เทรนด์ใหม่ ปี 2022 "ยกกระชับหน้า" ไม่ต้อง "ผ่าตัด"

เทรนด์ใหม่ ปี 2022 "ยกกระชับหน้า"  ไม่ต้อง "ผ่าตัด"

ใครที่อยู่ในวัย 30-40 ปี จะปัญหาบนใบหน้า ทั้ง ผิวหนังหย่อน กระดูกใบหน้าเริ่มสึก ต้นเหตุของใต้ตาและร่องแก้ม การรักษาด้วยการ "ยกกระชับใบหน้า" แบบไม่ต้องผ่าตัด เป็น เทรนด์ของ คนที่อยากฟื้นฟู ลดอายุผิวหน้า ปี 2022 ที่กำลังได้รับความนิยม

          นพ.ธนรัตน์ ใบเจริญโรจน์ หรือ คุณหมอซี แพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย และการยกกระชับหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งเป็นหมอคนไทยรายแรกที่ได้รางวัล ARBEAUTE BEST PRACTICE AWARD  3 ปีซ้อนจากประเทศเกาหลี เผยถึงเทรนด์ใหม่ปี 2022 ด้านการยกกระชับหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัดที่ให้ผลลัพธ์ที่ดูดีและเป็นธรรมชาติ ว่า การยกกระชับหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด บางคนอาจจะเข้าใจผิดว่าวิธีการรักษาบางอย่างดีที่สุด  เช่น คิดว่าฉีดฟิลเลอร์ดีที่สุดก็จะฉีดแต่ฟิลเลอร์อย่างเดียว จนบางครั้งฉีดเยอะไป ทำให้หน้าดูไม่เป็นธรรมชาติได้ หรือใช้การรักษาด้วยพลังงานโฟกัสอัลตร้าซาวนด์   แต่การรักษานั้นก็จะยิงแต่พลังงานนั้นอย่างเดียว ไม่สามารถแก้ได้ทุกปัญหาบนใบหน้าได้ ดังนั้นการแกัปัญหาให้ครบวงจร ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญจากแพทย์ที่มีประสบการณ์และให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับคนไข้

 

 

         นพ.ธนรัตน์ กล่าวด้วยว่า การยกกระชับหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัดที่ดีที่สุดแบบครบวงจร  หมายทั้งการซ่อมผิวชั้นบนด้วยพลังงานคลื่นความถี่วิทยุขั้วเดียว (Monopolar RF) ซ่อมชั้นกล้ามเนื้อลึกด้วยพลังงาน Focused ultrasound และ เสริมกระดูกที่สึกด้วยฟิลเลอร์ (Filler) เพื่อให้ผลลัพธ์ดีกว่าและดูเป็นธรรมชาติมากกว่า ทั้งนี้แพทย์ผู้ทำการรักษาต้องมีความชำนาญและมีประสบการณ์เฉพาะด้าน

 

เทรนด์ใหม่ ปี 2022 "ยกกระชับหน้า"  ไม่ต้อง "ผ่าตัด"

          นพ.ธนรัตน์ ยังได้เผยถึงเคล็ดลับที่ทำให้ได้รางวัล ARBEAUTE BEST PRACTICE AWARD จาก Hwany Medical หรือ HMC เจ้าของเทคโนโลยี Monopolar RF ชั้นนำจากประเทศเกาหลี ร่วมกับ บริษัท อินสไปร์ อีเทอร์นิตี้ จำกัด ผ่านทางช่อง TikTok: หมอซี Dr.C.official  ด้วยว่า

เทรนด์ใหม่ ปี 2022 "ยกกระชับหน้า"  ไม่ต้อง "ผ่าตัด"   

          1.เลือกใช้เวชภัณฑ์และเครื่องมือที่มีเทคโนโลยีคุณภาพสูงจากบริษัทที่ได้รับอนุญาตในการนำเข้าอย่างถูกต้อง สามารถให้คนไข้ตรวจสอบได้ทุกครั้ง 

 

          2.เลือกทำเลที่ตั้งคลินิกในราคาที่เหมาะสมช่วยให้สามารถควบคุมต้นทุนได้ 

 

          3.ให้ความรู้ในการรักษาที่ถูกต้องผ่านช่องทาง Social Media แทนการทำโฆษณา และนำงบที่ต้องจ่ายค่าโฆษณามาเพิ่มวงเงินให้คนไข้ได้รักษาอย่างเต็มที่  อีกทั้งปัญหาของแต่ละคนไม่มีแค่อย่างเดียว.