คืนความสุขสู่ ‘ห้องเรียน’

คืนความสุขสู่ ‘ห้องเรียน’

ถึงเวลาเติมเต็มบางสิ่งที่หายไปจากระบบการศึกษา ...สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่า ‘รัก’

“ตอนนี้มันไม่มีอารมณ์ ไม่อยากไปเรียนเลย ไม่ชอบกับการเรียนที่เรียนอยู่ โดยเฉพาะตอนนี้ คือมีวิชานึงที่เรียนอยู่ตอนนี้เวลาเรียนมันรู้สึกแย่และเครียดมาก คือเป็นวิชาที่เรียนแล้วมันไม่ชอบเลยแล้วเนื้อหาก็เยอะมากๆ สอบบ่อยคะแนนที่ออกมาก็น้อยมาก ที่สำคัญเวลาเรียนมันกดดันสุดๆ คืออ.จะเรียกให้ตอบคำถามทีละคนซึ่งทั้งห้องตอบได้หมด ยกเว้นเราที่ตอบไม่ได้ตลอด”

.....

“เราสอบได้ที่ 1 โรงเรียนตลอดค่ะ แต่เราติด rov เลยไม่ค่อยได้อ่านหนังสือ ตอนนี้ได้ที่ 2 เครียดมากเลย ใครมีวิธีแนะนำดีๆ บอกกันหน่อยน้า”

.....

ตัวอย่างเล็กๆ จากกระทู้ของ 2 เว็บดังที่วัยรุ่นนิยมเข้าไปแชร์ความรู้สึก สะท้อนความเครียดในห้องเรียนได้เป็นอย่างดี และเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร ที่ผ่านมาเคยมีการวิจัย ‘การดำเนินชีวิตและทัศนคติของเยาวชน’ โดยมูลนิธิเพื่อคนไทย พบว่า กว่าร้อยละ 90 ของเยาวชนประสบกับภาวะความเครียด โดยส่วนใหญ่ 78 เปอร์เซนต์ เครียดเรื่องการเรียนเป็นหลัก

เหตุผลก็น่าจะมาจากการที่เยาวชนมากถึง 99 เปอร์เซนต์ นิยามความสำเร็จว่า คือการได้ผลการเรียน หน้าที่การงาน เเละเงินเดือนที่ดี ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถูกคาดหวังทั้งจากพ่อแม่ผู้ปกครอง ครู สถาบันการศึกษา และสังคม การพาเยาวชนไทยออกจากความตึงเครียดในห้องเรียนจึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย

Gap ในห้องเรียนไทย

ภายใต้บรรยากาศทางการศึกษาที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน พ่อแม่ผู้ปกครองที่หวังให้ลูกเป็นที่หนึ่ง คุณครูที่พยายามผลักดันเด็กอย่างสุดกำลังให้ไปถึงเส้นชัย มีใครถามเด็กนักเรียนเหล่านี้บ้างไหมว่า พวกเขาอยากได้อะไรจากชั้นเรียน

เพื่อตรวจทานสถานการณ์ที่เป็นอยู่ สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ร่วมกับ สกว. สพฐ. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศูนย์จิตวิทยาการศึกษา มูลนิธิยุวสถิรคุณ มหาวิทยาลัยนเรศวร ได้ทำการสำรวจ ‘Gap ในห้องเรียนไทย’ โดยพิจารณาจาก ความสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนและครู ผู้บริหาร ผู้ปกครอง และตัวแทนชุมชน กลุ่มตัวอย่างประมาณ 24,000 คน โดยแบ่งเป็นกลุ่มตัวอย่างนักเรียนชั้น ป.6 ม.3 และ ม.6 จำนวน 10,000 คน กลุ่มครูจำนวน 4,000 คน กลุ่มผู้บริหาร 200 คน จากโรงเรียนขนาดกลางจำนวน 110 แห่ง กลุ่มผู้ปกครองจำนวน 9,000 คน และกลุ่มตัวแทนชุมชนจำนวน 800 คน

 “ผลสำรวจพบว่า 4 เรื่องใหญ่ในมุมมองเด็กไทยที่มีผลต่อการเรียนคือ 1.เด็กๆ อยากได้ความใส่ใจเป็นรายบุคคลจากคุณครูอย่างจริงจังมากกว่านี้ อยากมีครูคนโปรดที่สนิทเป็นพิเศษ มีครูที่ให้เวลาเขามาพูดคุยได้เสมอ และอยากได้ความใส่ใจอย่างเท่าเทียมไม่ลำเอียงจากครู 2.นิสัยและพฤติกรรมการเรียนของเด็กยังต้องพัฒนาด้วย ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรม การอ่านการค้นคว้า การทำการบ้าน ไปจนถึงการมีส่วนร่วมในชั้นเรียน 3.ครอบครัวให้เวลาใส่ใจกับการเรียนของเด็กน้อยไป 4.ความสัมพันธ์กับเพื่อน เช่น ความรู้สึกเป็นที่ยอมรับ การมีเพื่อนพูดคุยปรึกษาปัญหาต่างๆ ไปจนถึงการที่เด็กๆ สามารถช่วยติวกันเองได้” ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ หัวหน้าคณะวิจัยโครงการวิจัยปฏิบัติการโรงเรียนพัฒนาคุณภาพต่อเนื่อง คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ข้อมูล

