เครื่องสำอางจากสเต็มเซลล์ข้าว

เครื่องสำอางจากสเต็มเซลล์ข้าว

นำสเต็มเซลล์ข้าวมาทำเครื่องสำอาง และมีคุณสมบัติไม่แพ้ผลิตภัณฑ์ต่างชาติ

 

การใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ เพื่อพัฒนาข้าวไทยให้มีมูลค่ามากขึ้น เป็นสิ่งที่นักวิจัยบ้านเราพยายามทดลองทำ เนื่องจากประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตข้าวอันดับต้นๆ ของโลก มีสายพันธุ์ข้าวที่หลากหลายกว่า20,000 สายพันธุ์ ตั้งแต่ข้าวพื้นเมือง ข้าวเชิงพาณิชย์ และข้าวคุณลักษณะพิเศษ (Specialty Rice) หรือข้าวที่เกิดจากการพัฒนาผสมข้ามสายพันธุ์ อาทิ ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ข้าวหอมมะลิแดง ข้าวหอมนิล ข้าวสินเหล็ก ฯลฯ

 

ล่าสุดมีการผลิตเครื่องสำอางจากสเต็มเซลล์ข้าว(สารสกัดจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อข้าว) ซึ่งเป็นเซลล์ต้นกำเนิดที่มีความแข็งแรง มีฤทธิ์ต้านการเกิดออกซิเดชั่น ช่วยชะลอริ้วรอยที่เกิดจากอนุมูลอิสระ (Free-radical) รวมถึงช่วยป้องกันการสูญเสียน้ำออกจากผิว และได้นำมาเป็นสารตั้งต้นในการผลิตเครื่องสำอางคุณภาพสูง 

 

ผลงานวิจัยชิ้นนี้ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.) และให้ลิขสิทธิ์แก่ภาคเอกชน และกรมการค้าต่างประเทศได้มีการนำเสนอเทคโนโลยีสเต็มเซลล์ข้าวและผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจากสเต็มเซลล์ข้าวไทยสู่สาธารณชนเป็นครั้งแรกในงาน Thailand Rice Convention 2017 (TRC2017)

 

สมประสงค์ พยัคฆพันธ์ ประธานคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย ภายใต้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เล่าเรื่องวัตกรรมข้าวไทยในอุตสาหกรรมเพื่อสุขภาพและความงามว่า ถ้าไม่ใช่เรื่องจริงคงไม่ซื้องานวิจัยชิ้นนั้นมาผลิตสินค้า

 

“ตอนนี้ไทยเราผลิตเบียร์จากข้าว เครื่องสำอางค์จากข้าว ข้าวมีสารอาหารเยอะมากเราสามารถใช้เทคโนโลเร่งความเข้มข้นของสารอาหารได้ สเต็มเซลล์ที่ได้จากข้าวสามารถฟื้นสภาพเซลล์ผิวที่มีริ้วรอย งานนี้ทดลองทำมาหนึ่งปีแล้ว ได้ผลทั้งเรื่องทำให้ผิวขาวและลบริ้วรอย”

 

เมื่อพูดถึงสายพันธุ์ข้าว สมประสงค์ บอกว่า มีข้าวอีกหลากหลายสายพันธุ์ที่น่าค้นคว้า หากเป็นข้าวสายพันธุ์พิเศษที่ให้ผลดีแต่กินไม่ได้ หากขายกิโลละร้อยบาท คนทำธุรกิจความงามสามารถซื้อวัตถุดิบเหล่านี้ได้ เพราะสินค้าเหล่านี้ขายแพงอยู่แล้ว

 

“ต่อไปเราอาจมีโซนปลูกข้าวสายพันธุ์พิเศษ เพื่อใช้ในธุรกิจความงาม ก็จะทำให้เกิดความหลากหลาย เกษตรกรก็จะมีรายได้ที่่มั่นคง ไม่ต้องมาตัดราคาข้าวกันในระบบ“

 

ธุรกิจความงาม ซึ่งมีมูลค่ากว่าสามแสนล้านบาท สมประสงค์ มองว่า ยังพัฒนาไปได้อีกยาวไกล แต่ที่ผ่านมาธุรกิจนี้ในเมืองไทยส่วนใหญ่ซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์

 

“ถ้าเราจะเอาสมุนไพรมาขย้ำๆ แล้วใส่ในเครื่องสำอางขายในตลาดโลกได้หรือเปล่า นี่คือ กับดักของกลุ่มโอท็อป  ถ้าอย่างนั้นชุมชนจะมีโอกาสนำนวัตกรรมที่เราคุยตรงนี้มาใช้ประโยชน์ได้ไหม ทั้งๆ ที่ไทยเป็นฐานการผลิตสินค้าไปต่างประเทศ แต่ไม่มีแบรนด์ของประเทศที่ชาวต่างชาติรู้จัก" สมประสงค์ ตั้งคำถามเรื่องการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางในเมืองไทย โดยเสนอว่า

 

 “ต้องคิดใหม่ อย่าทำอะไรที่เราอยากทำ ต้องทำอะไรที่มีคนซื้อ หากถามว่าจะทำอะไรขาย เมื่อเทคโนโลยีทำให้คนมีชีวิตอยู่นานขึ้น สินค้าสำหรับคนสูงวัยก็น่าสนใจ และผมอยากบอกว่า ต้องรีบขายของนอกประเทศ ตลาดใหม่กำลังเติบโต ไม่ว่าตลาดสำหรับคนอ่อนเยาว์หรือคนสูงวัย ก็มีแนวโน้มดีขึ้นเรื่อยๆ "

 

เขามองเทรนด์ของธุรกิจเครื่องสำอางว่า ตอนนี้ทางยุโรปกำลังตามเอเชีย ต่อไปครีมบำรุงผิวต่างๆ อาจไม่ได้ขายเป็นกระบุก ผู้ผลิตสินค้าอาจมีการส่งวัตถุดิบให้ไปลูกค้าผสมที่บ้านเลย เพื่อใช้ให้เหมาะกับสภาพผิว และฤดูกาลที่แตกต่าง

 

“ตลาดแบบเจาะกลุ่มผู้บริโภคโดยเฉพาะ เทรนด์นี้มาแน่ สังเกตไหมมีการสั่งตัดรองเท้าเฉพาะคนๆ นั้น อะไรก็ตามที่ตอบโจทย์คนกลุ่มนี้ได้ นั่นคือ ใช่ อย่างน้ำมันรำข้าว เรากินแล้วดีต่อร่างกาย ก็ต้องดีต่อผิว โจทย์ของน้ำมันรำข้าว จะเป็นโจทย์หนึ่งในเรื่องวัตถุดิบตัวใหม่ในอนาคตที่จะนำมาใช้กับผลิตสินค้าได้หลากหลาย

 

คนไทยเวลาจะใช้เครื่องสำอาง สิ่งแรกที่คิดถึงคือ ใช้แล้วขาวไหม ถ้าเป็นยุโรปจะเน้นเรื่องสุขภาพ และหลายคนไม่เคยรู้มาก่อนว่า ข้าวบางสายพันธุ์มีวิตามินบี 3 มีไวท์ เทนนิ่ง ที่ทำ ให้ขาว ถ้าอยากขาวกินข้าวเยอะๆ "