“ประเทศไทย” ในทรรศนะเจ้าพ่อสื่อผู้สร้างอาณาจักรไลฟ์สไตล์ที่ใครๆ ก็ต้องเดินตามเป็นอย่างไร.. จุดประกายมีคำตอบ
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่แวดวงอสังหาฯ กำลังตื่นเต้นกับข่าวการลงทุนครั้งใหญ่ใน 6 ธุรกิจต่างแดนของบ.อสังหาฯ เจ้าใหญ่รายหนึ่ง ผู้คนที่สนใจแวดวงเทรนด์และไลฟ์สไตล์ก็ตื่นเต้นเช่นกัน เมื่อได้ยินข่าวและรู้ว่า “โมโนเคิล” คือ หนึ่งในเป้าหมายของการลงทุนดังกล่าว
และจากการมาเยือนเพื่อแถลงข่าวนี้เองที่ทำให้ ไทเลอร์ บรูเล่ เจ้าพ่อแห่งโลกไลฟ์สไตล์ผู้กำหนดเทรนด์ ชี้เป็นชี้ตาย และเป็นเหมือนตำราไลฟ์สไตล์เดินได้รายนี้ จึงได้มีโอกาสมาเยือนประเทศไทยอีกครั้ง
**********
ไทเลอร์ บรูเล่ เป็นใคร ?
ก่อนจะไปที่บทสนทนา เราขอแนะนำผู้ชายคนนี้สักเล็กน้อย..
อันที่จริง เขาคนนี้เคยมาเมืองไทยหลายครั้งแล้ว เคยขึ้นเวทีบอกเล่าเรื่องราวตัวเองก็เคยแล้วเช่นกัน แถมยังเคยมาในฐานะ “ที่ปรึกษาด้านภาพลักษณ์” ให้กับประเทศไทยในสมัยยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี
ถ้าให้ตอบอย่างเป็นทางการ ปัจจุบันตำแหน่งของเขาคือบรรณาธิการใหญ่บวกประธานบริษัท Monocle และเป็นเจ้าของตำแหน่งผู้ชนะรางวัล British Society of Magazine Editors Lifetime Achievement Award ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์
ชายคนนี้ คือ ผู้ที่สามารถดำเนินธุรกิจสิ่งพิมพ์อย่างรุ่งโรจน์ได้แม้ในวันที่ทั้งอุตสาหกรรมกำลังปักหัวดิ่งลง..
เขาเป็นอดีตผู้สื่อข่าวที่เคยเฉียดตายหลังโดนยิงที่กรุงคาบูลระหว่างเกาะติดข่าวสงครามในอัฟกานิสถาน เคยสร้างผลงานขับเคลื่อนจักรวาลแห่งไลฟ์สไตล์ไว้ไม่น้อย ทั้งการก่อตั้งนิตยสารวอลล์เปเปอร์ ก่อนจะขายต่อให้กับไทม์ส อิงค์ เป็นคอลัมนิสต์/นักวิจาร์ณให้กับหลายที่ จนถึงขั้นเคยมีคนบอกว่า เขาเป็นคนชี้นำเทรนด์โลกได้ขนาดชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ ..อะไรทำนองนั้น
หลังจากขายวอลล์เปเปอร์ออกไป เขาได้ก่อตั้งบริษัทเอเยนซี่ที่ปรึกษาด้านการสร้างแบรนด์และสื่อสารการตลาดชื่อว่า Winkreative ซึ่งยังคงดำเนินกิจการอยู่ และหลังจากนั้น นักอ่านก็ได้รู้จักเขาอีกครั้งในฐานะผู้ก่อตั้งนิตยสาร Monocle (2007) ซึ่งตีพิมพ์มาจนถึงปัจจุบันซึ่งถือเป็นสื่อที่มีอิทธิพลต่อเทรนด์และสไตล์สไตล์ของผู้คนในวันนี้
นอกจากจะขยายอาณาจักรสื่อให้ครบวงจรทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อทางเสียง และสื่อออนไลน์แล้ว โมโนเคิล ยังแตกไลน์ขยายความเจนจัดในเรื่องของสไตล์ไปสู่ธุรกิจอื่นๆ เช่น คาเฟ่ในลอนดอนและโตเกียว รวมทั้งแผงหนังสือที่ทำเป็นร้านขายกาแฟอย่าง Kioskafé ในลอนดอน เป็นต้น
