CPR กู้ชีวิต ก่อนสมองตายใน 4 นาที

การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน จำเป็นที่ทุกคนต้องเรียนรู้ สำคัญอย่างไร...ลองอ่านดู
........................
“บางทีญาติไม่ทราบ เมื่อมีคนป่วยเกิดอาการไม่หายใจแล้ว และไม่ได้ปั๊มหัวใจ รอสิบห้านาที แม้จะไปถึงโรงพยาบาลแล้ว หมอช่วยปั๊มหัวใจขึ้นมาได้ แต่ปรากฎว่าสมองตายแล้ว” เขตนภันต์ จุลจิรวัฒน์ (หัวหน้าวิชาการดับเพลิงและกู้ภัย การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ) วิทยากรปันความรู้“CPRพลิกวิกฤตเสี้ยวนาทีชีวิต” กิจกรรมของบริษัท บัตรกรุงไทย
จำกัด(มหาชน)หรือเคทีซี กล่าวใน“โครงการLearn and Earn ”
กิจกรรมดีๆ เพื่อส่งเสริมให้ผู้เข้าอบรมเห็นความสำคัญของการช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ เมื่อมีวิกฤตเกิดขึ้นแบบปัจจุบันทันด่วน ซึ่งเป็นหลักสูตรการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานสำหรับประชาชนจากสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยฯ มูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐหรือเอกชน ก็ควรเปิดโอกาสให้ประชาชนได้เรียนรู้และปฏิบัติการช่วยฟื้นชีวิตคนในยามฉุกเฉิน ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะมีตัวอย่างในสังคมหลายกรณี เมื่อมีผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้น มีคนมากมายไม่รู้วิธีการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน และไม่รู้วิธีการใช้เครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ (AED)
เขตนภันต์ อาสาสมัครอีกคนในสังคมที่เห็นว่า การเรียนรู้เรื่อง การกู้ชีวิต หรือCPR : Cardiopulmonary resuscitation เป็นเรื่องที่สำคัญและช่วยชีวิตคนได้ และเขาก็เป็นคนหนึ่งที่มีโอกาสเข้าไปปฏิบัติการเพื่อช่วยฟื้นการทำงานของระบบไหลเวียนเลือด ที่หยุดทำงานอย่างกระทันหัน เพื่อให้หัวใจกลับมาเต้นเองได้ตามปกติ โดยไม่เกิดความพิการของสมอง
ปัจจุบันเขาเป็นวิทยากรในเรื่องการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน และทำมา6-7 ปี และยังคงทำต่อไปเรื่อยๆ
ในกิจกรรมครั้งนี้ เขาให้ผู้เข้าอบรม เรียนรู้การช่วยชีวิตคนขั้นพื้นฐานจากหุ่นสมชาย โดยเรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและปฎิบัติ เพื่อจะได้รู้ว่า การฝึกอบรมแบบนี้จำเป็นสำหรับทุกคน และมีหลายรายละเอียดที่คนควรรู้
เพราะอุบัติเหตุเกิดได้ทุกหนทุกแห่ง ทั้งในพื้นที่สาธารณะและในบ้าน
เมื่อเจอคนป่วยที่หัวใจหยุดเต้น ภาวะแบบนั้นเขาจะไม่มีเลือดไปเลี้ยงอวัยวะใดๆ สมองขาดเลือดมาเลี้ยงจะหยุดทำงานทันที ทำให้ผู้ที่สมองขาดเลือดจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันจะหมดส่ติภายใน 10 วินาที และควรได้รับการช่วยเหลือทันที
“ที่สำคัญที่สุดคือ เมื่อล้มลงไม่หายใจแล้ว สมองจะเริ่มเสียหายภายใน 4 นาที ต้องทำให้เลือดคนป่วยไปเลี้ยงสมองให้ได้” เขตนภันต์ เล่าถึงสภาพร่างกายมนุษย์
หากจะช่วยชีวิตคนในช่วงฉุกเฉินที่ไม่มีแพทย์พยาบาล การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานที่เรียกว่า CPR จึงจำเป็นมาก
