5 คำถามกับ ‘กันต์ รตนาภรณ์’ จากซีอีโอเป็นอาร์ทิสต์
นักธุรกิจสายอสังหาฯ และเจ้าของแบรนด์แฟชั่นแห่ง Maison de Bangkok “กันต์ รตนาภรณ์” วันนี้ถอดหมวกซีอีโอมารับบทใหม่บนเส้นทางศิลปะ พร้อมแสดง "งานศิลปะ" ของตัวเองเป็นครั้งแรกใน "นิทรรศการ Life is Art"
นิทรรศการภาพวาดเดี่ยว Guntara ของ กันต์ รตนาภรณ์ จัดแสดงที่ชั้น 2 ร้าน มาดิ (Madi) คาเฟ่สีขาวย่านเจริญกรุง ผลงานที่โดดเด่นทำให้บรรดาแกลเลอรี่ต่างแดนมาทาบทามขอนำผลงานไปจัดแสดง เช่น เจ้าของแกลเลอรี่ในฮ่องกง เตรียมนำ Life is Art ไปจัดแสดงในงานนิทรรศการศิลปะครั้งใหญ่ในฮ่องกง ราวเดือนพฤษภาคม ต่อด้วยแสดงงานในแกลเลอรี่ที่นิวยอร์กอีก 3 เดือน
นิทรรศการ Life is Art
ก่อนที่เขาจะเดินทางไปแสดงผลงานของตัวเองในต่างแดน จึงขอเปิดใจนักธุรกิจหนุ่มที่เบนเข็มตัวเองมาสู่เส้นทางสายศิลปะ
อยากให้เล่าถึงความเป็นมาของผลงาน Life is Art
“เป็นนิทรรศการภาพวาดครั้งแรกของผม มีทั้งหมด 14 ภาพ ที่สะท้อนถึงแต่ละช่วงชีวิตของผมที่ผ่านมา การทำธุรกิจ ผลสำเร็จจนถึงช่วงวิกฤติโควิด-19 ภายใต้แนวคิด Life is Art หมายถึง ศิลปะคือความสุข
เพราะศิลปะเป็นแรงบันดาลใจทำให้เกิดความสุขจากอย่างแท้จริง เป็นความสุขในช่วงเวลานั้น ๆ และอยากจะถ่ายทอดพลังแห่งความสุขส่งผ่านไปสู่คนอื่น ตั้งใจจะให้ศิลปะเป็นการสื่อสารระหว่างผู้วาดและผู้ชม เมื่อมองมาที่ภาพแล้วสะท้อนถึงชีวิตได้
จุดเริ่มต้นของคอลเลคชั่นนี้มาจากการนั่งสมาธิ โดยปกติผมเป็นคนทำงานหนัก ไม่ค่อยมีเวลาพัก แต่พอเกิดโควิด มีเวลานั่งสมาธิ มองย้อนไปในชีวิตที่ผ่านมา ทำไมถึงมีความทุกข์ ตอนเด็กเราเคยมีความสุขนี่ เลยคิดว่าชีวิตก็มีแค่นี้ จึงเกิดเป็นภาพแรกที่ชื่อว่า Connect The Dot ใช้เทคนิคการจุดสีลงบนภาพโดยใช้ไม้สักทอง เหมือนเส้นทางชีวิตที่ผ่านมา ต้องผ่านจุดต่าง ๆ หลุมเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง แต่มันคือการเชื่อมโยงเป็นชีวิตของเรา
แล้วพอเรามองย้อนกลับมาทำให้กลายเป็นจุดเริ่มต้นกระบวนการทางความคิด ทั้งข้อความและพลังงานที่ส่งมา และภาพที่ออกมา ได้อย่างที่เราต้องการทั้งหมดเลยเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิต นี่ล่ะครับคือจุดเริ่มต้นของภาพคอลเลคชั่นนี้ ใช้เวลา 5 เดือนในการทำขึ้นมา”
จากนักธุรกิจมาจับพู่กัน เป็นการทำงานที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงหรือไม่
