ตัวตนบนทางฝัน 'ปานพรรณ ยอดมณี'

ตัวตนบนทางฝัน 'ปานพรรณ ยอดมณี'

รางวัล “Benesse Prize” ถือเป็นรางวัลสำคัญระดับโลกทางด้านศิลปะ ที่ผ่านมามีการมอบรางวัลนี้ 10 ครั้ง

 โดยเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลศิลปะที่สำคัญ และเก่าแก่รายการหนึ่งของโลก คือเทศกาลศิลปะทุก 2 ปี อย่าง Venice Biennale

ปีนี้นับเป็นครั้งแรกที่รางวัลดังกล่าวมาจัดการมอบรางวัลในเอเชีย ใน “เทศกาลศิลปะ Singapore Biennale” โดยมีชื่อของ ปานพรรณ ยอดมณี ศิลปินรุ่นใหม่วัย 29 ปี จากประเทศไทยเป็นผู้ได้รับรางวัล นับว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ธรรมดาที่ศิลปินรุ่นใหม่อายุยังไม่แตะเลข 30 ได้รับรางวัลนี้

อาจจะนับว่านี่เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายสำหรับคนในแวดวงศิลปะร่วมสมัย และแน่นอนว่าเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายอย่างยิ่ง สำหรับปานพรรณเองที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะเดินทางมาถึงจุดนี้ได้

เส้นทางที่ชัดเจน (ในใจ)

ด้วยเป็นเด็กจากครอบครัวทำเครื่องประดับและเสริมสวยที่คุ้นชินกับงานช่างฝีมือ เรียนรู้ศิลปะจากวัดข้างบ้านอย่างวัดกะเปียด จังหวดนครศรีธรรมราช ที่เจ้าอาวาสเป็นศิษย์เก่าเพาะช่าง ทำให้ปานพรรณได้เรียนรู้ศิลปะไทย เขียนลาย ปั้นลาย ตั้งแต่ป.6 และฝึกฝนเรื่อยมา ชื่นชอบในศิลปะไทยจนชัดเจนกับตัวเองตั้งแต่ตอนนั้นว่าคงต้องมาทางนี้

ก่อนจะมารู้ทีหลังว่า “ทางนี้” ที่หวังว่าจะเดินอาจไม่ง่ายอย่างที่คิด

“รู้สึกว่าศิลปะคือสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุด ก็เลยคิดว่าจะเป็นศิลปินตั้งแต่เด็กเลย ตั้งใจว่าจะสอบเข้าศิลปากร พอเข้าศิลปากรได้ก็เลือกเรียนศิลปะไทย เพราะอาจจะอยากรู้จักตัวตนของตัวเอง ตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมเราถึงอยู่ในวัฒนธรรมนี้ ศาสนานี้ ก็เลยอยากเรียนศิลปะไทย”

“แต่พอมาเข้ามาในรั้วศิลปากรจริงๆ รู้สึกว่าคำว่าศิลปินมันไกลตัวมาก เราตั้งคำถามว่ารุ่นพี่คนที่จบไปก่อนหน้านี้เขาไปไหนกัน บางคนส่งงานประกวดได้ที่ 1 กวาดรางวัลทุกเวที ทำไมเขาไม่ได้เป็นศิลปินกัน แต่ก็มีรุ่นพี่บางคนที่ไปเติบโตที่เมืองนอกแล้วรุ่ง เดินต่อไปในเส้นทางศิลปินได้ ก็เลยเริ่มเห็นหนทาง ทั้งทางตันและทางออกในตอนนั้น ก็เลยเริ่มส่งงานศิลปะประกวดตามเวทีต่างๆ คือไม่ได้มองว่าการประกวดจะทำให้ได้เป็นศิลปินอาชีพนะ แต่การส่งงานประกวดทำให้ได้เงินมาเรียนต่อ กับเป็นอีกทางหนึ่งที่ทำให้คนรู้จักงานเรา แต่ในใจก็ยังไม่คิดว่าจะได้เป็นศิลปินอาชีพ”

บน“ความเชื่อ” ในการทำงานศิลปะ ที่วางอยู่บน “ความไม่เชื่อ” ในเส้นทางเบื้องหน้าที่ยังมองไม่เห็น ปานพรรณเดินหน้าทำงานศิลปะต่อไป จนกระทั่งผลงานมีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ เข้าตาผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการศิลปะ เปิดประตูสู่โอกาสครั้งต่อๆ มา

“หลังจากจบปริญญาโท ท่าน ศ.ดร.อภินันท์ โปษยานนท์ ศิลปินและภัณฑารักษ์คนสำคัญของเมืองไทย เห็นงานเราจากการประกวด มองว่าผลงานของเราน่าจะพัฒนาเป็นงานชิ้นใหญ่ขึ้นเพื่อโชว์พลังเรื่องของเทคนิคและวัสดุได้ ก็เลยให้โอกาสได้ทำงานชิ้นใหญ่มากๆ คือยาว 16 เมตร สูง 6 เมตร ตอนนั้นก็ไม่มั่นใจเลย ไม่เคยทำงานชิ้นใหญ่ขนาดนี้ คิดว่าถ้าเราทำไม่สำเร็จเราอาจจะไม่ได้เดินในเส้นทางนี้แล้ว อาจจะต้องไปทำอาชีพอื่น งานนี้อาจจะเป็นชิ้นสุดท้ายในชีวิตก็เลยเต็มที่กับมัน”