และถ้าร่ำเรียนมาแล้ว เมื่อจะเริ่มกู้ชีวิต ต้องทำตั้งแต่การประเมินพื้นที่ปลอดภัย โดยการสังเกตสิ่งรอบตัวว่า มีสิ่งใดเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยและคนอื่นบ้าง ต้องทำให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยก่อนจากนั้นเข้าไปช่วยเหลือ ดูว่าผู้ป่วยยังหายใจหรือเปล่า
เขาบอกว่า ให้ใช้วิธีตบบ่าและไหล่ และเรียกให้รู้สึกตัว ไม่ควรเขย่าตัว เนื่องจากคนที่เข้าไปช่วยเหลือไม่รู้ว่า มีอวัยวะส่วนไหนได้รับบาดเจ็บ
จากนั้นให้โทรขอความช่วยเหลือจาก 1669 บอกรายละเอียด สถานที่ อาการผู้ป่วยให้ชัดเจน และถ้ามีคนอื่นๆ อยู่ตรงนั้นด้วย ก็ไหว้วานให้เขาช่วยโทรศัพท์ติดต่อ
“ตั้งแต่การแจ้งเหตุ ก็ช่วยชีวิตคนได้แล้ว แต่ต้องรู้วิธีการแจ้งให้ละเอียด อย่างคนป่วยหลายคนเสียชีวิต เพราะคนแจ้งบอกว่า ยังหายใจติดขัด เราควรบอกไปเลยว่า คนป่วยหยุดหายใจให้มาด่วน บอกสถานที่และเบอร์คนแจ้งให้ชัดเจน แล้วบอกให้เอาเครื่อง AED มาด้วย” อาสาสมัครคนเดิมเล่า
“สาเหตุที่คนล้มและอยู่ในภาวะฉุกเฉินแต่ละคนไม่เหมือนกัน ซึ่งตอนที่เรามาช่วย เราก็ไม่รู้ว่าหยุดหายใจไปกี่นาทีแล้ว หลักๆ เลย สมองขาดออกซิเจนได้ไม่เกินสี่นาที ตั้งแต่ล้มลงไป” เขตนภันต์ เล่า และบอกว่า การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานหรือ CPR ควรบรรจุในหลักสูตรการเรียนการสอนของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งปัจจุบันเป็นการสอนเฉพาะกลุ่มที่มีความสนใจ
“สัดส่วนคนที่เรียนรู้เรื่องซีพีอาร์ น่าจะเยอะกว่านี้ ในเมืองนอกประชาชนต้องเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ตั้งแต่เด็ก ตอนนี้คนไทยเริ่มให้ความสำคัญเรื่องนี้มากขึ้น คนที่ทำ CPR ได้ ก็ให้ทำไปตามขั้นตอน คนป่วยฉุกเฉินจะเป็นอะไร ก็รอหมอมาวินิจฉัย ข้อสำคัญเราช่วยไปก่อน อย่าให้สมองตายจากการขาดออกซิเจน
มีกรณีหนึ่ง คนรอบข้างไม่ได้ช่วยทำซีพีอาร์ตั้งแต่แรก พอถึงโรงพยาบาล หมอช่วยปั๊ม ยังหายใจต่อไปได้ แต่สมองตายแล้ว เมื่อใช้การไม่ได้ ก็ไม่ใช่เรื่องเงินอย่างเดียว แต่หมายถึงต้องมีคนดูแลตลอดเวลา คนดูแลคนนั้นเหมือนเป็นร่างกายแทนเขา ไม่ว่าขับถ่าย กินอาหาร พลิกตัว ต้องช่วยตลอด ไม่อย่างนั้นก็เจอแผลกดทับ คนดูแลต้องอยู่ตลอด 24 ชม.”
นี่คือ สิ่งที่เขาพยายามอธิบายให้เห็นว่า การเรียนรู้การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานจำเป็นอย่างยิิ่ง รวมถีงการเรียนรู้การใช้เครื่อง AED ซึ่งอีกไม่นานจะมีเครื่องเหล่านี้ในพื้นที่สาธารณะ ติดตั้งไว้ในร้านสะดวกซื้อ เพราะภาวะผู้ป่วยที่หยุดหายใจ มีทั้งกรณีจมน้ำ สูดดมควันมากไป ได้รับยาเกินขนาด ไฟฟ้าช็อต กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ฯลฯ
เขตนภันต์ แนะนำก่อนการทำ CPR ว่า การปั๊มหายใจ เราต้องวางสันมือไว้จุดกึ่งกลางหน้าอก โดยคำนวณจากการลากเส้นตรงระหว่างหัวนมทั้งสองข้าง
“ก่อนอื่นต้องนำคนป่วยนอนบนพื้นราบแข็ง ไม่ให้นอนบนเบาะหรือฟูก ถ้าอยู่ในรถให้เอาคนป่วยลงจากรถนอนบนพื้น”
หากคนป่วยไม่มีหัวนมแล้ว เนื่องจากผ่าตัดเต้านม เขาแนะหลักการง่ายๆ ว่าให้ใช้สี่นิ้วสอดใต้รักแร้ แล้วลากมือมาที่หน้าอก หาจุดศูนย์กลางระหว่างเต้านมให้เจอ
