"No Time To Die" ปิดตำนาน เจมส์ บอนด์ ฉบับ "แดเนียล เครก"

"No Time To Die" ปิดตำนาน เจมส์ บอนด์ ฉบับ "แดเนียล เครก"

ก่อนส่งท้ายบทบาทเจมส์ บอนด์ ด้วย "No Time To Die" ของ "แดเนียล เครก" ชวนเปิดเบื้องลึกเบื้องหลัง 15 ปี การรับบท "สายลับ 007" ที่ครบรสชาติ และถือเป็นเกียรติยศสูงสุดอย่างหนึ่งในชีวิต

“ผมรู้ว่าคนพูดกันไปเยอะมากว่าผมคิดยังไงเกี่ยวกับมัน แต่ผมอยากจะบอกว่าผมรักทุกวินาทีของหนังเรื่องนี้ เพราะผมได้ตื่นขึ้นมาทุกเช้าแล้วได้มีโอกาสมาทำงานกับพวกคุณ นั่นเป็นเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิตผม”

 

แดเนียล เครก พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือกับเหล่าทีมงาน ผู้สร้าง ผู้กำกับ  "No Time To Die : 007 พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ" ในงานเลี้ยงฉลองปิดกล้องภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งถือเป็นการอำลาบทบาท ‘พยัคฆ์ร้าย 007’ ที่เขาเล่นมาเป็นเวลานานถึง 15 ปีด้วย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เครกจะมีความผูกพันกับแฟรนไชส์หนังสายลับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก

เครกถือเป็นผู้รับบทสายลับ 007 ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่ง เขาเล่นหนังเจมส์ บอนด์ ทั้งหมด 5 ภาคด้วยกัน ได้แก่ Casino Royale (2006), Quantum of Solace (2008), Skyfall (2012), Spectre (2015) และ No Time To Die (2021) ซึ่งมีกำหนดเข้าฉายในโรงภาพยนตร์บ้านเราวันที่ 7 ตุลาคมนี้แล้ว

 

ด้วยเหตุนี้เองเราจึงจะพาคุณไปย้อนตำนาน ‘เจมส์ บอนด์ - แคเนียล เครก’ ก่อนที่จะไปดูภาคใหม่เพื่ออำลาเขาจากบทบาทนี้กัน

"No Time To Die" ปิดตำนาน เจมส์ บอนด์ ฉบับ "แดเนียล เครก"

  • ผู้สร้างนิยามใหม่ให้ ‘เจมส์ บอนด์’

เจมส์ บอนด์ เป็นบทประพันธ์ของ ‘เอียน เฟลมมิง’ ที่รังสรรค์ผลงานเอาไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1953 หรือเมื่อ 68 ปีที่แล้ว ในส่วนของภาพยนตร์นั้น เจมส์ บอนด์ ถูกสร้างมาแล้วทั้งสิ้น 25 ภาค (รวม No Time To Die) มีผู้รับบทพยัคฆ์ร้าย 007 เฉพาะเวอร์ชั่นภาพยนตร์ รวมทั้งสิ้น 7 คน ได้แก่ ฌอน คอนเนอรี (7 ภาค), เดวิด นิเวน (1 ภาค), จอร์จ เลเซนบี (1 ภาค), โรเจอร์ มัวร์ (7 ภาค), ทิโมธี ดาลตัน (2 ภาค), เพียร์ซ บรอสแนน (4 ภาค) และแดเนียล เครก (5 ภาค) ซึ่งถูกมองว่าเป็นคนที่ทำให้ภาพลักษณ์และความเป็นบอนด์เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

คนที่เป็นแฟนภาพยนตร์ 007 คงจำซีนในตำนานของเครกใน Casino Royale กันได้ดี กับฉากที่เขานุ่งกางเกงว่ายน้ำสีฟ้าเดินขึ้นมาจากทะเล มีหยดน้ำเกาะพราวบนแผงออกล่ำ ๆ ซึ่งเจ้าตัวได้ให้สัมภาษณ์ว่า จงใจทำแบบนี้แทนฉากสาวบอนด์นุ่งบิกินีเดินขึ้นจากน้ำแบบเซ็กซี่ๆ เพราะไม่ต้องการให้ผู้หญิงกลายมาเป็นวัตถุทางเพศ (sex object) ในหนังอีกต่อไป

"No Time To Die" ปิดตำนาน เจมส์ บอนด์ ฉบับ "แดเนียล เครก"

เครกบอกด้วยว่ามีหลายอย่างที่บอนด์ทำไว้จนกลายเป็นเอกลักษณ์ของเขาไปแล้ว แต่พอมาในยุคนี้เราคงจะทำแบบนั้นไม่ได้อีกต่อไป เพราะสภาพสังคม แนวคิด และค่านิยมต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อ 70 ปีก่อนตอนที่นิยายถูกเขียนขึ้นเป็นอย่างมาก 

