“คืนป่า” มาหานคร

ถามว่ายากมั้ยก็คงจะยาก แต่ถ้าถามว่าเป็นไปได้มั้ยที่จะฟื้นคืนผืนป่าให้กับมหานครแห่งเมืองไทย ตอบเลยว่า เป็นไปได้ ถ้าลงมือทำ

สุภาษิตจีนกล่าวไว้ว่า…


“ถ้ามีเงิน 2 ตำลึง 1 ตำลึง ให้ซื้อข้าว อีก 1 ตำลึง ให้ซื้อดอกไม้”


นั่นเป็นเพราะ… “ความอิ่ม ทำให้เรามีพลัง ความงาม ทำให้อยากมีชีวิต”


ดอกไม้ก็ไม่ต่างอะไรกับผืนป่า ที่สามารถทำให้ชีวิตของคนเราเบิกบาน พร้อมที่จะเริ่มต้นกับวันใหม่ได้อย่างสดใส แต่พอได้รับรู้ความจริงเกี่ยวกับป่าในเมืองไทย และย่นย่อเอาเฉพาะในกรุงเทพมหานคร คงต้องนอนเอามือก่ายหน้าผากกันเลยทีเดียว


นั่นเพราะ คนกรุงมีพื้นสีเขียวให้หายใจเพียง 5.42 ตารางเมตรต่อคน (ข้อมูลจาก สำนักงานสวนสาธารณะ สำนักสิ่งแวดล้อม ศาลาว่ากรุงเทพมหานคร วันที่ 7 สิงหาคม 2557) ถ้าเทียบกับค่ามาตรฐานสากลคือ 15 ตารางเมตรต่อคน ถือว่าน้อยกว่าถึงเกือบ 3 เท่า ส่วนองค์การอนามัยโลก(WHO)นั้น กำหนดไว้ที่ 9 ตารางเมตรต่อคน


การเพิ่มพื้นที่ป่าในมหานครที่เต็มไปด้วยอาคารคอนกรีตนั้นเป็นเรื่องค่อนข้างยาก แต่ทั่วโลกก็พยายามปรับตัว และวางแผน Rewildingหรือฟื้นคืนพื้นที่ธรรมชาติให้เกิดขึ้นในมหานครใหญ่ๆ จนประสบความสำเร็จไปหลายแห่ง


ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ที่รื้อโครงสร้างคอนกรีตที่ขัดต่อธรรมชาติในแม่น้ำจน “นาก” สัตว์แสนน่ารักกลับมา หรือจะเป็นความพยายามในการเพิ่มพื้นที่สวนเล็กๆ ใต้ชายคาบ้าน เพื่อบรรเทาเหตุการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นทุกปีในลอนดอน การเพิ่มประชากรหมาป่าในอุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน ในสหรัฐอเมริกา จนห่วงโซ่อาหารที่หายไปกลับมาหลากหลายเหมือนเดิม


Rewilding ไม่ใช่เทรนด์ แต่เป็นเรื่องที่ต้องทำ ถามว่า แล้วคนกรุงเทพฯ ล่ะ สามารถทำอะไรได้บ้าง คงไม่ถึงกับต้องรื้อบ้านแล้วปลูกป่า หรือเลี้ยงหมาป่าเพื่อเพิ่มความหลากหลาย ไม่นับในส่วนของภาครัฐที่ต้องออกนโยบายมาสนับสนุน เพียงแค่คุณลงมือปลูกต้นไม้หรือพืชท้องถิ่นในพื้นที่ที่พอมีเพื่อเรียกผีเสื้อตัวเล็กๆ เท่านี้ก็ถือเป็นการ Rewilding แล้ว


ปล่อย “หมา” เข้าป่า


หลังจากที่หมาป่าถูกล่าจนหายไปจากป่านานกว่า 70 ปี อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน สหรัฐอเมริกา ก็ประสบปัญหาประชากรกวางเอลค์ล้นป่า ทั้งยังกัดกินพืชพรรณจนป่าเฉา กระทั่งปี ค.ศ.1995 มีโครงการ “ปล่อยหมาป่าคืนสู่ธรรมชาติ” โดยใช้หมาป่าจากแคนาดาเพียง 14 ตัว ปล่อยลงไปในอุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน ผลที่ได้น่าอัศจรรย์จนกลายเป็นที่มาของคำฮิตติดปากในวงการสิ่งแวดล้อมโลก นั่นคือ “หมาป่าเปลี่ยนแม่น้ำ”


