เรียกผมว่า “เทรนเนอร์”

เรียกผมว่า “เทรนเนอร์”

ลดน้ำหนักก่อนเป็นเจ้าบ่าว-มีกล้ามอวดสาวช่วงซัมเมอร์-หุ่นเป๊ะเวอร์เพราะหลักโภชนาการ… ทุกความต้องการเราจัดให้

เร่งลดน้ำหนักสัก 5-10 กิโลฯ ก่อนแต่งงาน แต่มีเวลาไม่มาก ต้องทำอย่างไรดี- ออกกำลังกายไม่เป็นเลย อยากได้คนมาสอนเบสิกให้-งดแป้ง เน้นโปรตีนก็แล้ว แต่ทำไมรูปร่างยังเหมือนเดิม และอื่นๆ อีกมากมาย

พวกเราอาจเรียกความคาใจข้างต้นว่า “ปัญหา” แต่สำหรับพวกเขานิยามมันเป็น “เป้าหมาย” และถ้าความต้องการของลูกค้า ตรงกับศักยภาพของคนสอน นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการจ้างเทรนเนอร์ออกกำลังกายส่วนตัว หรือ PT (Personal Trainer) ซึ่งกำลังเป็นความต้องการอยู่ในขณะนี้

 

เรียกผมว่า “เทรนเนอร์”

“คิดจะออกกำลังกายจริงจัง ลงทุนจ้างเทรนเนอร์สักทีดีไหม” กำลังกลายเป็นความสงสัยซึ่งถูกถามขึ้นบ่อยๆในสังคมของคนออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเป็นวงสนทนาของเพื่อนร่วมงาน กระทู้เว็บดัง กระทั่งหลังมื้อค่ำหนักๆ ของผู้รู้สึกผิดเพราะกินมากไปจนอึดอัด

ไม่มีใครเถียง-ในอดีตการจ้างโค้ชส่วนตัวถูกสงวนไว้เฉพาะนักกีฬามืออาชีพหรือเซเลบฯ คนดังที่ความเป็นไปของร่างกายส่งผลโดยตรงกับหน้าที่การงาน… หากแต่ทุกวันนี้ความหมายแบบก่อนๆ ได้ถูกขยายขอบเขตขึ้นใหม่ โดยเฉพาะในช่วงที่ธุรกิจยิมออกกำลังกายได้รับความนิยม และร่างกายที่แข็งแรงคือนิยามใหม่ของความเซ็กซี่ ซึ่งส่งผลให้เทรนเนอร์ส่วนตัวกำลังเป็นที่ต้องการสำหรับทุกคนเช่นกัน

มาโนช บุตรเมือง ผู้ชำนาญการด้านการเสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย การกีฬาแห่งประเทศไทย มองว่า ความนิยมจ้างเทรนเนอร์ส่วนตัวเกิดขึ้นตามจำนวนของสถานออกกำลังกายที่มีอยู่ทุกหนแห่ง ทั้งห้างสรรพสินค้า คอนโด พื้นที่ส่วนกลางของหมู่บ้าน ซึ่งสถานที่ดังกล่าวนี้มีกำลังซื้อจากผู้รักสุขภาพที่อยากให้การออกกำลังกายของตนถึงเป้าหมายเร็ว อาทิ ต้องการลดน้ำหนัก ต้องการสร้างกล้ามเนื้อ-เพิ่มความแข็งแรงเฉพาะส่วน ให้เร็วขึ้น-ตรงเป้ามากขึ้น ทำให้เทรนเนอร์ที่เคยฝึกฝนจำกัดเฉพาะนักกีฬาอาชีพปรับตัวไปควบคุมการซ้อมให้กับคนออกกำลังกายทั่วไป