“ความจริงผมชอบศิลปะนานแล้ว ศิลปะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตตั้งแต่เด็ก ผมชอบวาดรูป ระบายสี ออกแบบห้องนอนด้วยตัวเอง พอเข้ามหาวิทยาลัยก็เลือกเรียนศิลปะ แต่พอต้องเลือกวิชาหลักเพื่อประกอบอาชีพในอนาคต จึงตัดสินใจเลือกเรียนด้านดีไซน์ เพราะมองว่าใช้ทำมาหากิน ประกอบอาชีพได้ พอเข้าสู่วัยทำงาน มุ่งทำมาหากินเป็นหลัก ยึดติดกับกิเลสภายนอก จนลืมความเป็นตัวตนและความสุขที่แท้จริง
กันต์ รตนาภรณ์
ผมยอมรับว่าเป็นคนที่ใช้ชีวิตตามกระแสโลก พอเริ่มต้นทำงาน เราก็ห่างไกลความสุขออกไปทุกที เราไปยึดติดกับกิเลสบนทางโลกมาก เมื่อผมได้ตระหนักรู้ มันเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต จุดที่เรารู้สึกว่าเราอยากจะมีความสุขเหมือนตอนเด็ก ๆ เราก็เลยอยากจะเอาศิลปะกลับมา”
จึงเกิดเป็นผลงานเดี่ยวของตัวเอง
“ใช่ครับ ช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตที่เราห่างไกลจากความสุขมาก ๆ มันก็มาถึงจุดที่ว่าเราอยากจะกลับไปมีความสุขเหมือนตอนเด็ก ๆ จังเลย เราก็เลยเอาศิลปะกลับมาเชื่อมต่อความรู้สึกนั้น และค่อย ๆ ทำความสะอาดมัน มันเป็นเหมือนกับการที่เราได้บ้านใหม่ที่สะอาด แล้วเราอยากอยู่ในบ้านหลังนี้ไปเรื่อย ๆ จึงสัญญากับตัวเองว่าจะเอาความสุขอยู่กับศิลปะอยู่กับเราตลอดไป
ดังนั้น ศิลปะในตัวผมก็ไม่ได้หายไปไหน เป็นสิ่งที่อยู่ในตัวตนมาตลอดตั้งแต่เด็ก พอทำงานก็ใช้เรื่องดีไซน์เป็นหลัก งานดีไซน์เป็นเหมือนถนนสายหลัก งานศิลปะเป็นเหมือนมอเตอร์ไซค์ที่วิ่งควบคู่กันไป เป้าหมายชีวิตในระยะยาว คือความสุข และผมมั่นใจว่าผมยังมีศิลปะอยู่ด้วยตลอด จึงไม่ทำให้ผมออกนอกทางของความสุขได้”
ทำไมถึงเลือกใช้สีขาว-ดำ และชิ้นใดบ้างที่นำไปจัดแสดงในต่างประเทศ
"Life is Art เป็นการสะท้อนเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิต ผมเลือกใช้สีขาวแทนความสุขและสีดำแทนความทุกข์ที่ผ่านเข้ามา สื่อถึงชีวิตของคนเราที่มีทั้งด้านมืดและด้านสว่าง การใช้สัญลักษณ์สอดแทรกในผลงานแต่ละชิ้น เปรียบเหมือนกับชีวิตคนเรา ที่อาจจะมีวันที่ท้อแท้ โศกเศร้า เป็นสีดำ และอาจจะมีชีวิตที่สดใสอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น
งานชุดนี้ผมเลือกเพ้นท์โดยใช้ไม้สักทองที่มาจากเฟอร์นิเจอร์เก่าภายในบ้าน มาตัดเป็นท่อนในขนาดที่ต่าง ๆ กัน และนำมาเป็นอุปกรณ์ในการสร้างงานศิลปะในครั้งนี้ เพื่อให้เข้ากับคอนเซปต์ที่เป็นธรรมชาติของงาน Life is Art
