สุญญตา: วิวาทะประวัติศาสตร์ ท่านพุทธทาส กับ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์

สุญญตา: วิวาทะประวัติศาสตร์ ท่านพุทธทาส กับ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์

ช่วงปีกึ่งพุทธกาล พ.ศ.2500 เป็นต้นมา ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กำลังโด่งดังในฐานะนักหนังสือพิมพ์หนุ่มปากกาคม บรรณาธิการหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ที่มีแฟนนักอ่านติดตามผลงานเป็นจำนวนมาก 

ในขณะที่ท่านพุทธทาสภิกขุ เป็นที่รู้จักในฐานะพระนักคิด นักเขียน และนักเทศน์ ผู้กล้าวิจารณ์สังคมพุทธแบบไทยๆ ว่า ให้ความสำคัญกับการสร้างพระเครื่องและพระพุทธรูป เสียจน “พระพุทธรูปบดบังสัจธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า” และ “สมัยนี้คนเราเอาแต่ไหว้ (พระพุทธรูป) พอบอกให้ประพฤติธรรมก็กำหู" ทำให้มีนักอ่านจำนวนมาก ปรารถนาจะได้ฟังปราชญ์ฝ่ายฆราวาสผู้แตกฉานทางโลก และปราชญ์ฝ่ายบรรพชิต ผู้แตกฉานทางธรรมสองท่านนี้ ได้ ”ธรรมสากัจฉา” หรือมาสนทนาธรรมกันบนเวทีเดียวกัน

ครั้งแรก จัดขึ้นเมื่อ 6 กรกฎาคม 2506 ที่หอประชุมคุรุสภา มีการถ่ายทอดทางโทรทัศน์กองทัพบกช่อง ๗ ยุคขาว-ดำ (ทีวี.ดิจิทัล ช่อง1 ในปัจจุบัน) และทางสถานีวิทยุวปถ.ไปทั่วประเทศ ในหัวข้อ “การทำงานคือการปฏิบัติธรรม” ซึ่งเป็นประเด็นที่ม.ร.ว.คึกฤทธิ์เห็นด้วย จนถึงกับเขียนบทความสนับสนุนแนวคิดนี้ แต่ในธรรมสากัจฉา ครั้งที่ 2 วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2507 ในหัวข้อ “การทำงานด้วยจิตว่าง” ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ แสดงความเห็นต่างอย่างชัดแจ้ง จนทำให้เกิด “วิวาทะ” ซึ่งมิได้หมายถึงการโต้เถียงกันถึงขั้นทะเลาะวิวาท หากหมายถึงการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างกันเยี่ยงนักปราชญ์ ท่ามกลางผู้ฟังเนืองแน่นหอประชุมคุรุสภา

ท่านพุทธทาสอรรถาธิบายคำว่า “จิตว่าง” คือสภาวะจิตที่ว่างจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน การทำงานด้วยจิตว่างคือการทำงานโดยปราศจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ ทำงานโดยไม่ต้องหวังว่าจะได้เงินทองเท่าไร (กิเลส) ไม่คาดหวังว่าจะมีใครนิยมชมชอบเราหรือไม่ (ตัณหา) และไม่ยึดมั่นถือมั่นในงานที่ทำว่าเป็นตัวเรา ของเรา (อุปาทาน)

ในขณะที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์แย้งว่า ผู้อยู่ในเพศบรรพชิตย่อมทำ “จิตว่าง” เช่นนั้นได้ แต่บุคคลธรรมดาไม่น่าจะทำได้ เพราะ “ถ้าท่านบอกว่าทำงานด้วยจิตว่างแล้ว งานทางโลกก็จะดีกระผมไม่เชื่อ อย่างว่าเป็นทหารไปรบกับเขา แล้วรบด้วยจิตว่าง ยิงปืนด้วยจิตว่าง แล้วมันจะเป็นทหารที่ดี พูดอย่างไรกระผมก็ไม่เชื่อ

เชื่อเพราะงานของโลกมันขัดกันกับเรื่องจิตว่าง หรือเรื่องการพ้นทุกข์”

พุทธทาสภิกขุ: “อาตมาต้องการให้ฆราวาสทำงานด้วยความมีทุกข์น้อย และมีผลสำเร็จเต็ม จะมีวิธีอย่างไร จะทำด้วยจิตว่างหรือจิตวุ่นดี”

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์: “กระผมเห็นว่า จะเอาผลสำเร็จทางโลกแล้ว มันก็ต้องซื้อผลสำเร็จนั้นด้วยความทุกข์ จะเอาทั้งสองอย่างไม่ได้หรอก จะเอาเนยไปทาขนมปังสองหน้าไม่ได้ ไม่มีใครเขาใส่บาตรอย่างนั้น กระผมขอสอนพระสักวันเถิดครับ ไม่มีทางทำได้ แต่ถ้าเผื่อว่าจะให้สิ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง แล้วจะให้ว่างจริงโดยไม่มีทุกข์แล้ว ต้องสละความสำเร็จทางโลก อย่างนั้นกระผมเชื่อ เมื่อเป็นฆราวาสมันก็ต้องสุขบ้าง ทุกข์บ้าง มันไม่ว่าง”

