ว จะกลับใช้บริการอีก

 

2. แบนโจ โรแกน

หากโรแกนยังคงสร้างเฟคนิวส์ หรือให้ข้อมูลที่ไม่ตรงความจริงแบบนี้ต่อไป หรือกลับมาใช้ถ้อยคำเหยียดผิว เหยียดเชื้อชาติอีก เขาก็ไม่ควรได้รับการสนับสนุนอีกต่อไป ดังเช่นกรณีของอเล็กซ์ โจนส์ (Alex Jones) นักจัดรายการขวาจัด เจ้าของรายการ InfoWars ที่โดนแบนออกจากโซเชียลมีเดียทุกช่องทาง หลังจากกุเรื่องว่าจะมีการกราดยิงและเหตุจลาจลในสหรัฐ

 

3.ไม่ต้องทำอะไร

แม้จะมีศิลปินและนักจัดพอดแคสต์บางส่วนจะทยอยนำคอนเทนท์ของตนออกจาก Spotify รวมถึงผู้ใช้งานบางส่วนจะหันไปใช้สตรีมมิงรายอื่น แต่ก็ยังเป็นเพียงส่วนน้อย ยังไม่ได้สร้างผลกระทบให้แก่ Spotify ได้ (อย่างน้อยที่สุดก็ในตอนนี้) อีกไม่นานเรื่องอาจจะเงียบไปเอง เหมือนกับอีกหลายเรื่องที่เป็นกระแสผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่หากมีการขุดคุ้ยรายการของโรแกนอีก ก็อาจจะทำให้ศิลปินและผู้ใช้งานบอยคอต Spotify มากขึ้นอีกหลายเท่าตัว และทำให้ซีอีโอต้องคอยตอบคำถามเหล่านี้อยู่เรื่อยไป 

ดังนั้น Spotify จะต้องประเมินความเสี่ยงให้ดีว่าทางเลือกไหนจะส่งผลที่ดีต่อแบรนด์ได้ดีกว่ากัน ระหว่างจะเก็บโรแกนไว้ ปล่อยโรแกนไป ไม่ว่าจะเลือกทางไหนย่อมมีผลกระทบต่อ Spotify แต่ก็ไม่ใช่เรื่องผิดที่จะเก็บโรแกนไว้ เหมือนกับที่คอนเทนท์ครีเอเตอร์มีสิทธิ์ที่จะถอดผลงานของพวกเขาออกจากแพลตฟอร์มที่เขาไม่เห็นด้วย และผู้ใช้บริการก็มีสิทธิ์เลือกใช้ผู้ใช้บริการอื่นแทน หากพวกเขาไม่พอใจ

อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่น่าตั้งคำถามกับแพลตฟอร์มออนไลน์ที่มีขนาดใหญ่ที่มีข้อมูลหลายล้านรายการ คือ แพลตฟอร์มมีวิธีตรวจสอบและกำจัดข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง ทั้งที่ตั้งใจปล่อยและไม่ตั้งใจ ตลอดจนเฟคนิวส์ได้อย่างไร และสามารถเชื่อถือข้อมูลเหล่านั้นได้มากน้อยแค่ไหน ท้ายที่สุดแล้วผู้ใช้บริการก็ย่อมต้องใช้วิจารณญาณในการรับชมอยู่ดี


ที่มา: Bloomberg, CNN, Financial TimesHollywood Reporter, Vulture, The Verge