มรดกความคิด ‘ระพี สาคริก’

มรดกความคิด  ‘ระพี สาคริก’

ปูชนียบุคคลท่านนี้ ได้ทิ้งสิ่งที่มีคุณค่าไว้ให้สังคมมากมาย โดยเฉพาะเรื่องการเกษตร 

""""""""""""""""""""""""""""""""""

ว่ากันว่า คนเราเมื่อจากโลกนี้ไปแล้ว สิ่งที่จะทำให้คนระลึกถึง คือ คุณความดี  และสิ่งที่จะทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลังคือ ความคิด และความรู้     

เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 ศ.ระพี สาคริก ปราชญ์ด้านการเกษตร ปรมาจารย์ด้านกล้วยไม้ ได้ถึงแก่อนิจกรรมอย่างสงบด้วยวัย 95 ปีที่บ้านพักย่านบางเขน ​​

      ศ.ระพี มีคุณูปการต่อสังคมไทยมากมาย เป็นตัวอย่างของคนที่ใช้ชีวิตเรียบง่าย มีคุณธรรม ทำประโยชน์ให้ชุมชนและสังคม รวมถึงเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ในการทำความดีและใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า

-1-

หากใครได้รู้จัก และเคยติดตามผลงานของ ศ.ระพี จะรู้ว่า ท่านเป็นปราชญ์ที่มีความเข้าใจมนุษย์ และทำทุกอย่างเพื่อแผ่นดินไทย

นอกจากเรื่องกล้วยไม้แล้ว ยังให้ความสำคัญกับชุมชนและสังคม และเรื่องอื่นๆ ทั้งเรื่องการเขียนหนังสือ ธรรมะ ดนตรี การวาดภาพ ฯลฯ

โดยเฉพาะเรื่องการเขียนหนังสือและการบรรยายให้แนวคิดและความรู้ 

เมื่อหลายปีที่ผ่านมา ศ.ระพี ก็เคยเป็นคอลัมนิสต์ให้เซคชั่นจุดประกาย หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

ข้อเขียนเกือบทุกตอนที่ท่านเขียน มักจะขึ้นต้นด้วย

“ตอนนี้ฉันอายุ .... ปี ”

นั่นทำให้รู้ว่า ท่านตระหนักถึงคุณค่าของเวลา ในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่

ศ.ระพี เคยเขียนไว้ในหนังสือ ค้นหาความจริงจากชีวิต ตอนอายุ 82 ปี ว่า

“การคิดถึงความตายโดยขาดความกระตือรือร้นอย่างที่มักจะกล่าวกันว่า นั่งงอมืองอเท้า มันก็เป็นเรื่องถูกต้องสำหรับผู้ที่คิดทอดอาลัยตายอยาก แต่อีกด้านหนึ่งถ้าจะคิดแบบสร้างสรรค์ ควรรู้สึกได้เองว่า การพูดถึงความตายโดยมีความรับผิดชอบ ย่อมเกิดความกระตือรือร้นที่จะทำงานมุ่งสู่การสร้างสรรค์หนักมากกว่าเก่า”

นอกจากนี้ ศ.ระพี เคยบันทึกไว้ว่า

“มันทำให้ฉันรักที่จะเข้าไปสัมผัสกับคนทุกกลุ่มเท่าที่ชีวิตตัวเองจะกระทำได้ ฉันเริ่มมองเห็นความจริงชัดเจนยิ่งขึ้นว่า แท้จริงแล้วจุดเริ่มต้นกับจุดสุดท้ายของชีวิต มันคือจุดเดียวกัน”

-2-

ในช่วงวัยชราที่คนส่วนใหญ่มักจะใช้ชีวิตกับครอบครัว แต่สำหรับ ศ.ระพี ถ้ายังมีเรี่ยวแรงอยู่ ก็จะทำงานเพื่อสังคม ได้รับเชิญไปขึ้นเวทีพูดถึงแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต 

“บทเรียนสำคัญจากอาจารย์ระพีที่ผมซึมซับไว้ ตามประสาผม โดยไม่เคยสอบว่าถูกเพียงไร คือ การไปพ้นจากปรากฎการณ์ที่เห็นเป็นกล้วยไม้ จนถึงกระบวนการเรียนรู้ ค้นคว้า จนลึกลงไปถึงก้นบึ้งแห่งใจของความเป็นมนุษย์ของผู้คนและชุมชน แล้วไม่ติดข้องอยู่เพียงนั้น อาจารย์ระพีจะชวนผมไปไกลกว่านั้น ในแทบทุกครั้งที่สนทนา ปรึกษาหารือกระทั่งที่ผ่านจดหมาย บทความ หนังสือต่างๆ ท่านพาไปจนถึงที่สุดของธรรมชาติเสมอ” คุณหมอบัญชา พงษ์พานิช จากสวนโมกข์กรุงเทพฯ เคยกล่าวไว้ในหนังสือ 84 ปี ระพี สาคริก