จุดประกายได้รับโอกาสพูดคุยกับเขาจำนวน 30 นาทีถ้วน.. เราจึงขอตัดใจหลายประเด็นตกไป และหยิบเอาคำถามเกี่ยวกับ “ประเทศไทย” มาถามเจ้าพ่อไทเลอร์แทน
- คุณเคยมาประเทศไทยหลายครั้งแล้ว.. แต่กับครั้งนี้มันต่างไปมากไหม
ย้อนกลับไปตอนที่ได้มากรุงเทพฯครั้งแรก น่าจะเป็นปี 1997 มั้งนะ ตอนนั้นมันแตกต่างกันมากเลย กรุงเทพฯ ตอนนั้นเป็นอะไรที่ดูลึกลับ แบบโคตรไทย แล้วก็ไม่มีจุดเชื่อมโยงกับตัวผมเท่าไหร่นัก แต่กรุงเทพฯ ตอนนี้เติบโตขึ้นมาก พื้นที่มีความเชื่อมโยงกันมากขึ้น กรุงเทพฯ กลายเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค แล้วก็มีความเป็น Globalize city มีอินเตอร์แบรนด์เยอะแยะ แล้วถ้ามองไปรอบๆ ก็เห็นคนชาติต่างๆ เดินไปมาด้วย
จริงๆ ที่ผมพูดถึงนี่.. มันหมายความได้แค่กรุงเทพฯ นะ ผมไม่สามารถพูดถึงภาพรวมประเทศไทยได้ทั้งหมด เพราะประสบการณ์ในไทยของผมมันก็แค่กรุงเทพฯ เท่านั้น แต่สำหรับกรุงเทพฯ วันนี้ ปัญหาหลักยังเป็นเรื่องการจราจรนะ มันเป็นสิ่งที่ต้องได้รับการแก้ไขสุดๆ โดยเฉพาะถ้าต้องการให้ที่นี่เป็นเมืองธุรกิจ
เพราะมันคงไม่ได้ลำบากถ้าคุณแค่อยู่นิ่งๆ กับที่ แล้วมีคนอื่นมาหาคุณ (อย่างเช่นเขาที่มีนัดให้สัมภาษณ์สื่อตั้งแต่เช้าจรดเย็น) แต่ถ้าคุณต้องเดินทางออกไปข้างนอก คุณอาจจะทำเวลาได้แค่ 3 มีทติ้งในหนึ่งวัน แต่ถ้าผมอยู่ในโตเกียว ผมสามารถไปประชุมได้ถึง 7 นัดในหนึ่งวันเลยนะ
แล้วก็อีกเรื่อง คือ กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ไปไหนมาไหนด้วยการเดินได้ยากมาก ทางเท้ามันขึ้นๆ ลงๆ ก็จะยากนิดนึง อย่างไรก็ตาม กรุงเทพฯ ก็ยังมีเสน่ห์ของตัวเอง แล้วผมก็เห็นว่า รัฐบาล และภาคเอกชนเองก็พยายามที่จะลงทุนพัฒนา
เรื่องที่สาม ก็คือเรื่องปอดของเมือง ตอนนี้มองไปข้างนอก ผมก็ยังเห็นต้นไม้ เห็นพื้นที่สีเขียว แต่ก็ไม่รู้ว่า ภาครัฐให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างไร และมีอะไรรับประกันได้บ้างว่า เมืองนี้จะยังคงมีพื้นที่สีเขียว มีปอดให้กับเมือง เพราะถึงแม้คุณไม่สามารถหยุดยั้งความเจริญได้ แต่คุณก็ต้องมั่นใจว่า บริษัทอสังหาฯ หรือเอกชนอื่นๆ จะให้ความสำคัญกับพื้นที่สีเขียวด้วยเช่นกัน
พูดถึงเรื่องพื้นที่สีเขียว จะว่าไป มันก็เป็นนโยบายที่เมืองอื่นๆ ทั่วโลกก็พยายามจะประกาศจุดยืนเรื่องนี้กันทั้งนั้น แต่ผมคิดว่า ไม่ใช่ทุกเมืองที่ทำได้ดีจริงๆ หลายครั้งมันก็เป็นแค่คำสัญญาสวยๆ เพราะมันเป็นเทรนด์โลก ใครๆ ก็เลยชอบที่จะพูดเรื่องสิ่งแวดล้อม พูดเรื่องแนวคิดสีเขียว แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่ทำได้หรอก
- คุณมีอะไรอยากจะแชร์เพิ่มเติมไหม เกี่ยวกับเทรนด์หรือไลฟ์สไตล์ที่มาแรงในปัจจุบัน