“การออกกำลังกายด้วยตัวเองที่ได้ผลแบบค่อยเป็นค่อยไปไม่ทันใจแล้ว พอมีสถานที่ฟิตเนสมากขึ้น อาชีพเทรนเนอร์จึงได้รับความนิยมขึ้นมาด้วย ถามว่าจำเป็นไหม มันก็แล้วแต่คนนะ คือจะมองว่าไม่จำเป็นก็ได้ แต่มองในมุมบวก..เทรนเนอร์จริงๆ คนที่มีความรู้จริงๆ จะจัดโปรแกรมเฉพาะตัวให้กับลูกค้าได้ เช่น ลูกค้าคนหนึ่งอยากลดน้ำหนัก แต่ก็อยากมีกล้ามแขน ในขณะเดียวกันก็บาดเจ็บที่เข่าด้วยเช่นกัน คนทั่วไปอาจไม่รู้ต้องทำอย่างไร หรือในมุมของแพทย์ ท่านอาจบอกให้หยุดเล่นไปเลยจนกว่าจะหายเจ็บ แต่เทรนเนอร์ที่รู้วิธีเขาจะต้องจัด 3 โปรแกรมเพื่อสนองลักษณะของลูกค้าคนนั้นได้”

กัณตภณ ดวงอัมพร ซึ่งกำลังฟิตซ้อมเพื่อลงแข่งขันเพาะกาย รายการ Mr. Thailand บอกว่า ในมุมนักกีฬาเทรนเนอร์มีความสำคัญมากเพราะเทรนเนอร์จะรู้ข้อบกพร่องที่ต้องแก้ไขของนักกีฬา ส่วนในมุมคนออกกำลังกายทั่วไปเทรนเนอร์จะสามารถแนะนำได้ว่าควรจะออกกำลังกายส่วนใด รับประทานอาหารอย่างไรบ้าง ขณะเดียวกันยังเปรียบเสมือนผู้บังคับให้เราออกกำลังกายด้วย เพราะเทรนเนอร์มีค่าใช้จ่าย มีการจำกัดชั่วโมงเรียน เหมือนกับติวเตอร์กวดวิชา ดังนั้นการจ้างเทรนเนอร์จึงไม่ต่างกับสร้างแรงจูงใจของผู้มีกำลังทรัพย์

ทั้งนี้จากการสำรวจอัตราค่าจ้างของเทรนเนอร์ โดยเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ 700-1200 บาทต่อชั่วโมง โดยขึ้นอยู่กับสถานที่และประสบการณ์เทรนเนอร์เองด้วย และเทรนเนอร์เองยังแบ่งเป็นเป็นผู้ฝึกสอนประจำสถานออกกำลังกาย ซึ่งผู้รับบริการจะเสียค่าสมาชิกฟิตเนสแยกจากค่าเทรนเนอร์ แต่มักทำโปรโมชั่นร่วมกัน ส่วนเทรนเนอร์ประเภทอิสระซึ่งไม่มีสังกัดประจำจะไปทุกแห่งที่ลูกค้าเรียกใช้บริการ มักเน้นตามแนวรถไฟฟ้าหรือตามคอนโดที่อนุญาตให้มีเทรนเนอร์ส่วนตัวเข้าไปควบคุมการฝึกได้ และหากเลือกเล่นเป็นกลุ่มจะมีค่าบริการที่ลดหลั่นกันไป

 

เทรนเนอร์ “ไม่หมู”

ไม่ใช่แค่กล้ามสวยแล้วจะเป็นเทรนเนอร์ได้ เพราะในโลกของการแชร์ข้อมูลหากผู้ฝึกสอนคนใดไม่สามารถสนองความต้องการของลูกค้าได้ตามเป้า ไม่รู้จริงเรื่องท่าออกกำลังกายจนทำให้ลูกค้าบาดเจ็บ หรือเอาแต่บอกให้ทำซ้ำๆ เดิมๆ ไร้ไอเดีย ย่อมมีโอกาสหมดอนาคตได้ นั่นเพราะอาชีพนี้ส่วนใหญ่จะถูกแนะนำกันแบบปากต่อปาก

ตรงข้ามเทรนเนอร์คนใดดูแลลูกค้าดีก็จะมีโอกาสรับงานใหม่เรื่อยๆ สามารถขึ้นค่าตัวได้สูงกว่าค่าเฉลี่ย เป็น1,000-2,000 บาทต่อชั่วโมง สามารถเรียกค่าบริการล่วงหน้าได้ มีข้อตกลงที่ต้องพบกัน 3-4ครั้งต่อสัปดาห์เป็นอย่างน้อย เทรนเนอร์บางคนมีลูกค้าประจำวันหนึ่ง4-5 ราย รับทรัพย์แบบไม่หักค่าใช้จ่ายเฉลี่ยหลักแสนต่อเดือนก็มี