“หมาป่าเข้ามาควบคุมประชากรและพฤติกรรมของกวางเอลค์ สัตว์ต่างๆ ที่พึ่งพิงต้นไม้ก็เริ่มเข้ามา หมาใน ไคโยตี ก็เริ่มมา หมาป่าฟื้นคืนชีวิตแม่น้ำทั้งสาย เมื่อมีต้นไม้ก็ลดการชะล้างหน้าดิน น้ำตกไหลเป็นลำ เกิดการกัดเซาะเป็นแอ่ง เป็นอู่น้ำของสัตว์ป่า หมาป่าแค่ไม่กี่ตัวสามารถฟื้นคืนชีวิตป่าได้ และเปลี่ยนภูมิประเทศได้” ดร.สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ ประธานกรรมการมูลนิธิโลกสีเขียว บอก


ดร.สรณรัชฏ์ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “ดร.อ้อย” กล่าวว่า หมาป่าเปลี่ยนแม่น้ำถือเป็นข่าวดีข่าวเล็กๆ ในวงการอนุรักษ์ ทว่าในภาพใหญ่ โลกกำลังเผชิญกับความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ครั้งที่ 6 (Sixth extinction) ซึ่งไม่ได้เกิดจากเหตุสุดวิสัยอย่างอุกกาบาตพุ่งชนโลกหรือเหตุธรรมชาติอื่นๆ เหมือนที่ผ่านมา แต่เกิดขึ้นจากน้ำมือของมนุษย์ล้วนๆ


“เราอยู่ในAnthropocene หรือยุคที่มนุษย์ครองโลก เอกลักษณ์เด่นของยุคนี้คือไม่มีพื้นที่ไหนเลยที่ไม่ได้รับผลกระทบจากการกระทำของมนุษย์ โลกมีความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์(Co2)ในบรรยากาศเกิน 400 ppm และจะยังสูงขึ้นไปอีก เป็นโลกที่กำลังจะไม่มีระบบนิเวศปะการัง ความหลากหลายทางชีวภาพต่ำมาก มีสัตว์ป่าเหลือเพียง 1 ใน 3 ของที่เคยมีเมื่อ 50 ปีก่อน จากการทำลายถิ่นอาศัย มลพิษ และการไล่ล่าโดยตรง และเทรนด์ก็จะยังน้อยลงไปอีกถ้ามนุษย์ไม่เปลี่ยนพฤติกรรม


จริงๆ ตอนนี้เราอยู่ในสภาพพิการแล้ว ยังไม่ถึงกับเดี้ยง แต่ไม่สมบูรณ์ หน้าต่างเวลาช่วงสั้นๆ ภายใน 20 ปี เราต้องช่วยกันเหยียบเบรคแล้ว อะไรที่เหลืออยู่ อนุรักษ์ไว้เลย ฟื้นฟูมันขึ้นมา”


ดร.อ้อย บอกว่า การฟื้นฟูชีวิตป่าขึ้นมาใหม่ให้ดูแลระบบนิเวศเหมือนกับที่เยลโลว์สโตนที่นำหมาป่ากลับมาฟื้นชีวิตป่าและแม่น้ำนั้น เป็นการ Rewilding คือทำให้เป็นป่าขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งคำๆ นี้มีมาประมาณ 20 ปีแล้ว แต่กำลังเป็นที่สนใจของประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยเป็นการเล่นคำที่ซ่อนนัยยะไว้ 2 ความหมาย คือ rewind ที่หมายถึงการหมุนย้อนกลับ และ rewire เป็นการต่อสายใหม่ เมื่อมาเป็น rewild จึงหมายถึงการคืนชีวิตป่า ฟื้นระบบธรรมชาติ และโยงใยความสัมพันธ์กับธรรมชาตินั่นเอง


“คำถามคือ เราจะ rewild มากแค่ไหน เราจะไปถึงขนาดคืนจระเข้ให้แม่น้ำเจ้าพระยาเลยมั้ย คนเมืองส่วนใหญ่คงไม่เอา ถ้างั้นควรจะแค่ไหนอย่างไรล่ะ ธรรมชาติที่เราจะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ในเมืองจะไม่เหมือนที่เคยเป็นมาแต่เดิมอย่างแน่นอน แต่ถ้าจะฟื้นฟูได้เหมาะสมเราต้องเข้าใจธรรมชาติที่เป็นมาในอดีต เพื่อประเมินสถานการณ์ปัจจุบันและหาทางออกแบบอนาคตที่เหมาะสมกับพื้นถิ่นได้”


อดีตแห่ง “บาง(มะ)กอก”


