วาระสุดท้าย”แม่ชีศันสนีย์”จากมุม“สายสัมพันธ์”พี่สาวที่ดูแลใกล้ชิด

วาระสุดท้าย”แม่ชีศันสนีย์”จากมุม“สายสัมพันธ์”พี่สาวที่ดูแลใกล้ชิด

วินาทีที่“แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต”กำลังจะสิ้นลม “สายสัมพันธ์ ปัญญศิริ” พี่สาวที่คอยดูแลน้องอย่างใกล้ชิด เล่าถึงวาระสุดท้าย...

“ความตายไม่ได้น่ากลัว แต่ความกลัวตายต่างหากที่เป็นทุกข์” 

แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต

..................

ถ้าใครได้รู้จัก สายสัมพันธ์ ปัญญศิริ หรือป้าตุ๋ม หรือยายตุ๋ม ที่ลูกศิษย์ลูกหา แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต  เรียกพี่สาวท่านเช่นนั้น ก็จะรู้ว่า ทั้งสองเป็นพี่น้องที่รักกันมาก

นับตั้งแต่แม่ชีศันสนีย์ ครองชีวิตเป็นนักบวช ป้าตุ๋มคนนี้จะคอยดูแลช่วยงานที่เสถียรธรรมสถาน ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา และเมื่อแม่ชีศันสนีย์จากไป ป้าตุ๋ม ก็ยังสานเจตนารมณ์ รับช่วงดูแลงานทางธรรมต่อ

 

 

เหมือนเช่นที่กล่าวมา วินาทีที่แม่ชีศันสนีย์ กำลังจะจากลา (7 ธันวาคม 64) ป้าตุ๋มเป็นคนที่ดูแลอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเคยเป็นพยาบาล ศึกษาและปฏิบัติธรรมมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเคยบวชเป็นแม่ชีอยู่ช่วงหนึ่ง

วาระสุดท้าย”แม่ชีศันสนีย์”จากมุม“สายสัมพันธ์”พี่สาวที่ดูแลใกล้ชิด

                        (ภาพชุดสุดท้ายแม่ชีศันสนีย์ ถ่ายโดย : สมคิด ชัยจิตวนิช)

ในช่วงเข้าพรรษา 3 เดือนของปีนี้ ช่วง แม่ชีศันสนีย์ ภาวนาและทำงานอยู่ที่หุบเขาโพธิสัตว์ จ.เพชรบุรี ป้าตุ๋ม เป็นผู้ดูแลน้องสาวจนถึงวาระสุดท้ายที่เสถียรธรรมสถาน 

ล่าสุด เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 64 ในวันเคลื่อนขบวนกายสังขารแม่ชีศันสนีย์ รวมถึงวันสวดพระอภิธรรม และกราบเคารพกายสังขารแม่ชีศันสนีย์ วันแรก ป้าตุ๋ม เล่าถึงวาระสุดท้ายของแม่ชีศันสนีย์ ให้ จุดประกาย-กรุงเทพธุรกิจ ฟังทุกแง่ทุกมุม..

ช่วงที่มะเร็งกระเพาะอาหารกลับมาครั้งที่ 2 แม่ชีศันสนีย์เป็นอย่างไรบ้าง

ตอนที่ท่านป่วยเป็นมะเร็งครั้งแรก(เมษายน 60) และหายป่วยไปแล้ว ตอนแรกว่าจะผ่าตัด ก็ไม่ต้องผ่า ใช้รักษาด้วยยา จนมาพบแพทย์อีกครั้ง พบว่า มีทั้งส่วนที่เซลล์มะเร็งทั้งยุบ ใหญ่ขึ้น และขยาย

ก่อนเข้าพรรษา ปี 64 เป็นช่วงสุดท้ายที่แม่ชีศันสนีย์ไปทำ CT SCAN(ซีทีสแกนหรือ Computerized TomographyScan)

คุณหมอบอกว่าต้องเปลี่ยนยาเป็นชุดที่สอง เพราะยาชุดที่ 1 ดื้อยาไปแล้ว และยาชุดสองมีผลข้างเคียงเยอะ เมื่อท่านกินยาชุดที่สอง ผิวหนังและเล็บท่านลอก และเจ็บไปหมด