นับว่าเป็นโชคดีที่งานนั้นมีภัณฑารักษ์ระดับนานาชาติมาชม นำไปสู่การเปิดประตูบานใหม่สู่การแสดงผลงานในเทศกาลศิลปะสำคัญอย่าง Art Stage Singapore ต่อเนื่องไปถึงภัณฑารักษ์จาก Singapore Art Museum ที่ได้มาชมและแนะนำให้ส่งผลงานเข้าร่วมในเทศกาล Singapore Biennale 2016 ที่จัดขึ้นภายใต้ธีม “An Atlas of Mirrors” จนปานพรรณได้เป็นหนึ่งใน 3 ศิลปินไทยที่ไปแสดงผลงาน ร่วมกับศิลปินและคณะศิลปิน 63 ราย จาก 19 ประเทศและดินแดนทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียตะวันออก และเอเชียใต้

“ทางคนที่จัดงานเขาบอกว่างานเราน่าจะเหมาะ ให้ลองส่ง Proposal ไป เราก็เลยยื่นไป ยื่นอยู่ 5 รอบใช้เวลาประมาณ 6 เดือน พอได้ไปแสดงก็ดีใจมากเพราะเราน่าจะเป็นศิลปินรุ่นอายุต่ำกว่า 30 ไม่กี่คนที่ได้ไปแสดงในงานนี้ และมันเป็นเวทีใหญ่ เป็นความฝันเลยว่าวันนึงจะมาแสดงที่ Singapore Bienale ให้ได้ ก็รู้สึกว่าอาจจะเป็นชิ้นสุดท้ายของเราอีกเหมือนกัน (หัวเราะ) ส่วนที่ได้รางวัลอาจจะเป็นเพราะงานเราแปลกกว่าคนอื่น งานบ้าๆ แบบนี้ไม่ค่อยมีใครทำ แล้วแนวความคิดอาจจะไปตรงกับโจทย์ปีนี้ที่พูดถึงอารยธรรมเอเซีย การที่ได้รางวัลนี้ก็ถือว่าเป็นโอกาสครั้งสำคัญมากๆ”

ความหมายในอิฐหักกากปูน

ย้อนรอยความคิดและแนวทางการสร้างสรรค์ผลงานของปานพรรณ เธอเล่าว่า เกิดจากการตั้งคำถามกับความเป็นตัวตนของเธอเอง คำถามที่ว่าเราเป็นใคร มาจากไหน ทำไมเรานับถือศาสนาพุทธ กับเรื่องของเทคนิคการสร้างผลงานที่ใช้วัสดุต่างๆ มาเป็นเครื่องมือในการสื่อสารความคิด ทั้งเศษไม้ เศษเหล็ก หิน ปูน ไปจนถึงพระพุทธรูป ผสมผสานกับการใช้เทคนิคงานจิตรกรรมไทย

“เรามองว่าประเพณีวัฒนธรรมที่หลงเหลืออยู่ทุกวันนี้ คือเศษซากอารยธรรมที่ถูกสร้างและทำลายไปพร้อมกันจนกลายเป็นสิ่งที่เหลือมาถึงเรา เราตั้งคำถามกับความเชื่อของตัวเองตรงนี้ แล้วก็นำเสนอออกมาโดยใช้วัสดุต่างๆ มาเป็นตัวเล่าเรื่อง เรารู้สึกว่าวัสดุมันมีความหมาย มีการเปรียบเทียบ ระหว่างก้อนหินกับพระพุทธรูปคนคงกราบไหว้พระพุทธรูป แต่บางทีก็ไม่ได้นับถือแก่นแท้คือคำสอนของศาสนา”

ปานพรรณเล่าว่าเป็นคนที่สนใจกับการให้ความหมายในวัสดุต่างๆ จึงได้นำเอาแนวความคิดนี้มาสร้างงานศิลปะเพื่อสื่อสารกับผู้ชม เธอมองว่าวัสดุอย่างปูน เหล็ก ไม้ ฯลฯ เป็นสิ่งที่คนทั้งโลกรู้จัก ทำให้น่าจะสื่อสารกับทุกคนได้

ในงานของปานพรรณจึงปรากฎหลากหลายวัสดุที่ถูกจัดวางอย่างกลมกลืนและขัดแย้ง ปูนซีเมนต์ชิ้นใหญ่ที่แสดงออกถึงความหยาบและแข็งกระด้าง อยู่ร่วมกับงานเขียนจิตรกรรมไทยที่่อ่อนช้อยด้วยตัดเส้นคมกริบขนาด 1 มิลลิเมตร วัสดุสังเคราะห์กับวัสดุธรรมชาติ เส้นและรูปทรงอิสระตามธรรมชาติของวัสดุกับรูปแบบเรขาคณิตที่ซ้อนซ่อนอยู่