 

นอกจากให้เกียรติผู้หญิง ไม่มองว่าเป็นแค่วัตถุทางเพศแล้ว ‘เจมส์ บอนด์ - เครก’ ยังได้รับคำชมว่า เป็นบอนด์เวอร์ชั่นที่มีความเป็นมนุษย์ เจ็บปวดได้ ร้องไห้เป็น และตกหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่งได้อย่างแท้จริง (ไม่ได้มีไว้เพียงแค่อุ่นเตียง)

"No Time To Die" ปิดตำนาน เจมส์ บอนด์ ฉบับ "แดเนียล เครก"

 

  • สายลับผู้ทรงศักดิ์ และสิทธิ์แห่งอังกฤษ

แต่กว่าจะกลายมาเป็นเจมส์ บอนด์ที่คนรักเช่นทุกวันนี้ แดเนียล เครก ต้องผ่านอะไรมามากมายเหลือเกิน แต่ด้วยโชคชะตา ความประจวบเหมาะของสถานการณ์ และความฮึดสู้ของเขาถึงทำให้มีวันนี้ได้

 

Barbara Broccoli โปรดิวเซอร์จากสตูดิโอ Eon Productions ผู้สร้างหนังเจมส์ บอนด์มาตั้งแต่ภาคแรกจนถึงภาคล่าสุดเปิดเผยกับ GQ ว่าตอนที่กำลังจะสร้าง Casino Royale นั้นเป็นช่วงต้น ค.ศ. 2000 ซึ่งวินาศกรรมตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในสหรัฐทำให้สถานการณ์โลกเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง รวมไปถึงหนังแนวสายลับอย่างเจมส์ บอนด์ด้วย

 

“ศตวรรษใหม่ ศักราชใหม่ เราเอง (ภาพยนตร์เจมส์ บอนด์) ก็ต้องมานิยามตัวเองใหม่เช่นกัน” บร็อคโคลิกล่าว

"No Time To Die" ปิดตำนาน เจมส์ บอนด์ ฉบับ "แดเนียล เครก"

แดเนียล เครก กับ บาร์บารา บรอคโคลิ ในงานเปิดตัวเจมส์ บอนด์ ภาค Spectre

ส่วนตัวเครกซึ่งจะต้องมาเล่นต่อจาก ‘เพียซ บรอสแนน’ ที่ได้ชื่อว่าเป็นเจมส์ บอนด์ที่มีเสน่ห์มากที่สุดอีกคนหนึ่งนั้นก็คิดว่าตัวเองไม่เหมาะกับบทนี้เช่นกัน แต่พออ่านบท Casino Royale ที่สร้างจากนิยายเจมส์ บอนด์เรื่องแรกแล้วรู้สึกว่ามันดีมากเลยตัดสินใจรับเล่น

 

เครกบอกว่าตอนที่ศึกษาบทเขาได้กลับไปอ่านนิยายของเอียน เฟลมมิงอย่างละเอียดแล้วพบว่า “บอนด์ในนิยาย” ต่างจาก “บอนด์ในหนัง” ที่เล่นๆ กันมากว่า 30 ปีค่อนข้างมากเลยทีเดียว คือจริงๆ แล้วบอนด์ไม่ได้สงบนิ่งขนาดนั้น แต่เป็นสายลับตัวแสบคนหนึ่งทีเดียวแหละ ซึ่งตัวเครกเองรู้สึกว่ามันน่าสนใจ และตัวเขาเข้ากันได้ดีกับบอนด์แบบนี้มากกว่า

 

“หมอนี่ (บอนด์) ดาร์กสุดๆ เลยหละ” เครกกล่าว

 

"No Time To Die" ปิดตำนาน เจมส์ บอนด์ ฉบับ "แดเนียล เครก"

แล้วในวันที่เปิดตัว แดเนียล เครก ออกสู่สายตาชาวโลกว่า เขาผู้นี้นี่แหละที่จะมารับบทพยัคฆ์ร้าย 007 คนใหม่ เขาก็โดนถล่มเละว่าไม่เหมาะสม ทั้งความโนเนม รูปร่างไม่สูงเพรียวเหมือนคนอื่นๆ รวมไปถึงการมีผมสีบลอนด์ (ต่างจากในนิยายที่บลอนด์ต้องผมสีเข้มเท่านั้น) โดยชาวเน็ตถึงกับเข้าไปเปิดเว็บไซต์ blondnotbond.com และเว็บ danielcraigisnotbond.com มาโจมตีเขา ขณะที่สื่ออังกฤษก็ถึงกับพาดหัวว่า James Bland (ที่แปลว่า จืดชืด ไร้รสชาติ ไม่น่าสนใจ) แทนคำว่า James Bond

