70 ปี ปริศนา ใคร(สั่ง)ฆ่าอองซาน?

70 ปี ปริศนา ใคร(สั่ง)ฆ่าอองซาน?

19 กรกฎาคมของทุกปี เป็นวันหยุดราชการของพม่า ในฐานะที่เป็น “วันวีรชน”

หรือวันรำลึกเหตุการณ์ลอบสังหารนายพลอองซาน – บิดาแห่งเอกราชพม่า และรัฐมนตรีคนอื่นๆ ของรัฐบาลเฉพาะกาลก่อนได้รับเอกราช 7 คน โดยเฉพาะ 19 กรกฎาคม พ.ศ.2560 นี้ ถือว่าสำคัญเป็นพิเศษ ด้วยเป็นปีครบรอบ 7 ทศวรรษของเหตุการณ์ลอบสังหาร (ซึ่งควรจะใช้คำว่า “บุกสังหาร” มากกว่า) อันถือเป็นคดีสะเทือนขวัญที่พลิกผันการเมืองพม่า จนต้องปิดประเทศยาวนานนับกึ่งศตวรรษ แล้วครั้นเมื่อเปิดประเทศอีกครั้ง บุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางการเมืองของพม่า ก็มิใช่ใครอื่น หากคือบุตรีนายพลอองซาน ผู้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาแห่งรัฐและรัฐมนตรีต่างประเทศพม่าในรัฐบาลปัจจุบัน คือนางอองซานซูจี

เหนือสิ่งอื่นใด ปัญหาที่ดูจะสร้างความอึดอัดขัดข้องใจให้นางที่สุด ก็ยังคงเป็นปัญหาเดียวกับที่บิดาของนางเผชิญมาแล้วเมื่อ 70 ก่อน คือปัญหาชนกลุ่มน้อยในพม่า

หนังสือ “สายธารแห่งรอยอดีต ประวัติศาสตร์พม่าในมุมมองของข้าพเจ้า” แปลโดย สุทธิศักดิ์ ปาลโพธิ์ เขียนโดย ถั่นมิ้นอู หลานชาย “อูถั่น” ชาวพม่าคนแรกและคนเดียว ที่เคยเป็นเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ เล่าถึงการก่อเกิดของขบวนการต่อสู้กอบกู้เอกราช อันประกอบด้วยนักศึกษาหัวก้าวหน้าในมหาวิทยาลัยย่างกุ้ง (ซึ่งตั้งขึ้นโดยอังกฤษ) จำนวน 30 คน จึงถูกเรียกว่า “กลุ่มสหายสามสิบคน” หรือ “คณะตรีทศมิตร” นำโดยอองซาน อดีตนายกองค์การนักศึกษา ม.ย่างกุ้ง แอบหนีเล็ดรอดเข้ามาในประเทศไทย ในพ.ศ.2485 ขณะที่สงครามมหาเอเชียบูรพากำลังคุกรุ่น คณะตรีทศมิตรเห็นเป็นโอกาสดีที่จะยืมมือจักรวรรดิญี่ปุ่น กำจัดเจ้าอาณานิคมอังกฤษที่กำลังพะวักพะวงในการทำสงครามกับนาซีเยอรมัน โดย...

“คืนหนึ่งในบางกอก ไม่ไกลจากถนนข้าวสาร สวรรค์ของนักท่องเที่ยวสะพายเป้ กลุ่มสหายสามสิบคน กรีดนิ้วมือบีบเลือดออกมาตามความเชื่อของทหารพม่า สาบานว่าจะซื่อสัตย์ต่อกัน จากนั้นองค์กรขนาดเล็กของอองซานหายหน้าไปร่วมกับทหารและกองพันที่ 15 ของญี่ปุ่นบนภูเขา ส่วนเนวิน นำกองกำลังพิเศษมายังกรุงย่างกุ้ง แล้วเดินทางไปทั่วเมืองน้อยใหญ่ที่อยู่ตอนกลางของแม่น้ำอิรวดี ยั่วแหย่อังกฤษจนเกือบสู้รบกัน แล้วปล่อยให้ญี่ปุ่นจัดการ” (หน้า 226)

จนกระทั่งเมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสงบลง อองซานก็กลายเป็นผู้นำอันชอบธรรมของพม่า ซึ่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษต้องเชิญไปเจรจาแผนการคืนเอกราชให้พม่า ณ กรุงลอนดอน ในเดือนมกราคม 2490 จากนั้น 12 กุมภาพันธ์ หรือไม่ถึงหนึ่งเดือนหลังเดินทางกลับจากอังกฤษ อองซาน ในฐานะหัวขบวนของกลุ่มผู้รักชาติ ก็เชิญผู้นำชนกลุ่มน้อย 7 เผ่าหลักมาร่วมลงนามใน “ข้อตกลงปางหลวง” ที่มีสาระสำคัญคือให้ชนเผ่าต่างๆ รวมอยู่กับพม่าสัก 10 ปีก่อน จนมีกำลังเข้มแข็งดี แล้วเผ่าใดจะแยกตัวเป็นอิสระหรือตั้งชาติของตนขึ้นมาใหม่ก็ตามแต่จะปรารถนา อีกทั้งยังมอบตำแหน่งประธานาธิบดี หรือประมุขแห่งรัฐให้ผู้นำชาวไทใหญ่ ในขณะที่ตัวเขารับบทบาท “นายกรัฐมนตรี” ในรัฐบาลเฉพาะกาล หรือรัฐบาลชั่วคราว ก่อนที่อังกฤษจะคืนเอกราชให้พม่าอย่างเป็นทางการ

