“ม๊าเดี่ยว” ฝันใหญ่ไม่มีกั๊ก

โลกสวยๆ ว่าด้วยความฝันของ "ม๊าเดี่ยว" กะเทยบ้านนาผู้กล้าฝันชนิดไม่แคร์เวิลด์
จากเด็กหญิงในร่างชายที่ว่างเป็นไม่ได้ ต้องเอาโต๊ะมาเรียงต่อกันเป็นแคตวอล์เดินแบบให้เพื่อนๆ ดูสมัยเรียนประถม และไม่ว่าจะถูกถามซ้ำอีกกี่ครั้ง “อาชีพในฝัน” ของเธอก็ไม่เคยเปลี่ยนไปจาก “นางแบบ”
อยากเป็นนางแบบเดินเก๋ๆ บนแคตวอล์ด อยากเป็นดีไซเนอร์ออกแบบชุดปังๆ แถมยังอยากจะไปทำงานอยู่เมืองนอกอีกด้วย
...มันคงไม่แปลกถ้าคนที่ฝันจะเป็นใครสักคนที่เดินเก๋ๆ อยู่ในห้างหรูเมืองกรุง แต่กับ “ม๊าเดี่ยว” กะเทยบ้านนา ในอำเภอเล็กๆ ที่จังหวัดขอนแก่น นี่อาจเรียกได้ว่า เป็นความฝันที่ไกลจากความจริงตรงหน้าไปมาก
“ตั้งแต่เด็กแล้ว ครูจะถามว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร เพื่อนก็จะเป็นหมอ เป็นครู เวิ่นเว้อกันไป แต่น้องม๊าเดี่ยวบอกไม่.. เราอยากเป็นนางแบบ อีเพื่อนกับครูก็หันมาแบบทำหน้ายี้ใส่ เราก็ ‘ได้.. คอยดู ชั้นจะเป็นให้ได้’ แล้วเราก็พยายามพัฒนาตัวเอง จนถึงจุดๆ นี้.. เป็นไงล่ะ (ยิ้ม)” ม๊าเดี่ยว หรือชื่อจริงคือ อภิเชษฐ์ เอติรัตนะ เริ่มต้นเล่าพร้อมรอยยิ้ม
การได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อใหญ่อย่างไทม์แมกกาซีน แถมยังได้หอบเอาสุ่มไก่ ว่าวจุฬา ใบจากมุงหลังคา สังกะสี ไม้กวาด ฯลฯ ขึ้นเครื่องบินไปร่วมรายการ Asia’s next top model รวมถึงการเดินสายบอกเล่าแรงบันดาลใจให้กับเด็กๆ รุ่นใหม่หลายเวที ทั้งหมดคงสะท้อนถึง “จุดนี้” ที่เธอเอ่ยถึงได้อย่างดี
“สังคมตอนนั้นที่หนูอยู่ มันก็คือสังคมบ้านนอก สังคมต่างจังหวัด อาจจะยังไม่เปิดรับอะไรที่ใหม่จนเกินไป เขาก็จะคิดว่า การทำงานราชการเป็นสิ่งที่ดี แต่เราไม่ชอบแบบนั้น เรารักอิสระ และอยากมีความสุขในการทำงาน เราคิดแบบนี้ตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่เตรียมอนุบาล เราก็คิดแล้วว่า จะไม่อยู่เมืองไทย ชั้นจะต้องไปทำงานเมืองนอก ชั้นจะไปอยู่ลอนดอน ปารีส ชั้นจะไม่อยู่ที่นี่ มันไม่ใช่ชั้น”
ภาพ “เมืองนอก” ที่เคยคิดไว้คืออะไร?
เธอตอบพร้อมเสียงหัวเราะว่า “เมืองนอกของหนู คือ ยุโรป(เน้นเสียง) ชั้นต้องใส่เสื้อโค้ท รองเท้าบูท ผมบลอนด์ๆ นั่งจิบน้ำชา ทาปากแดงๆ เราเคยเห็นในทีวีไง เราก็อยากเป็นแบบนั้นบ้าง อยากไปทำงานเมืองนอก อยากไปอยู่ในสังคมฝรั่ง ที่เขาไม่ดูกันที่เพศ หรืออายุ แต่ดูกันที่ความสามารถ ซึ่งถ้าเป็นเมืองไทย เขาก็จะดูกันที่บ้านหลังใหญ่ ดูสวย แต่งตัวดี จะต้องรวย ซึ่งหนูไม่ชอบเลย มันเป็นอะไรที่ปลอม”
จากความฝัน เมื่อถึงเส้นทางและการลงมือทำ หลังจากเริ่มหยิบจับสิ่งของรอบตัว เช่น เสื่อ ใบตอง เศษไม้ ใบมะละกอ จนถึงถ้วยถังกะละมังหม้อ ก็ล้วนแต่ถูกเธอมิกซ์แอนด์แมทช์จนได้ชุดสุดปังโพสต์ขึ้นโซเชียลจนดังกระฉ่อนมาแล้ว
ชื่อเสียงที่เกิดขึ้น เริ่มกลายเป็นความ “ไร้สาระ” ในสายตาผู้ใหญ่ที่ไม่เข้าใจ ม๊าเดี่ยวในวัยเรียน จึงถูกถ้อยคำเชิงปรามาสจากครูที่บอกว่า.. ไปเรียน กศน.เถอะ!
