หลักการ 'ปล่อยตัวชั่วคราว' ในคดีอาญา

หลักการ 'ปล่อยตัวชั่วคราว' ในคดีอาญา

ทำความเข้าใจหลักการ "ปล่อยตัวชั่วคราว" ในคดีอาญา ซึ่งถือเป็นการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและผ่อนคลายการจำกัดสิทธิเสรีภาพของจำเลยจากการควบคุมหรือขัง ตามกฎหมายไทยมีการพิจารณาอย่างไร?

การปล่อยชั่วคราวเป็นการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและผ่อนคลายการจำกัดสิทธิเสรีภาพของผู้ต้องขังหรือจำเลยจากการควบคุมหรือขัง อันเนื่องจากหลักการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าจะมีการพิสูจน์ได้ว่ามีความผิดตามกฎหมาย

พิจารณาจากทฤษฎีกฎหมายธรรมชาติ เป็นทฤษฎีกฎหมายที่สนับสนุนอุดมคติทางกฎหมายเชิงจริยธรรม คือ เป็นการยืนยันความเชื่อมั่นความยุติธรรม ในฐานะเป็นจุดหมายปลายทางของกฎหมาย หรือเป็นเรื่องความสัมพันธ์ที่จำต้องมีระหว่างกฎหมายกับความยุติธรรม หรือหลักศีลธรรมจริยธรรมต่างๆ แง่ทฤษฎีเกี่ยวกับสิทธิซึ่งสนับสนุนเรื่องสิทธิมนุษยชน โดยเน้นไปที่สิทธิทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การพัฒนา สันติภาพ ซึ่งหมายความถึงสิทธิที่จะได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวด้วย 

กฎหมายธรรมชาติตามทฤษฎีนี้ ถือว่าสิทธิเสรีภาพของบุคคลเป็นเหตุผลและความยุติธรรมที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติ และอยู่เหนือกฎหมายที่ผู้ปกครองรัฐตราขึ้นไว้ ซึ่งอาจมองได้ว่าทฤษฎีนี้เป็นการคำนึงความเป็นธรรมซึ่งเป็นนามธรรมเกินไป

พิจารณาจากทฤษฎีกฎหมายบ้านเมือง มีแนวคิดปฏิเสธกฎหมายที่สูงกว่าหรือกฎหมายธรรมชาติ สิ่งที่ยอมรับเป็นกฎหมายที่แท้จริงคือกฎหมายบ้านเมืองหรือกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่เท่านั้น ทฤษฎีกฎหมายบ้านเมือง ถือว่าสิทธิเสรีภาพเป็นสิ่งที่รัฏฐาธิปัตย์เป็นผู้รับรองและคุ้มครอง หรือมีที่มาจากคำสั่งของผู้มีอำนาจสูงสุดในการปกครองรัฐได้ตราไว้ในการบัญญัติกฎหมาย ดังนั้น การปล่อยชั่วคราวจึงมีรากฐานมาจากทฤษฎีกฎหมายบ้านเมือง ซึ่งต้องการที่จะมุ่งรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมควบคู่ไปกับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคล

การใช้ดุลยพินิจ (Discretion) ให้เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับระบบความยุติธรรมทางอาญา ถ้าเน้นหนักไปในทางกระบวนการทางอาญาแบบกระบวนการนิติธรรม (Due Process) ก็จะมีการจำกัดการใช้ดุลยพินิจของเจ้าพนักงาน ถ้าเน้นหนักไปในทางกระบวนการทางอาญาควบคุมอาชญากรรม (Crime Control) ก็จะเป็นโอกาสให้ใช้ดุลยพินิจอย่างกว้างขวาง 

ประเทศไทยศาลใช้ดุลยพินิจได้อย่างกว้างขวาง ยากที่จะกำหนดขอบเขตได้อย่างแน่ชัด ดังจะเห็นได้จากถ้อยคำต่างๆ ที่ใช้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เช่น แล้วแต่จะเห็นสมควร โดยมีเหตุอันควร เมื่อมีเหตุอันควรสงสัย ในกรณีที่มีเหตุจำเป็น เมื่อศาลเห็นสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม

การใช้ดุลยพินิจคือการวินิจฉัย การพิจารณาตามภาวะแวดล้อมแห่งพฤติการณ์ (Circumstances) และรวมถึงการใช้วิจารณญาณในการออกคำสั่งของผู้พิพากษาที่ผู้มีอำนาจนั้น โดยไม่ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณหรือการตัดสินใจของผู้อื่น และมีความหมายรวมถึงการใช้ดุลยพินิจในการกระบวนพิจารณาความ วิธีการ รูปแบบ ความหนักเบาของข้อหา และองค์ประกอบอื่นๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้การใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม ที่สามารถยืดหยุ่นปรับให้สอดคล้องและเป็นธรรมกับข้อเท็จจริงเฉพาะรายได้ โดยคำนึงถึงความยุติธรรมเฉพาะคดี

จากข้อมูลเพจศาลยุติธรรม : สื่อศาล @pr.coj วันที่ 9 มี.ค.2564 ประเด็นสรุปข้อเท็จจริง และข้อหาตามฟ้องของจำเลยตามสำนวนที่พนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องกลุ่มคณะราษฎร์ต่อศาลอาญา ในการยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวจำเลยทั้ง 18 คน ศาลพิจารณาแล้วไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว นางสาวปนัสยา, นายภาณุพงศ์ และนายจตุภัทร์ จำเลยที่ 1-3 

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าพฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง ทั้งมีเหตุอันควรให้เชื่อได้ว่าหากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 1-3 จะไปก่อเหตุในลักษณะเดียวกันกับที่ถูกฟ้อง หรือไปก่อเหตุอันตรายประการอื่นอีก จึงไม่สมควรอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ให้ยกคำร้อง ส่วนจำเลยที่ 4-18 ศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว โดยตีราคาประกันคนละ 35,000 บาท 

จึงเป็นการใช้ดุลยพินิจภายใต้หลักทฤษฎีกฎหมายบ้านเมือง และกระบวนการทางอาญาควบคุมอาชญากรรม เป็นเหตุผลประกอบด้วยการไม่อนุญาตปล่อยชั่วคราวด้วยอำนาจตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108/1 (3) เพราะจำเลยจะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น เพราะจำเลย 1-3 ได้กระทำความผิดตามที่ถูกฟ้องมาแล้วหลายครั้ง