ความจริงการวาดภาพของผมใช้เวลาไม่นาน ถ้ามีสมาธิจะสามารถสื่อข้อความมาที่ภาพได้ไม่ยาก ช่วงที่ผ่านมาผมวาดภาพไปเกือบร้อยภาพ แต่นำมา ร้อยเรียงผ่านการจัดแสดงแต่ละห้อง ซึ่งจะเล่าเรื่องแต่ละเรื่อง ห้องที่มีแสงสว่าง ห้องที่แสดงถึงความเชื่อ ห้องที่แสดงถึงช่วงชีวิตที่รู้สึกแย่ที่สุด ซึ่งอยากจะเสนอให้เห็นถึงข้อความทั้งสองด้าน มีสุข มีทุกข์ และการกลับมาอยู่กับตัวเอง ทำให้เราสามารถค้นพบความสุขที่แท้จริงได้
สำหรับผลงาน 4 ชิ้นที่จะไปแสดงที่ฮ่องกง ไม่ได้วาดใหม่ แต่จะนำ 1 ใน 4 ภาพจากนิทรรศการ Life is Art ที่กำลังแสดงอยู่ไปโชว์ ส่วนที่นิวยอร์กจะเป็นการวาดใหม่ทั้งหมดครับ”
มีศิลปินที่ชื่นชอบเป็นพิเศษมั้ย
“จริง ๆ ผมไม่มีใครที่ชอบเป็นพิเศษหรือมีไอดอลเลย ต้องบอกว่า 2 ปีที่ผ่านมาไม่เสพงานอาร์ตคนอื่น เพื่อที่เราเองจะได้ไม่ติดยึดและติดภาพเขาจนเราเอามาใช้ ผมไม่มีไอดอลแบบที่เป็นหนึ่งในดวงใจ ไม่ได้ชอบงานของใครเป็นพิเศษ ผมชอบไปพิพิธภัณฑ์แต่ไม่เสพ คือผมมองงานศิลปะเป็นเหมือนกับเล่าเรื่อง ไม่ได้จดจำว่าผู้วาดคือใคร แค่มองว่าภาพวาดนี้เขาให้อะไรกับเรา
ในความหมายของศิลปะสำหรับผม คือบ้านที่รู้สึกว่าอบอุ่น รู้สึกว่าเป็นบ้านที่อยากจะอยู่ตลอดไป มันก็เลยกลายเป็นความสุขที่สงบ และแน่นอนว่าศิลปะเป็นหนึ่งในเป้าหมายของอนาคตในชีวิต ที่จะมุ่งสร้างสรรค์ให้คนได้สัมผัสงานศิลปะ ที่สร้างความสุขในรูปแบบของเขาเอง แค่ได้สัมผัสเพียง 5 วินาที ถือว่าคุ้มค่าที่สุดแล้ว และหากมีคนมาซื้อภาพ มีคนเห็นคุณค่า มีความสุขกับภาพที่เราวาด มันก็เป็นอีกความสุขที่มากกว่าที่คาดหวังไว้ เหมือนเป็นโบนัสของชีวิต
ผมอยากฝากถึงเด็กรุ่นใหม่ที่มีความสนใจในเรื่องของศิลปะ จริง ๆ ศิลปะเป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติ บางทีอาจจะกลับมาที่ตัวของเราเอง ที่เป็นธรรมชาติของเรา กลับมาเป็นตัวตนของเรา ค้นหาเอกลักษณ์ที่เราคิดมันขึ้นเองมาจากตัวเองนั่นแหละจะเป็นตัวคุณที่คุณมีความสุขมากที่สุด ที่คุณไม่ต้องพยายามเป็นคนอื่นหรืออยากจะเป็นแบบใคร ผมคิดว่านั่นคือความเป็นตัวเองและเป็นธรรมชาติของตัวเอง คุณคือหนึ่งเดียว ที่คนอื่นจะมาก็อปปี้คุณไม่ได้”
ชมผลงานเดี่ยวครั้งแรกของ กันต์ รตนาภรณ์ ได้ที่ คาเฟ่ มาดิ หรือถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึกได้ที่ @madi_bkk ชมได้วันนี้ถึง 30 พฤศจิกายน 2564 เวลา 10.00 – 16.00 น. ดูเพิ่มเติมที่ IG : GUNRATA