“เข้าไปเรียน ม.4 ไปเรียนสายวิทย์-คณิต เขาก็ให้วาดรูปรถ เหมือนจะเรียนเรื่องความแรงความเร็วอะไรแบบนี้ เราก็วาดรถปอร์เช่ ใส่โบว์ ก็โดนเขาว่า แล้วก็ไล่ให้ไปเรียนศิลป์ภาษา เราก็ย้ายไปเรียนศิลป์ภาษา พอไป ครูก็ว่าอีก.. เธอควรไปเรียน กศน. นะ เราก็เฮ้ย.. ถ้าเขาไม่ต้องการ เราก็ไม่ต้องอยู่ น้องม๊าเดี่ยวเลยไปเรียน กศน. เลย ซึ่งพอมาเรียน เรากลับพบว่า เออมันดีแฮะ.. อยากรู้อะไรก็ไปหาเรียนเพิ่มเติมเอา แล้วที่ดีอีกอย่างคือ เราจบก่อนเพื่อนๆ อีกนะ เพราะเรียนแค่สองปีเอง น้องม๊าเดี่ยวเหลืออีกสองเทอมก็จะจบแล้ว” เธอเล่า
“ตอนนั้น(ม.4) หนูเริ่มอัพรูปแล้ว ก็เริ่มมีงานเข้ามา เราก็ต้องหาเงิน เพื่ออยู่ เพื่อกินถูกมั้ยคะ ก็เลยย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ เลยแล้วกัน จะได้ทำงานได้ด้วย ซึ่งมันก็ช่วยน้องม๊าเดี่ยว Strong มากขึ้น ในการใช้ชีวิต (เมื่อก่อน อ่อนไหวง่าย?) ใช่ค่ะ อ่อนไหวง่ายถ้ามีใครมาว่านิดนึง ก็ไปแล้ว.. นอยด์แล้ว แต่ทุกวันนี้ เราเริ่มคิดได้ว่า เฮ้ย ถ้าคนที่เขามาด่าเรา เขาไม่ได้เก๋ ไม่ได้เก่งกว่าเรา เราไม่จำเป็นต้องไปฟังเขา ถูกมั้ยคะ”
ในส่วนของอนาคต เธอยอมรับว่า เมื่อก่อนทำอะไรคิดเรื่องความสนุกไว้ก่อน แต่ไม่ใช่กับเธอในวันนี้
“เมื่อก่อนเราจะมองแค่ พรุ่งนี้จะทำอะไร มองที่ความสนุก จะแต่งตัวแบบไหน ถ่ายรูปแล้วก็อัพรูปลงเฟซ ให้คนไลค์ ให้คนแชร์ แต่วันนี้ไม่ใช่ เราเริ่มคิดระยะยาวว่า ทำงานวันนี้ จะไปเรียนวันไหน ซึ่งทำให้รู้จักวางแผนมากขึ้น และใช้ชีวิตได้มีสติมากขึ้น ตอนนี้เหลืออีกสองเทอมก็จะจบแล้ว ก็คิดว่า จะไปเรียนต่อทีไหนดี.. ตอนนี้ก็มีม.กรุงเทพ ติดต่อมาให้รับทุนเรียนด้านแฟชั่นดีไซน์ แต่เราก็ยังคิดอยากจะไปเรียนเมืองนอกด้วย ก็เลยพยายามหาโอกาสที่จะไป ซึ่งตอนนี้ก็มีโอกาสจะได้ไปเรียนที่ญี่ปุ่น อยู่ระหว่างการพูดคุย ก็เป็นลักษณะทุนเหมือนกันค่ะ ส่วนเรื่องความฝันยังเหมือนเดิม คือ อยากไปเมืองนอก แต่เราจะต้องมีความรู้ก่อน แล้วค่อยไปเฉิดฉายอยู่ที่โน่น” เธอตอบถึงแผนการในชีวิต
เมื่อถามถึงวันนี้ว่า มาไกลแค่ไหนแล้ว?