ย้อนไปในอดีตราว 5,000 ปี กรุงเทพฯ เคยมีสภาพเป็นทะเลมาก่อน แน่นอนว่า หลักฐานทางธรณีวิทยาบ่งชี้แบบนั้น แต่โลกก็มีพัฒนาการเรื่อยมา กระทั่งกรุงเทพฯ ค่อยๆ กลายเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำเมื่อราว 1,500 ปีต่อมา พื้นที่บริเวณนี้เป็นทุ่งขนาดใหญ่ที่รับน้ำหลากในฤดูน้ำท่วม จนเกิดเป็นสำนวน “น้ำท่วมทุ่ง” ในที่สุด


“เมื่อ 500 ปีก่อน สมัยอยุธยาเปิดตัวเป็นเมืองท่าติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ เรือจะเดินทางจากปากอ่าวไทยเข้าสู่แม่น้ำเจ้าพระยาจนถึงกรุงศรีอยุธยาต้องแล่นคดเคี้ยวไปมาใช้เวลาถึง 15 วัน จึงเริ่มมีการขุดคลองลัดเพื่อย่นเวลาเดินเรือ ช่วงเวลา 200 ปี เจ้าพระยาเปลี่ยนโฉมหน้าไปจากที่เคยคดเคี้ยวก็เริ่มตรงขึ้น


จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ มีการสถาปนา “บาง(มะ)กอก” เป็นกรุงเทพฯ ดูจากชื่อสถานที่ต่างๆ ในสมัยนั้น นี่คือคอมเพล็กซ์ที่มีทั้งหนอง บึง ดอน เป็นคอมเพล็กซ์ที่มีความสลับซับซ้อนมาก และในประวัติศาสตร์ก็บอกว่า กรุงเทพฯ มีสัตว์น้ำอุดมสมบูรณ์และมีสัตว์ป่าชุกชุมมาก” ประธานกรรมการมูลนิธิโลกสีเขียว กล่าว


ยืนยันได้จากบันทึกของบาทหลวง ฌอง บัปติสตา ปาเลกัว ที่บันทึกไว้ในสมัยรัชกาลที่ 3 ว่า


“ทุกแหล่งน้ำมีจระเข้ชุกชุม ที่บ้านชาวญวนสามเสนมีเนื้อจระเข้ที่ล่ามาได้แขวนเสาบ้านไว้ขายเช่นเดียวกับเนื้อหมู แต่ราคาถูกกว่า โขลงช้างป่าออกมาหากินในทุ่งราบ ซึ่งปกคลุมด้วยพงหญ้าและไม้พุ่ม มีการห้ามฆ่าช้างป่า แต่ก็มีผู้ลักลอบยิงช้างเพื่อเอางาไปขาย มีการคล้องช้างป่าที่บางซื่อ มีการล่ากวางที่ทุ่งมหานาค กวางมีอยู่มาก มักออกมากินหญ้าในที่ราบ พอถึงช่วงน้ำเหนือหลาก กวางต้องหลบขึ้นไปอาศัยบนที่ดอน ชาวบ้านจะพายเรือไล่ต้อนให้หนีลงน้ำเข้าไปติดพงหญ้า แล้วถูกชาวบ้านทุบตีด้วยไม้หรือใช้ปืนยิง" (บันทึก พ.ศ.2374)


"นกน้ำชุกชุมมาก ตัวใหญ่ที่สุดคือนกกระเรียน ขายาว ขนสีเทา ขาวกับดำ แต่ขนคอและขนหนังที่หุ้มหัวเป็นสีแดง สูงโย่งอยู่บนขาทั้งคู่ ก้าวยาวและเดินเร็วมาก บินได้สูง เสียงแหลมได้ยินไปไกล มักยืนเป็นแถวตามขอบบึงและหนองน้ำ หาปลา กบ และสัตว์อื่นๆ กินเป็นอาหาร" (บันทึก พ.ศ.2397)


นอกจากนี้ในสมัยต้นรัชกาลที่ 5 ก็ยังมีบันทึกของ จมื่นเก่งศิลป์ พ.ศ.2418 เกี่ยวกับเสือปลา (เสือบอง) ว่าอาศัยอยู่แถววังสราญรมย์ด้วย


"เมื่อปีกุน จ.ศ.1237 ทหารที่รักษาตึกดินบอกว่า เสือบองเข้ามากินไก่ ทหารได้ตีเสือ..."