วาระสุดท้าย”แม่ชีศันสนีย์”จากมุม“สายสัมพันธ์”พี่สาวที่ดูแลใกล้ชิด

        (ภาพชุดสุดท้าย ถ่ายเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 64 ภาพโดย : สมคิด ชัยจิตวนิช )

หลังจากกินยารักษามะเร็งชุดที่สองผ่านไป 6 เดือนอาการดีขึ้นไหม

เมื่อกินยาชุดที่สอง ปรากฏว่า ดื้อยาอีก อาการไม่ดีขึ้น จึงเปลี่ยนยาอีก และกำลังจะเข้าพรรษา ท่านบอกขอไปภาวนาที่หุบเขาโพธิสัตว์ จ.เพชรบุรี

ช่วงมะเร็งกลับมาครั้งที่ 2 แม่ชีศันสนีย์ภาวนาที่หุบเขาโพธิสัตว์ ท่านทำอะไรบ้าง

ช่วงเข้าพรรษา 3 เดือนในปี 2564 ท่านไม่ได้กลับเข้ากรุงเทพฯเลย ทำงานหนักมาก เพิ่งเริ่มสร้างหุบเขาโพธิสัตว์ งานหนักทางกาย ก็ไม่แปลว่าไม่เครียด ทั้งเหนื่อยและเครียด อาการทางกายคือท้องโตขึ้น เจ็บในท้อง และท่านไม่บอกใคร แม้กระทั่งเรานอนอยู่ใกล้ๆ ตลอด

เป็นช่วงเวลาที่ป้าตุ๋มอยู่กับแม่ชีศันสนีย์ตลอด ? 

ถ้าท่านไม่ป่วย เรามาทำงานที่เสถียรธรรมสถานแล้ว ก็ไปๆ มาๆ กลับไปนอนบ้าน พอท่านป่วย ก็ขอสามีมาดูแล เราเลือกน้อง

ตอนที่อยู่หุบเขาโพธิสัตว์ด้วยกัน ท่านจะตื่นตี 3-4 ออกไปเดินจงกรมที่ระเบียงกว้างๆ 

จากนั้นตี 5 ท่านจะฟังเสียงสวดมนต์ที่คณะแม่ชีสวด หรือไม่ก็เดินออกกำลังกาย ซึ่งการเดินของท่านรอบหุบเขา ก็ตรวจงานไปด้วย

จากนั้น 9 โมงเช้าลงสอนแม่ชีทุกวัน แม่ชีที่นั่นโชคดี เพราะเวลาอยู่เสถียรธรรมสถาน ท่านจะลงสอนแค่ศุกร์-อาทิตย์

อาการป่วย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายอย่างไรบ้างคะ

ผิวเปลี่ยนเป็นสีคล้ำ เห็นชัดว่าเปลี่ยนไป ป้าตุ๋มก็ถามว่าท่านเจ็บไหม ท่านบอกว่าเจ็บ ช่วงนั้นเรานอนคู่กันทุกคืน สมัยเด็กๆ ป้าตุ๋มอยู่กับป้าในเมือง ท่านอยู่กับแม่ ไม่เคยนอนคู่กันแบบนี้

ตอนท่านป่วยเป็นมะเร็งครั้งแรก ตอนนั้นหมอให้ดูฟิลม์เอกซเรย์ก็รู้ว่า ไม่ใช่มะเร็งธรรมดา มีการกระจาย เพราะท่านเจ็บ ตอนไปบรรยายที่ร้านนันทวัน จ.เพชรบุรี ท่านเจ็บจนพูดไม่ได้ เหงื่อออกเหมือนช็อค ต้องให้แม่ชีคนอื่นนำภาวนา

มะเร็งครั้งแรกต้องเข้าโรงพยาบาล และครั้งที่สองอาการก็ประมาณนั้น ท่านมีอาการท้องโตและเจ็บ แต่ท่านก็รอว่าจนกว่างานจะเสร็จ ค่อยมาตรวจ จนพบว่า ก้อนใหญ่ขึ้นประมาณ 20 เซนติเมตร เบียดอวัยวะช่องท้อง ทำให้กินอาหารได้น้อย ร่างกายซูบผอม และเลือดหนืดๆ 

หลังออกพรรษา ต้นเดือนพฤศจิกายน 64 ท่านอยู่ที่เสถียรธรรมสถาน ? 