“คือรู้ตัวว่าเป็นคนชอบทำงานกับวัสดุ เราก็เลยทดลอง ค้นคว้า ค้นหาวิธีการทำงานกับวัสดุต่างๆ เหมือนนักวิทยาศาสตร์ค้นหาเทคนิคตลอดเวลา เก็บเศษปูน เศษไม้มาประกอบเป็นชิ้นงาน ก็มีคนว่าเหมือนกันว่างานเราประหลาด บางคนก็หัวเราะ บางคนก็บอกว่างานแบบนี้ไม่มีทางได้รางวัล บางคนก็บอกว่างานเราเอาศาสนามาเล่น เอาศาสนามาหากินก็มี แต่เรารู้ว่าเราทำอะไร ศิลปะที่เราทำไม่จำเป็นต้องมีคนเข้าใจเสมอไป แต่เราทำแล้วมีความสุขก็เลยทำมาเรื่อยๆ”

 

ความน่ากลัวของ “โอกาส”

ในฐานะผู้ได้รับรางวัล Benesse Prize นอกเหนือจากเงินรางวัลประมาณ 1 ล้านบาท ปานพรรณจะได้โอกาสในการเดินทางไปสร้างสรรค์ผลงานเพื่อจัดแสดงที่ Benesse Art Site บนเกาะนาโอะชิมะ ประเทศญี่ปุ่น แหล่งรวมผลงานศิลปะชิ้นสำคัญๆ ของโลกแห่งหนึ่ง

“พอได้รางวัล เบเนเซ ไพรซ์ ซึ่งถือว่าเป็นรางวัลระดับนานาชาติหรือระดับโลก รู้สึกดีใจมาก เราเป็นคนไทยคนที่สองที่ได้รางวัลนี้ รางวัลมีเงินประมาณ 1 ล้านบาท และได้ไปทำงานที่เกาะนาโอะชิมะซึ่งมีงานศิลปินระดับโลกติดตั้งถาวรที่อยู่ที่นั่น เราเคยใฝ่ฝันว่าเราอยากไปตรงนั้น”

กับเส้นทางศิลปะที่เดิมพันกับการทำงาน “ชิ้นสุดท้าย” เรื่อยมา ปานพรรณมองว่า รางวัล ชื่อเสียง โอกาสที่ได้รับ เป็นเหมือนดาบสองคม โอกาสที่เปิดกว้างอาจกลายเป็นสิ่งที่ทำลายเส้นทางของเธอได้เช่นกัน

“ที่่ผ่านมาเรารู้สึกว่างานของเราคือตัวตนของเรา ถ้าเราจะไปทำตามคนอื่นที่ประสบความสำเร็จมันก็ไม่ใช่ตัวเรา เรารู้ว่าเราชอบทำงานกับวัสดุ ทำงานกับเทคนิคต่างๆ หลายๆ อย่าง เราก็มาตามทางของเราตรงนั้น พอเราได้รางวัล ทุกอย่างเข้ามาหมด มีแกลเลอรี มิวเซียม ติดต่อจะให้ไปแสดงงาน มีช่องทาง มีโอกาสเข้ามามากขึ้น จนเรารู้สึกว่าเรากลัวโอกาสนะ เอาละ...ทุกๆ โอกาสมันสามารถต่อยอดไปโอกาสข้างหน้าต่อไปได้ แต่ถ้าเราได้โอกาสแล้วทำไม่ดีอาจจะพังได้เหมือนกัน เพราะโอกาสมันเยอะเกินไป ต้องระวังตัวมากขึ้น เครียดมากขึ้น ตอนนี้เรามั่นใจในเส้นทางตัวเอง มั่นใจว่าสิ่งที่เราทำ มันอาจจะแปลกประหลาดกว่าคนอื่นก็จริง บางทีได้รับคำดูถูก เสียงหัวเราะเยาะ แต่เราเชื่อว่าวันนึงเขาจะต้องหยุดความคิดนั้น คนที่เคยหัวเราะงานเรา เราต้องทำให้ได้เพื่อลบคำสบประมาท แต่ถามว่ามันจะเดินไปได้อย่างมั่นคงมั้ย ก็คงอยู่ที่เราเองว่าจะทำปัจจุบันให้มันดีหรือเปล่า”

จะชอบคิดว่าถ้าได้รับโอกาสมาแล้ว เราจะต้องทำโอกาสนั้นให้มันดีที่สุด ถ้างานชิ้นนี้เราทำได้ไม่ดี เราอาจจะไม่ได้โอกาสทำชิ้นต่อไปแล้วนะ ถ้าเราทำวันนี้ให้ดีที่สุด ชิ้นต่อไปเราจะได้ทำแน่นอน ทำงานทุกชิ้นให้เหมือนกับว่าเป็นงานชิ้นสุดท้ายของชีวิต ความคิดนี้ยังอยู่เสมอ”