พุทธทาสภิกขุ: “อาตมาจึงบอกว่าให้พยายามทำทุกอย่างให้เข้าใกล้ความว่างมากขึ้น แม้แต่ในการทำงาน ในการกินอาหาร ในการมีลมหายใจอยู่ ให้ใช้อุบายที่ประณีต แยบคาย ที่จะให้เข้าใกล้ความว่างนี้มากขึ้นๆ แม้แต่ในเพศฆราวาส ความเห็นของเราแตกต่างกันนิดเดียวเท่านั้น

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์: “มันแตกกันแยะครับ คือถ้ายิ่งว่างมากขึ้น ความสำเร็จทางโลกมันต้องน้อยลงทุกที”

พุทธทาสภิกขุ: “ถ้าอย่างนั้นมันก็ยังไม่ใช่ “ความว่าง” (สุญญตา) ตามความหมายของพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนพวกฆราวาสไว้”

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์: “เป็นมหาเศรษฐีด้วย เป็นสัตบุรุษด้วย อย่างนี้ไม่สำเร็จหรอกครับ เป็นมหาเศรษฐีนี้ทุกข์มาก และ“ว่าง” ไม่ได้”

........................

ธรรมสากัจฉาในวันนั้น จบลงตรงคำยืนยันของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ว่าการทำงานด้วยจิตว่างในทางธรรม ท่านเชื่อว่าทำได้ แต่ในทางโลก ทำไม่ได้ แล้วหลังจากนั้น ประเด็นนี้ถูกนำไปวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง บ้างกล่าวหาว่าท่านพุทธทาสนำคำสอนในศาสนาพุทธนิกายมหายานแบบของจีน และนิกายเซ็นแบบญี่ปุ่นมาสอน จนภายหลังเมื่อท่านพุทธทาสอ้างอิงที่มาของคำสอนเรื่อง “สุญญตา” ในพระไตรปิฎก ความเข้าใจเรื่อง “การทำงานด้วยจิตว่าง” ในหมู่ชาวพุทธก็มีมากขึ้น เสียงโจมตีเบาลง แม้แต่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุขวฒฺโนมหาเถร) ก็สนับสนุนคำสอนเรื่องสุญญตา ความว่าง และจิตว่าง ขณะที่ท่านพุทธทาส ได้กล่าวในการแสดงธรรมเรื่องนี้บ่อยครั้งว่า ข้อโต้แย้งของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช มีส่วนช่วยให้ชาวพุทธเกิดความเข้าใจเรื่อง “การทำงานด้วยจิตว่าง” ดีขึ้นมากทีเดียว

ส่วนตัวผู้เขียนเอง เมื่อแรกศึกษาเรื่อง “สุญญตา” ก็ยังเข้าใจไม่แจ่มแจ้ง จนเมื่อได้เพียรอ่านและฟังคำอธิบายของท่านพุทธทาส จึงเข้าใจว่า การทำงานด้วยจิตว่าง มิได้หมายถึงการห้ามไม่ให้เราคิดอะไรเลย เราทำงานประเภทไหน ก็คิดสร้างสรรค์งานด้านนั้นไป แต่ให้คิดและทำด้วยใจบริสุทธิ์ ปราศจากอคติ และความคาดหวังอย่างเลอเลิศ ว่างานนั้นจะต้องประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยม ถึงขนาดได้รางวัลหรือได้ผลกำไรมหาศาล ซึ่งผลที่ตามมาอาจเป็นได้ทั้งผลบวกหรือลบ คือประสบความสำเร็จจนทำให้เราลิงโลดใจจนนอนไม่หลับ และประมาท ไม่พัฒนางานให้ดีขึ้น หรือไม่ก็อาจล้มเหลวไม่เป็นท่า จนเราผิดหวัง ความหวังพังภินท์ กระทั่งนอนไม่หลับ และหมดกำลังใจจะทำอะไรอีกต่อไปเลย

อาการนี้ ท่านพุทธทาสใช้คำที่โดนใจมากว่า ไม่ว่าจะหลงติดในผลบวกหรือลบ เราก็เหมือนโดนมัน “กัด” เอาทั้งสิ้น!

(เอกสารอ้างอิง: หนังสือ “วิวาทะ (ความเห็นไม่ตรงกัน” ระหว่าง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กับท่านพุทธทาสภิกขุ” รวบรวมโดย อรุณ เวชสุวรรณ สำนักพิมพ์อรุณวิทยา, 2554)