ตอนที่ป่วยรอบสอง แรกๆ ท่านยังอยากฉันอาหาร แต่ฉันได้เล็กๆ น้อยๆ ป้าตุ๋มยังแหย่ท่านว่า “ท่านหิวหรืออยาก” จนร่างกายท่านไม่พร้อม เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย อยากหลับ วันที่ 2-3 ธันวาคม 64 ท่านหลับตลอด จึงต้องพาไปโรงพยาบาล

วาระสุดท้าย”แม่ชีศันสนีย์”จากมุม“สายสัมพันธ์”พี่สาวที่ดูแลใกล้ชิด

             (ภาพชุดสุดท้าย ถ่ายเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 64 ภาพโดย : สมคิด ชัยจิตวนิช )

เมื่อไปโรงพยาบาลครั้งสุดท้าย(เดือนธันวาคม 64)แม่ชีศันสนีย์เป็นอย่างไร

เมื่อไปโรงพยาบาล หมอให้ทำอัลตราซาวด์ พบว่า เซลล์มะเร็งไม่ได้อยู่ที่ผิวตับ มีก้อนอยู่ในตับด้วย เมื่อตับขับสารพิษไม่ได้เต็มที่ ก็กระจายไปทั่วร่างกาย มีอาการบวม ท้องเสีย และที่เจออีกคือ แผลในลำไส้เล็กอีกสามจุด เกิดจากการอักเสบ หมอก็บอกป้าตุ๋มว่า เป็นระยะสุดท้ายแล้ว

พยาบาลก็ถามป้าตุ๋มว่า ถ้าฉุกเฉินจะให้ทำอย่างไร ป้าตุ๋มบอกว่า ไม่ต้องทำอะไร ปล่อยให้ท่านจากไปอย่างสงบ

เราก็คิดว่า ถ้าอย่างนั้นกลับเสถียรธรรมสถานดีกว่า เพราะอยู่นั่นก็คงฉีดแต่มอร์ฟีน ตอนนั้นท่านลุกจากเตียงไม่ได้แล้ว

ช่วงป่วยระยะสุดท้าย ป้าตุ๋มดูแลไม่ห่างเลย ? 

อยู่ตลอด ไม่เคยห่างท่าน เวลามีอะไร ท่านก็เรียกป้าตุ๋มคนเดียว บางทีท่านก็เกรงใจคนอื่น

แม่ชีศันสนีย์รู้ไหมว่ากำลังจะจากไป

ท่านรู้ตัว เพราะร่างกายท่านไม่ไหวแล้ว แต่ไม่พูด ไม่อยากทำให้คนอื่นกังวล

ท่านสั่งเสียอะไรไหม

จะบอกว่าไม่สั่งเสียก็ไม่ได้ ท่านบอกว่า เราทำให้หมดแล้ว ก็เรียกลูกศิษย์กลุ่มต่างๆ มาคุย ท่านบอกว่า “ลองสิ ถ้าแม่ไม่อยู่ พวกเธอจะทำยังไง” หรือ"ถ้าแม่ตาย พวกเธอจะอยู่กันได้ไหม” แล้วท่านก็พูดว่า ยังอยู่

กลุ่มวิศวะสถาปนิก ที่จะสร้างมหาสถูปที่หุบเขาโพธิสัตว์ ถือเป็นงานสุดท้าย เพราะเป็นกลุ่มคนที่ท่านไว้ใจ ท่านเหนื่อยมาก

เป็นช่วงชีวิตที่พี่น้องได้อยู่ใกล้ชิดกันมากที่สุด

ตั้งแต่ท่านป่วยรอบสอง ใกล้ชิดกันมาก ป่วยครั้งแรกก็ไม่เท่าไร ร่างกายไม่น่าห่วง แต่รอบนี้น่าห่วง