 

สาเหตุที่ได้รับการโจมตีหนักขนาดนี้ก็เป็นเพราะว่า เจมส์ บอนด์ ไม่ได้เป็นเพียงแค่ตัวละครในนิยายธรรมดาๆ แต่เปรียบประดุจสถาบันอันศักดิ์อย่างหนึ่งที่สะท้อนวัฒนธรรม ความเป็นอังกฤษเอาไว้มากพอๆ กับราชวงศ์ และทีมฟุตบอล (อ้างอิงจากบทความที่ชาวอังกฤษเขียนเอาไว้) โดยการที่ใครคนหนึ่งจะมารับบท 007 นั้นถือเป็นวาระแห่งชาติกันเลยทีเดียว

 

  • 15 ปี แห่งความภาคภูมิใจ

แต่ทว่าภายหลังจากที่หนังออกฉาย สถานการณ์กลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เจมส์ บอนด์ ขาลุยคนนี้กลับได้ใจแฟนๆ ไปครองอย่างรวดเร็วจนทำให้เครกรับบทนี้ต่อเนื่องกันมาถึง 5 ภาค กินระยะเวลาทั้งสิ้น 15 ปี ขณะที่หนัง 4 ภาคที่เขาเล่นก็กลายเป็นหนังเจมส์ บอนด์ที่ทำเงินได้มากสุด 4 อันดับแรก จากทั้งหมด 24 ภาค (ไม่นับรวม No Time To Die ที่ยังไม่เข้าฉาย)

 

"No Time To Die" ปิดตำนาน เจมส์ บอนด์ ฉบับ "แดเนียล เครก"

 

เท่านั้นยังไม่พอ เจมส์ บอนด์-แดเนียล เครก ยังได้รับเกียรติให้ร่วมเปิดกีฬาโอลิมปิก 2012 ที่กรุงลอนดอนเป็นเจ้าภาพ ร่วมกับสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งอังกฤษด้วย

คลิปเปิดงานที่บอนด์เดินไปรับเสด็จพระราชินีที่พระราชวังบักกิงแฮม ก่อนที่จะกระโดดร่มลงที่พร้อมกับพระองค์นั้น กลายเป็นคลิปพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่มียอดวิวทางยูทูปสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์

อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่อยู่กับบทนี้มายาวนานถึง 15 ปี โดยเครกรับเล่นเจมส์ บอนด์ ภาคแรก Casino Royale ตอนอายุ 37 ปี และเล่นภาคสุดท้าย No Time To Die ตอนที่มีอายุ 52 ปี เขาก็เกิดอาการหมดไฟขึ้นมา ซึ่งสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งก็คืออาการบาดเจ็บที่ได้รับมาแทบทุกภาค ทั้งฟันหัก บาดเจ็บหัวไหล่ ผ่าตัดข้อเท้า ไม่นับรวมอาการฟกช้ำดำเขียวที่เจอจนเป็นเรื่องปกติ

 

มีรายงานว่าตอนที่ถ่ายภาค Spectre จบได้เพียงแค่ 2 วัน เครกต้องมานั่งให้สัมภาษณ์นักข่าวในสภาพที่ร่างกายและจิตใจยังอ่อนล้า ยังไม่หายเหนื่อยจากการถ่ายทำ พอเจอคำถามว่า คุณจะรับเล่นเจมส์ บอนด์อีกไหม เครกถึงกับตอบไปว่า คุณเห็นแก้วที่ผมกำลังดื่มน้ำนี่อยู่ไหม ผมเลือกที่จะขว้างมันให้แตกแล้วเอาเศษแก้วมากรีดข้อมือตัวเองซะดีกว่าที่จะรับเล่นเจมส์ บอนด์ ตอนต่อไป

 

หลังจากนั้นเลยมีข่าวใหญ่เป็นกระแสใหญ่โตอยู่พักหนึ่งว่าใครจะเป็นเจมส์ บอนด์คนต่อไปแทนที่เครกดี แต่แล้วหลังจากนั้น 5 ปีให้หลัง เราก็ได้เห็นเขากลับมาเล่น No Time To Die เป็นภาคสุดท้าย แถมยังมีความพิเศษตรงที่เครกโดดเข้ามามีส่วนร่วมในขั้นตอนการผลิตแทบจะทุกกระบวนการ

 

เรียกได้ว่าเป็นการปิดตำนานการเป็น ‘เจมส์ บอนด์’ ลงได้อย่างงดงาม ซึ่งสำหรับคอหนังชาวไทยรับชม ‘No Time To Die : 007 พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ’ ได้วันที่ 7 ตุลาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์

"No Time To Die" ปิดตำนาน เจมส์ บอนด์ ฉบับ "แดเนียล เครก"