“แม้คุณพ่อจะมีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านกล้วยไม้ แต่ก็เป็นอาจารย์ธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่ไม่ได้มีความทะเยอทะยานลาภ ยศ ตำแหน่งแต่อย่างใดเลย “ ลูกคนหนึ่งของศ.ระพี กล่าวไว้ในหนังสือเล่มเดียวกัน

ส่วน นพ.ประพจน์ เภตรากาศ กล่าว ไว้ว่า "สิ่งที่อาจารย์เน้นย้ำอยู่ตลอดเวลาคือ ทำอะไรก็ตาม ต้องอย่าลืมรากฐานของตนเอง รากฐานของครอบครัว รากฐานของชุมชน รากฐานของประเทศ และสุดท้ายรากฐานความเป็นมนุษย์ การพัฒนาสิ่งใดและเรื่องใด ต้องพัฒนาที่รากฐาน อาจารย์จะให้ความสำคัญกับคนเล็กคนน้อย ทั้งนี้เพราะผู้คนเล็กน้อยเหล่านั้นคือ รากฐานของสังคม การพัฒนารากฐานคือ การเปิดโอกาสให้คนเหล่านี้มีคุณค่า มีศักดิ์ศรี และมีบทบาทในการพัฒนาสังคมไทย”

แม้กระทั่ง คุณหมอประเวศ วะสี ก็เคยเขียนถึงวิธีระพีไว้ในหนังสือเล่มเดียวกันว่า เคยมีสุภาพสตรีถามอาจารย์ระพีว่า “คนเราควรทำอะไร”

อาจารย์ระพี ตอบว่า “ทำอะไรก็ได้ที่ชอบ การได้ทำอะไรที่ชอบจะทำให้มีความสุข แล้วพยายามทำให้ประณีต ความประณีตจะเป็นความงามที่มาพัฒนาจิตใจของตนเอง แล้วพยายามให้เข้าใจลึกขึ้น แล้วมันก็จะไปเจอกันเอง”

โดยคุณหมอประเวศได้อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีระพีว่า

“มนุษย์มีความแตกต่างหลากหลาย ไม่มีใครในโลกสองคนที่เหมือนกันเลย แม้แต่คู่แฝดจากไข่ใบเดียวกัน ซึ่งมีดีเอ็นเอเหมือนกันทุกอย่าง ก็มีความชอบ ความถนัดแตกต่างกัน ถ้ามีโอกาสได้ทำสิ่งที่ตนชอบก็จะมีความสุข ทำได้นาน ทำได้ทน มีความจดจ่อหรือสมาธิในสิ่งนั้น ทำได้เก่งและสร้างสรรค์ได้มาก 

เพราะในระบบการศึกษาของเราบังคับให้ทุกคนเรียนเหมือนๆ กันหมด ทำให้น่าเบื่อหน่าย ขาดสมาธิ ทำไม่ได้ดี ขาดความคิดสร้างสรรค์ ท่านอาจารย์ระพีจึงกล่าวว่า “ทำอะไรก็ได้ที่ชอบ”

-3-

หากใครมีโอกาสกลับไปอ่านเรื่องราวและประวัติชีวิตของท่าน ก็จะรู้ว่า ท่านใช้ชีวิตเรียบง่าย ติดดิน และทำประโยชน์ให้กับวงการเกษตรไม่ใช่น้อย 

ศ.ระพี เป็นตัวอย่างของคนที่ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าตั้งแต่เด็ก เป็นคนช่างคิด ช่างประดิษฐ์ รักศิลปะ รักสัตว์เลี้ยง รักการถ่ายภาพ รักดนตรี ฯลฯ

สิ่งสำคัญคือ คิดแล้วลงมือทำ และทำมาตั้งแต่เด็ก ตอนอายุ 9 ปีเล่นไวโอลินได้แล้ว และอีกหลายเรื่องที่ท่านทำมาตั้ังแต่เด็ก

โดยเฉพาะเรื่องกล้วยไม้ ท่านได้ทำลายความเชื่อที่ว่า “กล้วยไม้เป็นของไร้สาระ เป็นของฟุ่มเฟือย และเป็นของคนแก่ คนมีเงิน” ท่านทำให้กล้วยไม้เป็นเรื่องของคนไทยทุกคน  ตอนท่านเป็นอาจารย์สอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้เปิดคอร์สอบรมให้ความรู้เรื่องกล้วยไม้กับประชาชนโดยตรง เผยแพร่การเลี้ยงกล้วยไม้ออกไปในวงกว้าง และเป็นคนแรกๆ ที่ริเริ่มการค้ากล้วยไม้ ทั้งๆ มีโอกาสทางการค้า แต่ท่านก็เลือกที่จะเป็นผู้เผยแพร่ความรู้มากกว่าเป็นนักค้ากล้วยไม้ 