สำหรับเรื่องใหญ่ในมุมมองของครูที่มีผลต่อการสอน ผลการสำรวจครั้งนี้ชี้ว่า ครูไม่มั่นใจในความรู้ความสามารถของตนบางเรื่อง เช่น การสอนเด็กที่มีความต้องการพิเศษ การวัดผลเพื่อพัฒนาผู้เรียน การปรับเทคนิคการสอนตามความต้องการผู้เรียน , ปัญหาช่องว่างระหว่างครูกับผู้บริหาร, ปัญหาความสัมพันธ์กับผู้ปกครองที่ครูไม่มั่นใจนัก ขาดความคุ้นเคยสนิทสนม และความสัมพันธ์ระหว่างครูด้วยกันเอง ส่วนในมุมของพ่อแม่ผู้ปกครอง ปัญหาหลักๆ คือ ไม่มีเวลาใส่ใจการเรียนลูก, รู้สึกห่างเหินจากโรงเรียน ไม่มีส่วนร่วมกิจกรรมต่างๆ, ขาดความมั่นใจต่อโรงเรียนในบางเรื่อง รวมถึงความมั่นใจในการสอนของครูลดน้อยลง

ดร.อมรวิชช์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การสำรวจยังพบช่องว่างระหว่างครูและนักเรียนที่เป็นปัญหาใหญ่อันดับต้นๆ ได้แก่ 1.ครูปฏิบัติต่อนักเรียนทุกคนอย่างเท่าเทียม 2.การรู้จุดเด่นหรือความสามารถของนักเรียนรายคน 3.การให้เวลาพูดคุยหรือปรึกษาปัญหากับนักเรียน ส่วนช่องว่างระหว่างนักเรียนกับผู้ปกครองที่เป็นปัญหาอันดับต้นๆ ได้แก่ 1.การถูกกลั่นแกล้งรังแกในโรงเรียน 2.การพูดคุยเล่าปัญหาระหว่างผู้ปกครองและบุตร 3.การให้เวลาช่วยบุตรหลานทำการบ้าน ช่องว่างระหว่างครูกับผู้ปกครองที่เป็นปัญหา ได้แก่ 1.การให้เวลาพูดคุยและปรึกษาปัญหา 2.การรู้จุดเด่นและความสามารถของผู้เรียนรายคน สุดท้ายช่องว่างระหว่างครูกับผู้บริหาร ได้แก่ 1.การยอมรับในความสามารถของครู 2.การให้โอกาสครูในการมีส่วนร่วมต่อการบริหาร

 “การสำรวจนี้ยังสะท้อนถึงระดับความผูกพันต่อกระบวนการเรียนรู้ ซึ่งในมุมมองของเด็กนั้น การที่พ่อแม่ผู้ปกครองมีเวลาช่วยทำการบ้านเสมอ เป็นข้อที่เด็กรู้สึกผูกพันน้อยที่สุด ซึ่งตรงอย่างยิ่งกับมุมมองของผู้ปกครองที่มีระดับความผูกพันต่อเรื่องการมีเวลาช่วยลูกทำการบ้านต่ำสุดเช่นกัน ยิ่งชี้ชัดว่า ในยุคนี้ เด็กๆ ต่างหวังพึ่งครูค่อนข้างมาก อยากที่จะสนิทสนม มีครูเป็นที่ปรึกษา ทั้งเรื่องการเรียนและจิตใจ เพราะครอบครัวไม่มีเวลาให้ 

จากข้อเท็จจริงเหล่านี้ ไม่อยากให้มองว่าเป็นปัญหา แต่เป็นช่องว่างที่สามารถพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นได้ เป็นโอกาสให้โรงเรียนยกระดับเป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีความสุข ผ่านการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายทั้งนักเรียน ครู ผู้บริหาร พ่อแม่ผู้ปกครอง รวมถึงชุมชนด้วย โดยเฉพาะในยามที่ทุกฝ่ายพยายามส่งเสริมเรื่องการเรียนรู้ให้แก่เด็กมากๆ แต่สิ่งที่พวกเขาต้องการมากที่สุดกลับคือความรัก ความใส่ใจ มีครูที่รักไว้ใจ เข้าใจ ”