“ให้สังเกตสีหน้าคนป่วยด้วยว่าซีด ม่วง เขียวหรือชมพู หน้าอกหน้าท้อง ขยับขึ้นลงไหม ถ้าขยับแสดงว่า ยังหายใจอยู่ แต่มีกรณีหายใจเฮือก ปากอ้า หน้าอก หน้าท้องไม่ขยับ คนทั่วไปจะนึกว่ายังหายใจ กรณีนี้ต้องปั๊มหัวใจ ถ้าจะเช็คการหายใจ ให้ดูลมที่ปลายจมูก เมื่อจำเป็นต้องปั๊มหัวใจ คนปกติให้ปั๊ม 200-240 ครั้ง ไม่ควรบั๊มๆ หยุดๆ ถ้าไม่มีใครช่วยบั๊ม พักได้แค่สิบวินาที ปัั๊มไปเรื่อยๆจนคนไข้มีสัญญาณชีพคืนมา ก็คือพลิกตัว กระพริบตา ขยับแขนขาเริ่มหายใจ”
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม สิ่งที่วิทยากรและทีมงานย้ำตลอดการอบรมว่าต้องมีสติ เพราะแต่ละกรณีที่เกิดขึ้นไม่เหมือนกัน วิทยากรบอกว่า เคยมีกรณีในต่างประเทศคนที่ใช้เครื่องช็อคหัวใจ AED ไม่ได้มองคนรอบข้าง เพื่อนคนป่วยจึงโดนช็อคไปด้วย
เขตนภันต์ เล่าประสบการณ์การช่วยชีวิตให้ฟังอีกว่า เคยช่วยผู้โดยสารต่างชาติคนหนึ่งหมดสติ ชั้นที่ออกบัตรโดยสาร ที่สุขุมวิท ตอนนั้นก็ช่วยปั๊มหัวใจ ฟื้นมาแล้ว พอเราหยุดปั๊ม หัวใจก็หยุดเต้นอีก ก็ต้องปั๊มหัวใจไปเรื่อยๆ รอรถปฐมพยาบาลมาถึง ซึ่งเราก็ต้องประยุกต์สิ่งที่เรียนมา
หากถามว่า ประชาชนทั่วไปจำเป็นต้องเรียนรู้เรื่องนี้ไหม เขาบอกว่า จำเป็นมาก เพราะการป่วยฉุกเฉินสามารถเกิดกับใครและที่ไหนก็ได้
“แม้กระทั่งของติดคอ ก็มีสิทธิเสียชีวิตได้ แต่ก่อนทำต้องแยกให้ออกว่า คนไข้คนนี้ต้องทำซีพีอาร์ไหมบางทีแยกอาการคนไข้ไม่ออก เห็นหายใจเฮือกๆ ก็ไม่กล้าปั๊มหัวใจ เมื่อไม่กล้าปั๊ม คนป่วยก็เสียโอกาสที่จะรอดชีวิต
และมีกรณีปั๊มแล้ว มือกดผิดจุด คนป่วยก็จะเกิดอาการบาดเจ็บเพิ่ม แต่กรณีฉุกเฉินแบบนี้ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ซี่โครง แต่อยู่ที่หัวใจไม่ปั๊มเลือดส่งไปที่สมอง และเรามีเวลาแค่สี่นาที ถ้าทำไม่ได้ทัน สมองตาย แม้จะฟื้นกลับมาได้ ชีวิตก็ไม่มีคุณภาพแล้ว" เขตนภันต์ กล่าว และย้ำว่า
“คนไม่เรียน บางทีก็ไม่รู้วิธีการวางมือให้ถูกตำแหน่ง แต่ก็ยังช่วยได้บ้าง บางคนก็มีโอกาสรอด”
................
(((วิธีช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานสำหรับผู้ใหญ่)))
-ก่อนจะช่วยเหลือใคร ต้องประเมินความปลอดภัยสถานที่เกิดเหตุ อาทิ มีไฟฟ้าลัดวงจรไหม
-สำรวจการรับรู้ถึงภาวะหัวใจหยุดเต้น โดยการปลุกผู้ป่วยให้รู้สึกตัว และเมื่อพบว่า หมดสติ ไม่หายใจ หรือหายใจเฮือกๆ ไม่ตอบสนอง ภายใน 10 วินาทีให้ขอความช่วยเหลือ
-ขอความช่วยเหลือจากหน่วยช่วยชีวิตฉุกเฉิน EMS (1669)
1 กรณีต้องช่วยเหลือคนเดียว ไม่มีโทรศัพท์มือถือ ให้ทิ้งผู้ป่วยไปครู่หนึ่ง เพื่อหาโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือหน่วย EMS เพื่อจะได้นำเครื่อง AED มาก่อนทำ CPR
2 กรณีมีคนอื่นอยู่ด้วย ให้เริ่มทำ CPR ทันที จนเมื่อเครื่อง AED พร้อมใช้
-ระหว่างการทำ CPR อัตราการกดหน้าอกต่อการช่วยหายใจที่ปราศจากท่อช่วยหายใจ ปั๊มหัวใจ 30 ครั้งสลับการเป่าปาก 2 ครั้ง
-ความลึกในการกดหน้าอก อย่างน้อย 5 เซนติเมตร ไม่ควรเกิน 6 เซนติเมตร
-ตำแหน่งการวางมือทั้งสองข้าง ต้องให้สันมืออยู่กลางหน้าอก บริเวณครึ่งล่างของกระดูกหน้าอก
-การขยายกลับหน้าอก ปล่อยให้หน้าอกขยายกลับสู่ตำแหน่งเดิมหลังจากการกดแต่ละครั้ง (ห้ามพักมือบนหน้าอกหลังการกดแต่ละครั้ง)
-ควรมีการหยุดกดให้น้อยที่สุด ถ้าต้องหยุดกดต้องไม่นานกว่า 10 วินาที