การใช้ชีวิตของผู้คนวันนี้ ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่เมียนมาร์ อยู่ที่อินเดีย หรืออยู่ญี่ปุ่น มันก็ง่ายมากที่เราจะเดินทางไปมาหาสู่กัน เพราะวันนี้ การบินเป็นเรื่องที่ง่ายมาก ทำให้ผู้คนเดินทางไปได้ทั่ว ได้พบกับสถานที่ใหม่ๆ สิ่งใหม่ๆ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ดีมาก
แล้วผลจากการเดินทางนั้น คุณอาจจะไปโตเกียวแล้วได้กินร้านทงคัตสึอร่อยที่นั่น พอกลับมาบ้านที่เชียงราย คุณก็อาจจะเปิดร้านขายทงคัตสึที่เชียงรายก็ได้ ทุกอย่างมันก็เลยเริ่มจะเหมือนกันไปหมด ผมสามารถกินอาหารอีสานที่ญี่ปุ่น แล้วผมก็หาทงคัตสึทานได้ที่ภูเก็ต
ยิ่งเราเดินทางมากเท่าไหร่ ทุกๆ อย่างมันก็เริ่มเหมือนกัน ดังนั้นคนเราจึงเริ่มมองหาสิ่งที่เป็นของแท้ (Authenticity) มองหาสิ่งที่ได้รับการดูแลรักษา (Protection)
อย่างผมมากรุงเทพฯ ผมก็จะไม่เข้าร้านสเต๊ก แต่จะไปตามหาอะไรที่เป็นประสบการณ์ที่มันไทยแท้ๆ แล้ว “ของแท้” ที่ว่า มันก็ไม่ได้มาจากระบบอุตสาหกรรมอย่างแน่นอน
อีกสิ่งหนึ่งที่เห็นชัดเจนก็คือ ถึงแม้ผู้คนจะเดินทางมากขึ้น สะดวกสบายขึ้น แต่เมื่อเขากลับมาบ้าน กลับสู่ชีวิตประจำวัน ผมเห็นคนจำนวนมากที่มีชีวิตแบบเดิมๆ ไปทำงาน กินข้าว หรือเที่ยวเล่นในที่เดิมๆ มันเหมือนกับว่า เวลาเราเดินทาง เราไปกันไกลมาก โลกกว้างมาก แต่พอในตอนที่เราอยู่ในเมืองของตัวเอง เรากลับกินอยู่ในเขตพื้นที่เล็กๆ และอยู่กับตัวเองเยอะขึ้น
- ถ้าอย่างนั้น มีอะไรอยากจะแนะนำให้ทั้งภาครัฐและผู้ประกอบการไทยในการที่จะต่อยอดจากเทรนด์ที่คุณว่ามาไหม
สำหรับประเทศไทยเอง การจะตอบโจทย์ผู้มาเยือนให้ได้มันไม่ใช่แค่การหาคอนเซปต์หรือจุดขาย แต่ต้องตอบโจทย์ประสบการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ (Total journey) ให้ได้ และมันไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจ แต่เป็นเรื่องแบรนด์ของประเทศในภาพรวม
นั่นหมายถึงตั้งแต่นักท่องเที่ยวลงเครื่องที่สนามบิน ขณะที่คุณพยายามบอกว่า ประเทศไทยคือดินแดนแห่งรอยยิ้ม แต่พอนักท่องเที่ยวมาถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง เจอเจ้าหน้าที่หน้าบูดมาก พวกเขาไม่มองหน้าคุณ แล้วก็กระแทกพาสปอร์ตคืนกลับมา (ยิ้มมุมปาก) ผมว่า มันเป็นเรื่องที่พิลึกมากนะ แล้วก็เป็นประสบการณ์ที่ไม่ดีด้วย
เมื่อประสบการณ์แรกที่นักท่องเที่ยวได้รับตอนมาถึงเป็นแบบนี้ก็ไม่น่าจะดี เพราะ “ไทยแลนด์” ก็ถือเป็นอินเตอร์เนชั่นแนลแบรนด์อย่างหนึ่ง ผมว่า มันทำให้แบรนด์มันสะดุดได้
ส่วนสนามบิน มันก็อย่างที่รู้ๆ กันว่า พวกคุณต้องแข่งกับสนามบินในฮ่องกง หรือสิงคโปร์ซึ่งเป็นสนามบินลำดับต้นๆ ของโลก มันอาจจะยาก แต่สำหรับผมคิดว่า ในเมื่อคุณมีศิลปินหรือดีไซเนอร์เก่งๆ ในไทยเยอะมาก ทำไมคุณไม่ให้เขามาร่วมออกแบบสนามบินให้มีเอกลักษณ์ล่ะ? อาจจะเป็นโมเดิร์นไทยก็ได้