“เพิ่งก้าวแรกเองค่ะ คือ น้องม๊าเดี่ยวฝันไว้ไกลมาก (จากกะเทยบ้านนามาถึงวันนี้ยังไม่ไกลเหรอ?) ยังค่ะ นี่มันคือจุดเริ่มต้นที่ดี แต่เรายังต้องไปอีกไกล เราไม่ซีเรียสกับการมีหรือไม่มีชื่อเสียงนะ แม้ชื่อเสียงมันจะหายไปแล้ว แต่ขอให้มีงานทำ มีเงิน.. จบ ชื่อเสียงกับเงิน น้องม๊าเดี่ยวเลือกเงินนะคะ บางคนบอกว่า เงินซื้อทุกอย่างไม่ได้ แต่สำหรับเรา เงินซื้อทุกอย่างได้ ทำให้ได้มีชีวิต มีความสุข เพราะเงิน เพราะงั้น เราก็ต้องทำงานหาเงิน”
มาอยู่กรุงเทพฯ ใหม่ๆ ปรับตัวยากไหม ?
“เราปรับตัวง่าย และทำตัวเป็น อย่างเรามาอยู่กรุงเทพฯ ก็จะแบบเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามไง (หัวเราะ) แต่ก็ไม่ชอบรถติดมากๆ เลย รู้สึกเสียเวลา แต่ถามว่าเราชอบบ้านนอกมากกว่าไหม.. โอเค อยู่บ้านนอกมันก็ดี คนรู้จักกันหมด ผู้คนใจดี ไม่มีเงินซักบาท เราก็หาข้าวกินได้ แต่อยู่ที่นี่ มันก็ทำให้เราต้องขวนขวาย ต้อง Strong ต้องทำอะไรซักอย่างเพื่อมีชีวิตอยู่รอด แต่มันก็เป็นสเต็ปนึงในการปรับตัวนะคะ ถ้าในอนาคตเราจะต้องไปอยู่เมืองนอก”
อาจเพราะอายุหรือวิธีการมองโลก ที่ทำให้พูดถึงแผนการในฝันได้อย่างชิลๆ จนอดสงสัยไม่ได้ว่า... มันง่ายได้ขนาดนั้นเลยเหรอ?
“น้องม๊าเดี่ยวคิดไว้นะคะ ว่า ถ้ามันไม่สวยหรูก็ไม่เป็นไร แต่อย่างน้อย เราก็ได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำ เราได้รู้แล้วว่า มันเป็นยังไง สิ่งที่เราคิดไม่ใช่เรื่องความสวยงามนะ เรานึกถึงวิธีการ ความลำบาก ถ้าเราไปถึงจุดหมายแล้ว มันก็แค่จุดหมายนะ แต่ระหว่างทางที่เจอ มันคือประสบการณ์ที่เราจะต้องจำไปตลอด และนำมาปรับใช้ในชีวิตได้” เธอตอบ
จากที่เคยถูกผู้ใหญ่บางคนมองว่า “ไร้สาระ” วันนี้ กะเทยบ้านนาคนนี้สามารถทำงานหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวได้ เลี้ยงดูตัวเองได้ และยังพยายามไขว่คว้าตามความฝันด้วย.. เธอยอมรับว่า มันไม่ง่ายเลย
เป็นวัยรุ่นก็ไม่ง่าย.. แถมยังเป็นกะเทยวัยรุ่นที่หันหลังให้ระบบการศึกษาอีกด้วย
“การที่เราเป็นกะเทย คนก็จะแบบว่า เสียชาติเกิด อะไรแบบนี้ พ่อแม่ไม่ว่าเหรอ การที่เราออกจากโรงเรียน เฮ้ย.. มันลาออกจากโรงเรียน มันไม่ดีนะ อย่าไปคบ เดี๋ยวจะตามอย่าง ซึ่งเราก็คิดว่า เฮ้ย คนที่เขาออกจากโรงเรียน ที่ประสบความสำเร็จก็มีนะ แล้วคนที่เรียนจบมาแต่ไม่มีงานทำก็เยอะนะ ครูจะชอบสอนเสมอว่า ห้ามไว้หนวดนะ นักเรียนห้ามไว้เครา แต่เรามองไป รูปปั้นคนมีชื่อเสียงอะไรต่างๆ ไว้หนวดเต็มเลย ซึ่งน้องม๊าเดี่ยวรู้สึกว่า เราควรที่จะเปลี่ยนความคิด ไม่ว่าคุณจะรูปร่างยังไง ทำตัวยังไง แต่ขอให้ข้างในคุณดี แค่นั้นเอง”







