‘เปอร์’สเปคทีฟ.. อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต เปอร์-สุวิกรม

ทบทวนความคิด ก่อนก้าวออกเดินทางสู่ความท้าทายใหม่ ของ ‘เปอร์’ สุวิกรม อัมระนันทน์
จุดเริ่มต้นคือที่เซนเตอร์พอยต์ สยามฯ ในวันวาเลนไทน์เมื่อสิบกว่าปีก่อน ซึ่งทำให้ทีมงานภาพยนตร์ “365วัน ตามติดชีวิตเด็กเอ็นท์(Final Score)” ได้พบกับ เปอร์-สุวิกรม อัมระนันทน์ จากนั้นก็เป็นตัวเขาเองที่เลือกเส้นทางชีวิตหลังจากแสดงนำในหนังข้างต้น เปอร์เอ็นท์ฯ ติดคณะวิศวฯ สมใจ แล้วยังปฏิเสธเงินหลักแสนเพื่อรับค่าจ้างหลักพันที่ Fat Radio แลกกับการจัดรายการช่วงเวลาเที่ยงคืนถึงตีสี่
ที่ทำงานแห่งแรกนี้เอง ที่เจ้าตัวมักบอกใครต่อใครว่า ทำให้เขาต้องพัฒนาตัวเอง ทั้งดนตรี ทักษะการดำเนินรายการ และการเปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ จากการพบเจอกับคนเก่งๆ
ที่สำคัญกว่านั้น เขาอยากให้ทุกคนจดจำในฐานะดีเจคนหนึ่ง ไม่ใช่ดาราที่เข้ามาเพราะชื่อเสียงเก่าๆ
“ผมฟังFatแต่เด็ก เพราะรู้สึกว่าสปอตโฆษณามันกวนดี แล้วมันจะเกิดคำถามว่าเขาคิดได้ไง เราอยากไปรู้ อยากเข้าไปเห็นว่าเขาทำงานยังไง เลยให้พี่ที่GTH (สมัยนั้น)ติดต่อไป ในใจคิดว่า ถ้าเขาไม่ให้เงินเราก็จะขอทำอยู่ดี แต่พอดีพี่เต็ด-ยุทธนา(บุญอ้อม) ซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่สวนกุหลาบให้โอกาส จึงได้เริ่มทำงานที่นี่เป็นที่แรก” เขาเล่าย้อนถึงความหลังราวๆ สิบกว่าปีก่อน
ส่วนวันนี้ ‘เปอร์’ ผ่านงานมาไม่น้อยกว่าใครในรุ่นราวคราวเดียวกันแน่ๆ ไม่ว่าจะเป็นงานแสดง พิธีกร จนมาถึงความท้าทายใหม่ด้วยการก่อตั้ง บริษัท แบล็คดอท จำกัด มีรายการ Perspective ที่เข้ารับหน้าที่พิธีกรเป็นตัวชูโรง
ทั้งหมดนี้ น่าจะเพียงพอที่เราจะขอโอกาสสำรวจทัศนะ ในฐานะคนหนุ่มที่ผ่านประสบการณ์มาสักระยะ อย่างน้อยๆ ก็กว่าสิบปีที่เขาเปลี่ยนจากคนธรรมดาเป็นคนคุ้นหน้าซึ่งเราต่างคุ้นเคยกันดี
มีบริษัทของตัวเองแล้วรู้สึกอย่างไร
ผมทำงานมา 10 ปี วันนี้มันไม่เหมือนกันเลย แต่อะไรก็ตามที่เพิ่งเริ่มทำมันก็คงเหนื่อยเป็นธรรมดา เวลาผมเหนื่อยผมจะนึกถึงวันที่จัดรายการวันแรก แล้วบอกกับตัวเองว่า วันนั้นเราก็เหนื่อยแบบตอนนี้ อีกหน่อยถึงจะเหนื่อยแต่เราก็จะมีวิธีที่รับมือกับมันนะ เราก็ตั้งใจทำเต็มที่ เพราะถ้าอยากจะมีอะไรที่เปลี่ยนแปลง มันก็ต้องแลก ต้องลงมือ ลงแรง แล้วจะเห็นดอกเห็นผล
สาเหตุหนึ่งที่ผมอยากมีบริษัทคืออยากจะทำในสิ่งที่ผมต้องการทำจริงๆ อยากจะทำงานในแบบของเรา ยังจำได้สมัยนั่งเรียนวิศวฯ อยู่ผมยังเคยเขียนProposalรายการที่ตัวเองอยากทำอยู่เลย มันจึงถึงเวลาที่จะได้ทำในสิ่งที่ต้องการจริงๆแล้ว ไม่ใช่ที่ผ่านมาผมไม่ชอบนะ ที่ผ่านมามันก็ดีและผมไม่ขอเปลี่ยนอะไรทั้งนั้น เพราะอดีตที่ผ่านมาทั้งหมดทำให้เราเป็นเช่นทุกวันนี้