โอกาสอีกอย่างที่ผมเห็นได้ชัดเจนจากประเทศไทย ก็คือ ไทยเป็นประเทศที่ผลิตสินค้าได้อย่างมีคุณภาพ โดยเฉพาะชื่อเสียงที่ควรจะส่งเสริมในเรื่องงานหัตถศิลป์ (Craftmanship) จะทำอย่างไร ให้คนรู้สึกดีเมื่อเห็นป้ายสินค้าว่า ‘เมดอินไทยแลนด์’ เหมือนถ้าคุณไปยุโรปก็จะรู้สึกดีถ้าเห็นป้ายสินค้าผลิตจากอิตาลีมากกว่าถ้าเทียบกับโรมาเนีย ผมคิดว่า ไทยก็ผลิตงานคุณภาพอย่างนั้นได้เหมือนกัน ซึ่งรัฐบาลก็ต้องทำงานหนักมากเพื่อสื่อสารข้อความนี้ให้ออกไปให้ได้ เพราะภาพที่คนทั่วไปเห็น คือ ไทยเป็นประเทศที่ผลิตสินค้า mass production
ถ้าเทียบกับญี่ปุ่น ขณะที่ญี่ปุ่นที่ขึ้นชื่อเรื่องเทคโนโลยีและความไฮเทค แต่พร้อมกันนั้นรัฐบาลก็ยังสนับสนุนคุ้มครองสินค้าที่มีความดั้งเดิม ผลิตด้วยเทคนิคโบราณ ไม่ว่าจะงานหนัง งานเซรามิก หรือเครื่องแก้ว แล้วจะทำอย่างไรให้ดีไซเนอร์ไทยรุ่นใหม่ๆ ได้รับการส่งต่อเทคนิคเก่าแก่แต่ทำดีไซน์ให้โมเดิร์นไปพร้อมๆ กัน
โดยเฉพาะในตอนนี้ที่รัฐบาลของพวกคุณกำลังมุ่งหน้าไปที่ 4.0 ซึ่งทุกๆ ประเทศต่างก็มุ่งหน้าไป แต่ก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกันในการที่จะต้องรักษาความดั้งเดิมที่สืบทอดกันมาได้ด้วย เพื่อให้สินค้าหรืออัตลักษณ์ของความเป็นไทยแตกต่างจากชาติอื่นๆ
แต่ผมว่า ประเทศไทยมีโอกาสที่ดีมากๆ อย่างหนึ่งเหมือนกับที่เยอรมนีมี นั่นก็คือ การมีผู้ประกอบการรายเล็กถึงกลางที่ได้รับสิทธิประโยชน์รวมถึงการส่งเสริมต่างๆ จากภาครัฐ ทำให้สามารถผลิตงานที่แตกต่างกับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ได้ คำถามคือ แล้วจะทำอย่างไรให้โลกรู้ถึงข้อดีของไทยในในเรื่องนี้ เพราะพอพูดถึงประเทศไทย คนส่วนใหญ่ก็จะคิดถึงแค่เรื่องการท่องเที่ยว พวกเขาไม่ได้รู้หรอกว่า โตโยต้าผลิตที่นี่ ทีวีพานาโซนิคก็ผลิตที่นี่ หลายคนไม่รู้เลยว่า ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตให้กับหลายๆ แบรนด์
ความเห็นส่วนตัวของผม คือ รัฐบาลควรสนับสนุนการผลิตและความชำนาญเฉพาะทางของผู้ประกอบการขนาดเล็กและกลาง และทำการตลาดเรื่องไทยแลนด์แบรนด์ให้หนักมากขึ้น เพื่อให้โลกได้รู้จุดแข็งตรงนี้
ขณะที่ตัวผู้ประกอบการเอง.. ผมเคยคุยกับโปรเฟสเซอร์ท่านนึงจากสวิสเซอร์แลนด์ เขาบอกว่า โลกกำลังเดินถอยหลังกลับมาสู่จุดที่ผู้ประกอบการรายเล็กจับมือกัน เป็นชมรม สมาคม เพื่อช่วยกัน ซัพพอร์ตซึ่งกันและกัน แทนที่จะแข่งขันกัน เช่นว่าจะร่วมกันให้ความรู้ผู้บริโภคอย่างไร สร้างฐานลูกค้าใหม่อย่างไร จนถึงการร่วมกันสร้างสังคมที่ดีขึ้นได้ด้วยซ้ำ
แล้วทางฝั่งผู้บริโภคเองก็อยากจะอุดหนุนสินค้าของผู้ประกอบการรายเล็กรายน้อยนี้มากขึ้นด้วย แทนที่เขาจะเอาเงินไปให้รายใหญ่ เขาก็อยากจะมาอุดหนุนเพื่อช่วยให้ธุรกิจเล็กๆ เหล่านี้อยู่รอดได้.