นอกจากนี้ยังพานักกล้วยไม้เมืองไทยไปรู้จักตลาดกล้วยไม้ในต่างประเทศ ผลักดันให้มีการเลี้ยงกล้วยไม้ส่งออก และเมื่อถึงจุดหนึ่ง มีนักค้ากล้วยไม้ในชุมชนมากขึ้น ตัวท่านก็เลิกค้ากล้วยไม้

อาจารย์ระพีใช้เวลาวางรากฐานให้วงการกล้วยไม้กว่า 60 ปี ทั้งพัฒนาคนและชุมชน และสร้างพันธมิตรในต่างประเทศ รวมถึงวางโครงสร้างการผลิต เพื่อให้คนปลูกกล้วยไม้มีความชำนาญเฉพาะด้าน และเชื่อมโยงระหว่างบริษัทส่งออกกล้วยไม้ ห้องแล็บเพาะเลี้ยงกล้วยไม้ขายต้น สวนที่ผสมพันธุ์กล้วยไม้ขาย ทำให้ธุรกิจกล้วยไม้มีจุดแข็งในด้านต้นทุนและความหลากหลายของพันธุ์กล้วยไม้ไทยส่งขายไปทั่วโลก

"การเกษตรไม่ใช่แค่อาชีพ เรามองตื้นเขินเกินไป การเกษตรเป็นวัฒนธรรม เป็นชีวิต ผมพูดอยู่เสมอว่า ทุกสาขาถ้าคิดตรงนี้ได้ ไม่แบ่งก๊ก แบ่งพวก ขีดเส้นแบ่งภาควิชา แบ่งคณะ แบ่งอะไรกัน มันเป็นเส้นในใจกันทั้งนั้น มันไม่ใช่เส้นจริงเลย คือ เส้นกิเลส

ความจริงแล้วไม่ว่าจะเป็นหมวดเป็นอะไรก็แล้วแต่ ศาสตร์แขนงไหนต้องพึ่งพื้นดิน เมื่อพึ่งพื้นดินแล้ว เกษตรอยู่ได้ ทำหน้าที่สาขาไหนก็แล้วแต่ มันมาพบเป็นหนึ่งเดียวกันในพื้นดิน นั่นแหละเป็นการเกษตรของไทยที่แท้จริง...." ศ.ระพี เคยกล่าวไว้ก่อนสิ้นลม

...............

95 ปี ปรมาจารย์กล้วยไม้

-เคยมีผลงานแต่งเพลงในวงดนตรีสุนทราภรณ์และเค.ยูแบนด์

-สนใจเรื่องกล้วยไม้ตั้งแต่อายุ 10 ปี เมื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ช่วงแรกๆ ศึกษาค้นคว้าเรื่อง“กล้วยไม้” โดยใช้ทุนส่วนตัว

-เป็นที่ยอมรับของวงการกล้วยไม้ของโลก ให้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกล้วยไม้คนหนึ่งของโลก

-ผลงานมากมายในเรื่องกล้วยไม้ ทำให้ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากในหลวง รัชกาลที่ 9 พระราชทานเหรียญดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยา สาขาเกษตรศาสตร์ (พ.ศ. 2511)

-ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ (พ.ศ. 2513)

-เคยดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในรัฐบาลพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์

-ได้รับการยกย่องเป็นปูชนียบุคคล โดยเฉพาะในวงการศึกษาและวงการกล้วยไม้ จนได้รับการกล่าวขานว่าเป็น บิดาแห่งกล้วยไม้ไทย

-นับแต่ปีพ.ศ. 2533 ศาสตราจารย์ระพี สาคริก ได้ลาออกจากตำแหน่งประจำต่างๆ ที่ท่านดำรงทั้งภาคราชการ กึ่งราชการและภาคเอกชน เพื่อหันมาใช้ชีวิตที่สงบและเรียบง่าย เหลือเพียงการเป็นที่ปรึกษาให้วิทยาทานด้วยการบรรยาย สัมมนา โดยเฉพาะด้านการพัฒนาชนบทและเยาวชน

-มีผลงานเขียนหนังสือ บทความ ไม่น้อยกว่า 10 เล่ม อาทิ หอมกลิ่นกล้วยไม้ ,วิญญาณใต้ร่มนนทรี ,เขียนจากใจ และบันทึกประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต

“”””””””””””””

พิธีบำเพ็ญกุศล ศ.ระพี สาคริก 

-วันที่ 22 - 25 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 18.30 น. สวดพระอภิธรรม

-วันอาทิตย์ที่ 25 ก.พ 2561 พิธีบรรจุศพ หลังสวดพระอภิธรรม

 ณ ศาลาพ่วงจินดา วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน กทม.