ในฐานะพยาบาล เห็นอาการท่านก็รู้ว่าท่านอายุไม่ยืน ไม่เคยบอกใคร ตอนอยู่หุบเขาโพธิสัตว์สามเดือน รู้อยู่ว่าต่างจากมะเร็งครั้งที่ 1 เพราะทำงานหนัก แม้จะภาวนาไม่ได้แปลว่า ไม่เครียด(ย้ำอีก)

แม้ป้าตุ๋มจะเป็นคนนิ่งมากกับเรื่องพวกนี้ เพราะผ่านอะไรมาเยอะ แต่ครั้งนี้ยอมรับว่า ใจหวั่นไหว สงสารท่าน แต่อารมณ์ไม่จมหรือดิ่งลงไป ไม่ฟูมฟาย เพราะการป่วยครั้งนี้ท่านเอง ก็รู้ว่า เวทนาคุมยาก

วินาที( 7 ธค.64)ที่ท่านกำลังจะจากไป? 

ป้าตุ๋มวัดความดันท่านไม่ได้เลย สมองท่านมีปัญหา บ่ายวันนั้นก็เลยไม่ให้ใครเข้ามากราบเลย จังหวะนั้นพระธรรมโพธิวงศ์ เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา และพระปัญญานันทมุนี เจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษ์ดิ์ มาร่วมภาวนาโดยไม่ได้นัดหมาย แค่โทรมาบอกว่า อยู่ข้างล่างนะโยม

วินาทีนั้นป้าตุ๋ม บอกแม่ชีศันสนีย์ว่า “ไม่ต้องห่วงอะไร ท่านไปเถอะ ท่านเหนื่อยมากแล้ว ท่านไปให้สบาย”

ในวินาทีนั้น ความเข้าใจเรื่องธรรมะและความตายสำคัญอย่างไร

ป้าตุ๋มเป็นพยาบาลมาก่อน ก็พอจะเข้าใจ ลมหายใจเฮือกสุดท้ายของท่าน ตอนนั้นป้าตุ๋มก็สวดมนต์ให้ ใจนิ่ง ไม่ได้คิดอะไร ไม่ร้องไห้

เวลาพูดถึงเสถียรธรรมสถาน คนก็นึกถึงแม่ชีศันสนีย์ แบบนี้ใครจะมาสอนธรรมะหรือแทนท่านได้

คนก็ศรัทธาท่าน ยังมีครูบาอาจารย์ที่เป็นคณะสงฆ์สนับสนุน ถ้าพวกเรายังทำงานหนักเหมือนที่ท่านทำ ผลงานออกมาก็เหมือนท่านยังอยู่

ต่อไปภาระการดูแลเสถียรธรรมสถาน ต้องเป็นของป้าตุ๋ม หนักใจไหม

ป้าตุ๋มคงทำได้ในแบบป้าตุ๋ม ไม่ใช่แบบแม่ชีศันสนีย์

หมายเหตุ : ผลงานภาพชุดแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต ถ่ายโดย : สมคิด ชัยจิตวนิช ถ้าผู้ใดจะนำไปใช้ ต้องขออนุญาตเจ้าของภาพก่อน

.................

หมายกำหนดการ

วันที่ 15 ธันวาคม 64 -15 กุมภาพันธ์ 65 เวลา 09.00-16.00  น. เปิดให้ประชาชนทั่วไปกราบเคารพกายสังขารแม่ชีศันสนีย์ ณ ถ้ำนิพพานชิมลาง เสถียรธรรมสถาน  

หลังจากนั้น จะเคลื่อนกายสังขารท่านแม่ชีศันสนีย์ ไปสู่หุบเขาโพธิสัตว์ อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี 

สำหรับคนที่ต้องการร่วมบุญเพื่อสมทบทุนสร้างหุบเขาโพธิสัตว์ สืบสานเจตนารมณ์แม่ชีศันสนีย์ ดูที่เพจเสถียรธรรมสถาน หรือโทร 02 519 1119

ธรรมะปิดเรื่อง

"ชีวิตที่เหลือจะยาวจะสั้นแค่ไหน ถ้าไม่เป็นเงื่อนไขของความทุกข์ ก็มีคุณค่าทั้งนั้น" แม่ชีศันสนีย์