ความรักมาก่อนความรู้

ที่ผ่านมาแม้ว่าครูหลายท่านจะยังคงทุ่มเทเพื่อมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับศิษย์ แต่ด้วยข้อจำกัดต่างๆ ทำให้ความใส่ใจที่เคยมีอาจพร่องลงไป เหลือเพียงความสัมพันธ์ผ่านตำราและการสอบ ซึ่งนั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เด็กๆ เริ่มเบื่อหน่ายชั้นเรียน

  “นอกจากเพื่อนที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราอยากมาโรงเรียนแล้ว ก็เป็นคุณครู หนูรู้สึกว่าความรักต้องมาก่อน ความใส่ใจที่ครูมีให้นักเรียน เป็นตัวสำคัญที่ทำให้นักเรียนรู้สึกว่าอยากเรียนมากขึ้น... ถ้าคุณครูเริ่มที่จะมอบความรักให้กับนักเรียน ใส่ใจนักเรียน พูดคุยกับนักเรียนเป็นรายบุคคล มีกิจกรรมให้ทำ มันทำให้เราสัมพันธ์กันมากขึ้น ความใส่ใจนี้ทำให้เรารู้สึกว่าอยากเรียนมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งใจฟังคุณครูมากขึ้นเรื่อยๆ เราจะไม่ไขว้เขวไปอย่างอื่นเลย จะมองมายังครู มองกระดาน มองความรู้ที่ครูมอบให้” สุนิสา เสรีรัตนพร นักเรียนหญิงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนไทรโยคน้อยวิทยา เล่าความรู้สึก

โชคดีที่คำขอเล็กๆ จากเด็กมัธยมแห่งนี้ยังมีผู้ใหญ่รับฟัง และเริ่มทดลองปรับเปลี่ยนการเรียนการสอนโดยเน้นความสุขของนักเรียนเป็นที่ตั้ง นคร ตังคะพิภพ หัวหน้าโครงการวิจัยเชิงปฏิบัติการโรงเรียนพัฒนาคุณภาพต่อเนื่อง หรือ sQip กล่าวว่า 

ข้อค้นพบเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ในวงการศึกษาไทย แต่เป็นประเด็นสำคัญที่สังคมควรแลกเปลี่ยนและหาทางออกที่ยั่งยืนร่วมกัน จากการศึกษาของศาสตราจารย์ John Hattie พบว่า Super Factor หรือปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพการเรียนการสอนมากที่สุดคือ ความร่วมมือร่วมใจของครู ผู้บริหาร บุคลากรในสถานศึกษาทั้งหมดที่จะช่วยกันพัฒนาโรงเรียนโดยมุ่งเป้าไปที่ผลการเรียนรู้ของนักเรียนเป็นสำคัญ ซึ่งเป็นเป้าหมายของโครงการ sQip ที่ดำเนินการมา 1 ปี ในโรงเรียนขนาดกลางจำนวน 201 โรงเรียน ใน 14 จังหวัดทั่วประเทศ และในอนาคตจะเป็นพื้นฐานการยกระดับคุณภาพต่อเนื่องให้โรงเรียนเป็น ‘แหล่งเรียนรู้ที่มีความสุข’ ภายใต้แนวคิดที่ว่า ห้องเรียนเป็นฐาน กระบวนการเป็นทุน

“เรื่องนี้เป็นแนวทางสอดคล้องกับ สพฐ.ที่มองว่าการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและการพัฒนาครูเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทำควบคู่กัน ความสำเร็จ 1 ปีที่ผ่านมา ทุกโรงเรียนสามารถนำกระบวนการ PLC (การรวมกลุ่มจัดการความรู้ของครู) และ Growth Mindset (กรอบความคิดแบบเติบโต) ไปใช้อย่างได้ผล เกิดห้องเรียน sQip ซึ่งเป็นห้องเรียนต้นแบบ ‘เรียนสุข สนุกสอน’ สามารถขยายผลเป็นต้นแบบเรียนรู้ไปทั่วประเทศ” นคร กล่าวถึงผลการดำเนินโครงการ

เรียนสุข สนุกสอน

มีงานวิจัยมากมายที่ยืนยันว่าความเครียดของเด็กส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ “เรียนสุข สนุกสอน” จึงเป็นโมเดลที่ไม่ควรเป็นแค่ทางเลือก แต่เป็นทางหลักของการพานักเรียนไปสู่จุดหมายปลายทาง

แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น การหารูปแบบที่ถอดรหัสคำว่า ‘เรียนสุข สนุกสอน’ ให้ได้ผลในทางปฏิบัติ เป็นเรื่องที่ทุกฝ่าย ทั้งครู นักเรียน ผู้บริหาร ผู้ปกครอง ต้องทำความเข้าใจร่วมกัน

ณิชนันทน์ ศรีวลีรัตน์ อาจารย์กลุ่มสาระภาษาต่างประเทศ โรงเรียนไทรโยคน้อยวิทยา 1 ในต้นแบบห้องเรียน sQip แสดงความเห็นว่า ที่ผ่านมาเจอปัญหาในการสอนอยู่ตลอด เพราะนักเรียนแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน แต่ด้วยจิตวิญญาณของความเป็นครู เราจะไม่เลือกปฏิบัติ ครูกับเด็กต้องมีความรักและความอาทร เป้าหมายต้องทำให้เด็กทุกคนได้ความรู้ ถ้าเด็กไม่ได้ก็จะไม่กดดัน ต้องหาแนวทาง เทคนิคการสอนที่ช่วยเปิดโลกทัศน์ เปิดใจให้เด็กเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง

“เครื่องมือสำคัญที่ช่วยได้คือ การมี Growth Mindset และ ชุมชน PLC ระหว่างเพื่อนครูที่เข้มแข็ง เพราะบางครั้งบางปัญหาเรามองไม่เห็นแต่ครูคนอื่นมองเห็น ถ้ามีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ก็เป็นตัวช่วยได้ เอามาปรับเสริมกัน ช่วยกันคิดค้นเทคนิคการสอนใหม่ๆ ทำให้มุมมองการสอนของเราพัฒนาขึ้น ต้องยอมรับว่าผู้บริหารสถานศึกษามีส่วนสำคัญที่ช่วยสนับสนุนให้กลุ่มครูมีพื้นที่เรียนรู้พัฒนาตัวเอง และเปิดโอกาสให้มีส่วนร่วม มีสิทธิมีเสียงช่วยพัฒนาโรงเรียนให้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีความสุข”

การปรับเปลี่ยนห้องเรียนที่มีครูยืนพูดอยู่หน้าชั้นโดยมีนักเรียนเป็นผู้ฟังที่ไร้ปฏิกิริยา ให้เป็นการสื่อสารสองทางบนพื้นฐานความรู้และความรัก แม้จะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่บางโรงเรียนที่ได้ทดลองทำแล้ว ผลตอบรับถือว่าดีเกินคาด

“วิธีการสอนแบบเดิมๆ ทำให้รู้สึกเกร็ง ไม่สนิท แต่เมื่อคุณครูเปลี่ยนวิธีการสอนแบบใหม่ ใช้เกมส์หรือกิจกรรมเข้ามาเสริม ทำให้รู้สึกสนุกกับการเรียน สนิทกับครูมากขึ้น เจอหน้าไม่เครียด ไม่อึดอัด กล้าที่จะพูดคุย ซักถามสิ่งที่ไม่เข้าใจ ตอนนี้ทัศนคติเปลี่ยนแปลงไป วิชาที่เรียนแต่ละวัน คุณครู และกิจกรรมในโรงเรียน ทำให้อยากมาโรงเรียนเพราะสนุกและมีความสุขที่ได้เรียน” สุนิสา เล่าประสบการณ์ในห้องเรียนรูปแบบใหม่ ซึ่ง ดร.อมรวิชช์ ย้ำว่านี่คือประเด็นสำคัญของโครงการ 

“เราเชื่อว่าโรงเรียนจะพัฒนาไปได้ดีต้องดูที่เด็ก ถ้าเด็กใจเขาไม่หลุด ไม่หลุดจากการเรียน ไม่หลุดจากครู การเรียนก็ไม่หลุด สิ่งที่ตามมาย่อมดี เราเชื่ออย่างนั้น”

อย่างไรก็ตาม หลังจากห้องเรียนต้นแบบ “เรียนสุข สนุกสอน” ได้ยืนยันผลลัพธ์ในเบื้องต้นแล้ว นักวิชาการด้านการศึกษาท่านนี้ตั้งคำถามต่อไปว่า “ในเชิงนโยบายเราจะต่อแนวตั้งอย่างไรให้คำตอบที่ได้มาเป็นคำตอบเชิงระบบจริงๆ”

เพราะวันนี้ยังมีเด็กอีกมากที่ต้องเผชิญกับความเครียดในห้องเรียน บางคนได้ความรู้แต่ขาดความรัก บางคนขาดทั้งความรู้และความรัก ที่สำคัญคือ บรรยากาศเช่นนี้อาจทำให้พวกเขาขาดเป้าหมายในชีวิต ไร้พลังที่จะเดินตามความฝันของตนเอง