ส่วน ใหญ่ สนิทวงศ์ หรือหม่อมราชวงศ์สุวพันธุ์ สนิทวงศ์ ก็บันทึกไว้เมื่อ พ.ศ.2433 ว่า


"สมัยนั้นตามทุ่งรังสิตเนื้อสมันมีชุมมาก ...ในฤดูน้ำท่วมเนื้อสมันจะหนีน้ำขึ้นไปอยู่ที่ดอน ชาวบ้านก็ชวนกันไปด้วยเรือม่วง และไล่แทงเอาตามชอบใจ ในฤดูร้อนบางคนก็เอาเขาสมันมาตากหรือตะไบข้างหลังออกทำให้น้ำหนักเบาขึ้น แล้วก็สวมติดบนศีรษะคลานเข้าไปได้จวนถึงตัวสมัน แล้วก็แทงเอาอย่างง่ายดาย มันไม่ใคร่หนีเพราะมันเห็นเขาก็นึกว่าเป็นพวกเดียวกัน"


อย่างไรก็ดี ภาพในอดีตผ่านพ้นไป ปัจจุบันไม่หลงเหลือสัตว์ต่างๆ ที่เคยชุกชุมอีกแล้ว โจทย์ใหญ่ก็คือ เราจะดูแล “สิ่งที่เหลืออยู่” อย่างไร เป็นไปได้ไหมที่จะฟื้นฟูธรรมชาติและชีวิตป่าเมืองกรุงบางส่วนให้กลับมาอีกครั้ง


ฟื้นป่าให้ “อนาคต”


“ถามว่า บางมะกอก ในปี พ.ศ.2559 มีคนรู้จักมั้ย ไม่มีคนรู้จักแล้ว มะกอกคืออะไร ที่บางลำพู ไม่มีต้นลำพู คลองเหรอ ไม่เหม็นก็ดีแล้ว ในน้ำไม่มีสัตว์อะไรอยู่ คลองคือท่อ แล้วปลามาจากไหน มาจากตลาด นี่เป็นสิ่งที่คน พ.ศ. นี้รู้”


ดร.นณณ์ ผาณิตวงศ์ ผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ Siamensis.org สะท้อนอย่างอ่อนใจ และเผยต่อไปว่า เป็นเรื่องน่าอัปยศอย่างที่สุดที่ “สมัน” ซึ่งเป็นกวางชนิดใหม่ของโลกต้องสูญพันธุ์ไป นี่ยังไม่นับรวมสิ่งมีชีวิตเฉพาะถิ่นอีกหลากหลาย


“แม่น้ำเจ้าพระยามีความหลากหลายทางชีวภาพสูงมาก ปัจจุบันมีปลาน้ำจืด น้ำกร่อย รวมๆ 800 กว่าชนิดแล้ว ปลาหวีเกศ ปลาฉลามหางไหม้ สูญพันธุ์ไปแล้วจากโลก ปลาเสือตอลายใหญ่ สูญพันธุ์ไปแล้ว ตัวสุดท้ายเจอแถวๆ ชัยนาทเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ถ้าเสือเป็นสัตว์ผู้ล่าในป่า ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ปลาเทพาก็คือเสือ แต่เทพาสูญพันธุ์ไปแล้วจากลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ปลาบู่รำไพก็แทบสูญพันธุ์ ปลาบู่สยามค้นพบครั้งแรกในคลองสีลมและคลองบางกะปิ ปูนาบางกอก เป็น bangkokensis เข้าใจว่าเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า bangkok แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว”


สิ่งที่ ดร.นณณ์ บอกมานั้น สะท้อนความเป็นจริงในปัจจุบันที่ว่า การพัฒนาโดยไม่ได้คำนึงถึงสภาพพื้นที่หรือสิ่งมีชีวิตในถิ่นอาศัย เป็นการทำลายความหลากหลายและค่อยๆ ตัดท่อลมหายใจของคนเมืองไปทีละน้อยๆ


“คนกรุงเทพฯ เวลาเห็นกระรอกตัวเดียวก็ชื่นใจแล้ว นี่คือ wild life ของคนกรุงเทพฯ” นายแพทย์รังสฤษฎ์ กาญจนะวณิชย์ หรือหมอหม่อง อาจารย์ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และนักอนุรักษ์ตัวยง ย้ำก่อนจะยืนยันว่า สุภาษิตจีนที่กล่าวถึงเงิน 2 ตำลึงนั้นเป็นความจริง