อรรถพร สุทธิสมบูรณ์ เทรนเนอร์อิสระที่ผ่านการประกวด บอกเพิ่มเติมว่า การผ่านเวทีประกวด อย่างเวทีเพาะกาย รางวัลจากนิตยสารผู้ชาย เป็นอีกปัจจัยบวกที่ทำให้ลูกค้าอยากสมัครเข้าไปเป็นสมาชิกมากขึ้น ผู้อยากเป็นเทรนเนอร์บางรายจึงเดินสายประกวดก่อนจะเบนเข็มมาฝึกสอนจริงจัง ถึงเช่นนั้นเมื่อถึงคราวต้องแนะนำก็ต้องมีวิธีการสอนที่สนุก มีวิธีพูดไม่ให้น่าเบื่อ สร้างกำลังใจให้กับลูกค้าได้ นั่นก็เพื่อให้การเทรนนิ่งแต่ละครั้งแตกต่างกับการที่ลูกค้าออกกำลังกายด้วยตัวเอง

“ต้องทำให้เขารู้สึกคุ้มค่า สร้างความเป็นกันเอง และเหมือนเป็นที่ปรึกษาด้านสุขภาพตลอดเวลา อย่างสมาชิกผมคนไหนไปกินขนมหรือไปกินอะไรที่แคลอรี่สูงๆ เขาก็จะต้อง line สารภาพผิดส่งมาหา บอกกันตรงๆ เพื่อที่เราจะได้จัดโปรแกรมเอาออกให้หนักขึ้น เพราะความสำเร็จตามเป้าหมายคือผลงานของเทรนเนอร์ด้วย”

อย่างไรก็ตาม..มิใช่มีแต่สมาชิกซื้อคอร์สที่เอาจริงเอาจังเสมอไป.. มีเทรนเนอร์ไม่น้อยต้องพบกับลูกค้าอยากผอม แต่ช่างกิน-ช่างสังสรรค์ จำพวกมา 1 วัน หาย1 สัปดาห์ เทรนเนอร์แต่ละคนจึงต้องมีวิธีรับมือกับวินัยของสมาชิกที่แตกต่างกัน

เทรนเนอร์รายหนึ่ง ประจำสถานออกกำลังกาย เล่าว่า สมาชิกที่จ่ายรายเดือนหรือรายปีมักคิดว่าจะมาเมื่อไรก็ได้ ซึ่งวิธีคิดนี้ส่งผลถึงวินัยในการออกกำลังกาย บางคนอ้างว่าติดงานแต่จริงๆไปกินดื่มอยู่ บางคนกินขนมเค้ก-ของหวานแต่ไม่ยอมบอก ทำให้ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามเป้า

“บางคนผมให้ถ่ายรูปไว้เลยแล้วดูความเปลี่ยนแปลงกัน ถ้าเดือนก็แล้ว 2 เดือนก็แล้วยังเหมือนเดิมคงต้องมาคุยกัน มาทบทวนวัตถุประสงค์กันว่าตั้งใจอะไรไว้ในตอนแรก คุณลืมไปแล้วเหรอว่าต้องการอะไร ขณะเดียวกันหากเขาคิดว่าเราไม่ดีพอ ต้องการเปลี่ยนเทรนเนอร์ก็สามารถทำได้ แต่ถ้ายังไม่มีวินัยผมว่าอย่างไรก็เหมือนเดิม เพราะการมีเทรนเนอร์ไม่ได้การันตีว่าคุณจะผอม หรือต้องหุ่นดีแน่ๆ เพราะเราเป็นแค่โค้ชชิ่ง แต่เขาต้องมีวินัยในตัวเองต่างหาก”

 

กล้ามใหญ่ “ไร้สูตร”