ผมเองเป็นคนที่ไม่ชอบอะไรที่เครียดๆ ขณะเดียวกันอะไรที่เป็นบันเทิงจ๋าก็ไม่เอา ก็อยากทำสาระให้คนดูง่ายๆ เป็นแบบ Edutainment ที่ทั้งให้ความรู้และดูสนุกไปพร้อมๆ กันด้วย และคิดว่า เรื่องราวที่พวกเรานำเสนอมันสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้คนดูแล้วอยากจะลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างหนึ่ง แล้วเชื่อว่าต้องเป็นเรื่องดีด้วย
ถ้าถามผมว่า ตอนนี้เปลี่ยนแปลงกว่าเดิมไหม.. คงต้องตอบว่าเปลี่ยนไปมากครับ คือผมคิดตลอดเวลาและต้องคิดถึงหัวอกของคนที่เราทำงานด้วยไม่ใช่จบแค่ช่วงเวลาการทำงาน แน่ละว่าความเครียดมากขึ้นแต่มันก็เป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้
ภาพที่คนรู้จักคุณ มักออกมาในรูปแบบพิธีกรรายการสร้างแรงบันดาลใจ รายการสัมภาษณ์คน จริงๆ แล้วคุณเป็นคนเครียดใช่ไหม
ในนั้นไม่เคยมีการแสดงออกว่า ผมเครียดเลยนะ คือถ้าดูจริงๆ เราสนุกกันตลอดเวลา ขำกันตลอด แต่ส่วนหนึ่งผมเองก็เหมือนกับคนทั่วๆ ไป ที่ตามหาคำตอบของชีวิตอยู่ตลอดเวลา บุคลิกจึงดูเป็นแบบนั้น
ผมโตมาในครอบครัวที่เป็นข้าราชการ จำได้ว่า สมัยผมไปเรียนซัมเมอร์ที่อเมริกา แล้วคุณลุงที่เปิดร้านอาหารไทยที่โน่นมารับ ระหว่างทางเขากับเพื่อนก็พาผมไปร้านอาหาร ไปกินข้าวกัน แล้วระหว่างที่กินไปเขาก็พูดเรื่องธุรกิจกัน พูดเรื่องประเทศจีนที่กำลังมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจ พูดเรื่องสังคม วิเคราะห์วัฒนธรรมที่ส่งผลถึงการทำธุรกิจ เรารู้สึกว่า“เฮ้ย ทำไมมันเจ๋งนักวะ” เราอยากคุยแบบนี้บ้าง ทำอย่างไรที่เราจะได้รู้จักกับคนเก่งๆ บ้าง มันจึงปลูกฝังผมว่า ถ้าอยากรู้อะไรเพิ่มเติม ผมจะวิ่งเข้าหาคนนั้นทันที เหมือนที่ผมวิ่งเข้าหา Fat Radio และจากนั้นใครจะรู้ว่า เมื่อเวลาผ่านมาผมจะได้ทำรายการเจาะใจ รายการThe Idol ได้สัมภาษณ์อดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้สัมภาษณ์คนเก่งในสาขาต่างๆ
ผมว่ามันเป็นจิตตั้งต้นที่เราอยากรู้ อยากเห็น อยากคุยกับคนที่มีความสามารถ และกลายเป็นแรงดึงดูดให้เราได้ทำสิ่งนั้น แบบที่เราไม่รู้ตัว
งานพิธีกรใช่ตัวเองที่สุดแล้ว
มันคงเป็นสิ่งที่อยู่ในตัวอยู่แล้ว ผมเป็นคนชอบเรียนรู้ ทำอะไรก็เอาให้สุดไปเลย เคยเลี้ยงปลากัดก็เคยมีเป็นร้อยๆ ตัว เล่นเพนท์บอลก็เล่นทุกอาทิตย์ เป็นคนมีหลายบุคลิก เกเรก็ได้ แต่ก็ไม่ทิ้งการเรียน สมัยเรียนเข้าเรียน ม.1 ยังไม่ทันรู้จักใครด้วยซ้ำแต่ผมก็เอาตัวเองไปอยู่ในชมรมคอมพิวเตอร์ที่มีแต่เด็กม.ปลาย แล้วก็อาจจะเป็นเพราะผมมีพี่สาวซึ่งห่างกว่ากัน 7 ปี มันเหมือนมีการแข่งขันกัน เป็นคนอยากรู้อะไรเป็นคนแรกแล้วมาเล่าให้เพื่อนฟัง ผมรู้สึกดีที่รู้อะไรก่อนแล้วมาบอกเขา มันจึงเป็นที่มาที่ไปทำให้เราชอบอาชีพนี้ เพราะในชีวิตจริง ถึงเราไม่ถ่ายอยู่ ไมได้อยู่หน้ากล้อง ผมก็เป็นพิธีกรให้ตัวเองตลอดเวลา ผมดำเนินรายการในชีวิตจริงตลอดเวลาอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นชีวิตที่เป็นธรรมชาติของ ผมก็แค่เป็นตัวเอง