อันเป็นข้อเสนอที่ซื้อใจผู้นำชนกลุ่มน้อยให้ยอมลงนามในข้อตกลงโดยถ้วนหน้า ทว่า สร้างความไม่พอใจให้บางคนในคณะตรีทศมิตรที่ต่อสู้กอบกู้เอกราชร่วมกันมา ด้วยเหตุผลว่าอองซานเอาใจชนกลุ่มน้อยจนเกินไป และหากชนกลุ่มน้อยแยกตัวออกไปจริง พม่าก็จะเหลือเพียงแหล่งปลูกข้าวขนาดใหญ่เท่านั้น เพราะทรัพยากรป่าไม้ แร่ธาตุ อัญมณี ล้วนอยู่ในเขตชนกลุ่มน้อย อันนำไปสู่เหตุการณ์ “วันบุกสังหาร” 19 กรกฎาคม 2490 ขึ้น

ถั่นมิ้นอู เล่าเหตุรันทดไว้อย่างน่าสนใจว่า การประชุมรัฐบาลชั่วคราวในวันนั้น มีขึ้นที่อาคารเลขาธิการ ใจกลางกรุงย่างกุ้ง แล้วจู่ๆ “ก็มีรถคันหนึ่งวิ่งด้วยความเร็วสูงจากถนนดาลเฮาส์ซี มาจอดกลางสนาม มีคนแต่งชุดทหารนั่งอยู่ในรถด้วย พวกเขาเข้ามาได้สบายเพราะไม่มีทหารยาม สามคนถือปืนสเต็นวิ่งขึ้นบันได ยิงทหารยามที่ยืนอยู่นอกประตู จากนั้นก็วิ่งเข้าไปในห้องประชุม แล้วยิงปืนทันที อองซานได้ยินเสียงปืนดังข้างนอก จึงลุกขึ้นยืน ทันใดนั้นมีคนผลักบานประตูเปิดออก ยิงอองซานเข้าที่หน้าอก แล้วยิงกราดทั่วห้องมีคนตาย 4 คน รวมทั้งออง ซาน บาดเจ็บสาหัส 2 มี ๓ คนรอดชีวิต” (หน้า 247)

ตามความรับรู้แต่ดั้งเดิม จอมบงการให้เกิดโศกนาฏกรรมช็อกโลก คือ “อูซอ” หนึ่งในคณะตรีทศมิตร เพื่อนรุ่นพี่ที่อิจฉา ออง ซาน เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จากการที่เขาขึ้นมาเป็นผู้นำอย่างรวดเร็ว และเป็นที่ยอมรับจากทุกฝ่ายอย่างกว้างขวาง ยิ่ง “สัญญาปางหลวง” บรรลุ ก็ยิ่งสร้างความไม่พอใจให้อูซอเป็นทวีคูณ จึงวางแผนก่อการอันเลวร้ายขึ้น แต่ในมุมมองของ ถั่นมิ้นอู บันทึกไว้ว่า อูซอยอมรับว่าเขาเป็นผู้บงการ แต่โดยมีทหารอังกฤษอยู่เบื้องหลัง เพราะประเมินว่า... “อองซานมีนโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์พรรคแรงงานในกรุงลอนดอนจึงต้องการให้เขาตาย” (หน้า 248)

ซึ่งจากการสอบสวนพบว่ามีการขนอาวุธจากคลังแสงของอังกฤษมาให้คนของอูซอ และอูซอก็จ่ายเงินให้ทหารอังกฤษโดยตรง แต่ทหารอังกฤษกลับรายงานผู้บังคับบัญชาว่าอาวุธถูกขโมยไป แม้ในที่สุด อูซอจะถูกจับและได้รับโทษแขวนคอ แต่ยังคงเป็นปริศนาว่า เหตุใด นายทหารระดับผู้บังคับบัญชาของอังกฤษ จึงอ่านรายงานแล้วเก็บเรื่องเข้าแฟ้มไว้ แม้กระทั่ง อูนุ อีกหนึ่งในคณะตรีทศมิตร ผู้มารับตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” แทนอองซาน ก็รับรู้เรื่องและตัดสินใจไม่บอกความจริงทั้งหมดให้ชาวพม่ารับรู้ 

ความตายของอองซานและคณะ จึงยังเป็นปริศนามาตราบจนวันนี้ และมรดกบาป คือปัญหาชนกลุ่มน้อย และความวุ่นวายทางการเมือง อันเนื่องมาจากภาวะไร้ผู้นำที่มีบารมีเท่าออง ซาน ก็ยังตามมาหลอกหลอนบุตรสาวของเขา....ตราบจนวันนี้เช่นกัน