ไม่มีสูตรสำเร็จของการมีรูปร่างดี เช่นเดียวกับเทรนเนอร์เองก็ไม่ได้การันตีว่ามีคุณภาพทุกคน ดังนั้นจึงเป็นการบ้านของผู้บริโภคเองที่ต้องเลือกผู้ฝึกสอนให้ดี ให้คุ้มค่ากับเงินที่เสียไป

มาโนช ที่รับผิดชอบสมรรถภาพของนักกีฬาทีมชาติไทยโอลิมปิก 2016 ยืนยันว่า ไม่ใช่แค่กล้ามใหญ่เท่านั้นที่จะการันตีคุณภาพของเทรนเนอร์ แต่ผู้ฝึกสอนต้องมีความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์การกีฬาด้วย อาจจะจบตรงสายหรือไม่ก็ได้ แต่ที่ขาดไม่ได้คือต้องมีความรู้เรื่อง หลักๆ อย่าง ด้านสรีระวิทยา กายวิภาคศาสตร์ โภชนาการ ทั้งต้องนำความรู้เหล่านั้นไปออกแบบโปรแกรมให้กับสมาชิกของตัวเองให้ได้ด้วย นั่นเพราะแต่ละคนมีลักษณะทางกายวิภาคและเป้าหมายของการออกกำลังกายแตกต่างกัน

เมื่อถึงคราวต้องเลือกเทรนเนอร์ (ว่าที่) ลูกค้าอาจเริ่มจากบอกประวัติร่างกาย และถามกลับไปยังเทรนเนอร์ว่ามีโปรแกรมอะไรบ้าง จากนั้นก็ต้องพิจารณาหาข้อมูลอื่นๆเปรียบเทียบด้วย เช่น ถ้าคิดจะสลายไขมัน เทรนเนอร์ต้องจัดโปรแกรมให้ร่างกายได้มีอัตราการเต้นของหัวใจ (Heart Rate) ในอัตราที่อยู่ในช่วง Fat burn หรือประมาณร้อยละ 85 ของตัวเลข 220 ลบด้วยจำนวนอายุ (เช่น อายุ 20ปี จะถูกคำนวณเป็น 220-20 …อัตราการเต้นหัวใจที่เหมาะสมคือคือน้อยกกว่าร้อยละ85 ของ200) ร่างกายจึงจะดึงไขมันไปเผาผลาญ หรือถ้าลูกค้าเจ็บเข่าก็จำเป็นที่จะต้องงดการวิ่ง แต่ใช้การขี่จักรยาน หรือใช้ท่าที่อยู่ในโหมด Interval Training แทนตามความเหมาะสม

“มันมีหลักที่เราสามารถพิจารณาได้ว่าเทรนเนอร์คนนี้สอนถูกหลักหรือไม่ แต่มันไม่มีสูตรตายตัวจะบอกว่าคนนี้ดีหรือไม่ ผู้ฝึกซ้อมนี่แหละต้องหาข้อมูลอื่นไปพร้อมๆกัน” ผู้ชำนาญการด้านเสริมสมรรถภาพนักกีฬา ชวนตั้งข้อสังเกต

ส่วนในมุมมองของผู้มีประสบการณ์จ้างเทรนเนอร์ แน่ว่านอกจากผลลัพธ์ของร่างกายที่เอามาประเมินกันแล้ว พวกเขายังบอกบทเรียนให้ผู้สนใจหน้าใหม่ที่อยากมีโค้ชส่วนตัวว่า ต้องพึงระวังกับกับบรรดาเทรนเนอร์ที่จ้องขายชั่วโมงเพื่อทำยอดให้ดี เพราะผู้ฝึกสอนที่ดีย่อมไม่เน้นการขายคอร์ส แต่เป็นเพื่อนที่สร้างแรงกระตุ้นการออกกำลังกาย เพื่อที่สุดท้ายแล้วสมาชิกจะสามารถปฏิบัติได้เองโดยไม่ต้องเสียเงินค่าใช้จ่ายให้ใครอีกต่อไป

คนแบบนี้แหละที่เรามองหาและนิยามเขาว่า “เทรนเนอร์”