“พฤติกรรมของคนเมืองตอนหลัง isolate ตัวเองมากขึ้น เรามองจุลินทรีย์ว่าเป็นเชื้อโรค ต้องกำจัดออกไป เราเสียสมดุลไปโดยไม่รู้ตัว เรากำลังสร้างสภาวะจำลองให้กับตัวเอง เราอยู่ห่างไกลกับธรรมชาติมากขึ้น และกลัวที่จะเข้าไปสัมผัสด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง กลัวลำบาก ไม่คุ้นเคย ไม่มีปลั๊ก ไม่มีไวไฟ นี่ทำให้เราเป็นคนขี้หงุดหงิด ใจร้อน ไม่มีสมาธิ สมองโตแต่หัวใจเหี่ยว มีความรู้แต่ไม่มีความรัก เพราะเอาจริงๆ ถ้าเราเข้าไปใกล้ชิดธรรมชาติ แค่ใบไม้ 1 ใบ มันบอกเล่าเรื่องราวมากมาย โลกเป็นสนามเด็กเล่นที่ยิ่งใหญ่ และป่าก็มีพลังบางอย่างที่ทำให้เราตกผลึกความคิดได้ เวลาเข้าป่าเราจะรู้เลยว่า สิ่งที่เราเป็น หัวโขนที่เรามี ไม่มีความหมายเลย เราไม่ได้นอนโรงแรม 5 ดาวนะ แต่เรามีโรงแรมล้านดาวแทน”


ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะฟื้นฟูกรุงเทพฯ ให้กลับมาเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำอันสมบูรณ์เหมือนในอดีต และการคืนป่าให้กลับเข้ามาอยู่ในมหานครใหญ่ก็เป็นเรื่องมหภาคเกินไป แต่ถามว่า ต้องทำมั้ย ดร.อ้อย บอก ต้องทำ


“เราต้องฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำ ซึ่งรวมถึงระบบนิเวศแม่น้ำ ชายฝั่ง เพราะมันเป็นอนาคตของกรุงเทพฯ พื้นที่ชุ่มน้ำเป็นอนาคตของกรุงเทพฯ เพราะมันคือธรรมชาติพื้นถิ่นของกรุงเทพฯ มันคือแก้มลิงตามธรรมชาติของในหลวงภูมิพล ทรงเสนอเป็นทางออกบนฐานของความเข้าใจในธรรมชาติมานานแล้ว เราจะออกแบบมันอย่างไรให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน เหมาะกับภูมินิเวศและการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศที่ท้าทายกรุงเทพฯ”


เรื่องใหญ่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของภาครัฐ แต่ใช่ว่าประชาชนคนตัวเล็กๆ จะไม่ต้องทำอะไร การฟื้นคืนลมหายใจทุกคนย่อมต้องมีส่วนร่วม ซึ่ง ดร.อ้อย แนะว่า อาจจะเริ่มต้นจากการปลูกพืชท้องถิ่นเล็กๆ ในพื้นที่ที่พอจะทำได้ แค่นั้นก็ถือว่าได้มีส่วนร่วมในการฟื้นป่าสู่เมืองแล้ว


“เราไม่ได้เรียกร้องให้ถอยหลังเข้าถ้ำ แต่ธรรมชาติคืออนาคตของเรา เราต้องก้าวไปสู่ธรรมชาติโดยการฟื้นฟูธรรมชาติดั้งเดิม แต่จะไม่เหมือนเดิม เป็นธรรมชาติที่เราฟื้นฟูขึ้นมาเพื่อให้อยู่กับเราได้ในเมืองยุคใหม่ เราทำได้ แม้แต่คนที่อาศัยอยู่บนคอนโด ไม่มีสวน เราปลูกพืชท้องถิ่นขนาดเล็กที่ผีเสื้อชอบได้ แต่ถ้ามีสวน ปลูกต้นไม้ใหญ่ได้ก็ยิ่งดี มีพืชพื้นถิ่นหลายชนิดที่น่าปลูกเพื่อดึงดูดนก ผีเสื้อ ค้างคาว มาผสมเกสรหรือกินผลไม้ สิ่งเล็กๆ ที่แต่ละคนทำอาจไม่ใช่โครงการใหญ่โต แต่มันส่งแรงกระเพื่อมออกไปในโลก ขอให้เรารู้ว่า มันมีความหมาย ช่วยกันสื่อสารออกไปตามจริตและแนวทางของแต่ละคน เพื่อให้การฟื้นฟูธรรมชาติท้องถิ่น Rewilding Bangkok เป็นวาระสังคม” ประธานกรรมการมูลนิธิโลกสีเขียว สรุป


แน่นอนว่า แรงกระเพื่อมเกิดขึ้นจากแรงของคนเล็กๆ และ…


“อย่าได้แคลงใจว่า พลเมืองช่างคิดและมุ่งมั่นกลุ่มเล็กๆ จะสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ แท้จริงแล้ว มันเป็นเช่นนั้นมาโดยตลอด” - มาร์กาเร็ต มีด นักมานุษยวิทยาวัฒนธรรมชาวอเมริกัน