สำหรับงานพิธีกร คุณมีแบบอย่างไหม
มันปฏิเสธไม่ได้ว่า มนุษย์ทุกคนล้วนได้รับอิทธิพลมาไม่ทางใดทางหนึ่ง อยู่ที่ว่ารับเอาอิทธิพลมาแค่ไหนถึงจะส่งผลให้การแสดงออกแตกต่างกันไป ผมจะสังเกตตลอดว่า แบบนี้ชอบ แบบนี้ไม่ อะไรที่ผมชอบผมจะเป็น...สิ่งไหนไม่ชอบผมจะไม่เป็น พิธีกรคนไหนดีผมก็จะจำไว้ แต่ในคนๆ เดียวกันนี้อะไรที่ผมไม่ชอบผมก็จะไม่ทำมัน สำหรับผม ทุกคนที่เข้ามาในชีวิตมันมีส่วนกับเราหมด ผมดึงในแต่ละแบบมารวมไว้ ไม่อยากเป็นคนอื่น แค่อยากเป็นตัวเอง
เวลาไม่ได้เป็นพิธีกร แต่เป็นผู้บริหารบริษัทคุณเป็นคนอย่างไร
เป็นแบบนี้แหละ ผมให้เกียรติคนนะ เคยมีคนถามผมว่าถ้าต้องมีลูกน้องซึ่งมีประสบการณ์มากกว่าในบริษัทผมจะทำอย่างไร ผมตอบไปว่า เราต้องให้เหตุผลให้ได้ ถ้าเราทำด้วยเหตุและผล เขาจะยอมทำเอง ผมไม่เคยใช้อำนาจนะ อย่างรายการเทปหนึ่ง ถ้าเขาไม่เชื่อวิธีการของเรา ก็ขอให้ลองดูวิธีของเขาก็ได้ แล้วมาวัดกันเลยว่าอะไรดีกว่า ผมให้พื้นที่เลย ถ้าไม่เชื่อผม คุณจะลองวิธีคุณก็ได้ แต่พอถึงเวลาแล้วมันก็จะไม่ได้ลอง เพราะระหว่างที่ทำกันมันถูกตัดสินแล้วว่าวิธีของไหนดีกว่า ถ้าจะลองวิธีใหม่ก็ต้องเป็นวิธีที่ดีกว่าเดิม ผมไม่จำเป็นต้องเอาชนะใคร
น้องๆ ไม่กลัวพี่เปอร์แน่นอน?
ลูกน้องไม่กลัวผมนะ ทุกคนเป็นทีม เขาเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดงานต่างๆ และผมไม่ได้มองแค่น้องในทีม ใครจะเข้ามาทำงาน ผมสัมภาษณ์เองทุกคน เขาต้องมีทัศนคติในทางเดียวกัน แน่นอนเราไม่เอาเปรียบในเรื่องค่าตอบแทนแน่ๆ แต่เราไม่ได้คิดเรื่องเงินเป็นตัวตั้งเหมือนกัน เราคิดถึงความมีPassionกับเรื่องนี้จริงๆ ซึ่งถ้าคนเป็นแบบนี้เข้ามาจะอยู่กับผมได้ยาว และถ้าเขาไม่ใช่คนแบบนี้เขาก็จะไม่แฮปปี้ที่จะอยู่กับเราไม่นานคนพวกนี้จะเดินจากไปเอง ดังนั้นแทนที่จะห่วงว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรผมแค่ชัดเจน แล้วก็ทำให้มันสุดทาง คนที่ไม่ชอบเขาก็จะเดินออกไปเอง
ชัดเจนอย่างไร
อย่างที่ทำงาน ผมถามกับทุกคนว่า Passion เขาคืออะไร ถามไปสักพักก็จะเรียกมาถามใหม่ ถามอยู่เรื่อยๆ ถามว่า คุณยังชอบแบบเดิมไหม เคยมีน้องที่ทำงานช่วงแรกๆ มาถ่ายรายการกับผมไป ผมรู้เลยว่า เขายังไม่รู้ตัวเองว่าต้องการอะไร และสิ่งที่เขาทำก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาชอบมาก เพราะเราเห็นพฤติกรรมว่า เขายังไปไม่สุดขนาดนั้น เขาไม่แฮปปี้กับการทำงานกับผมแล้ว ผมเองก็ไม่มีความสุขที่จะว่าเขา ผมเองก็ลำบากใจ เพราะรู้ว่าถ้าพูดไปแล้วมันทำร้ายจิตใจ แต่ไม่พูดไม่ได้ ไม่พูดแล้วเขามองไม่เห็น จึงต้องชี้แนะ
มันเหมือนลูกศิษย์ที่อาจไม่ชอบครู แต่วันหนึ่งเขาจะเห็นความสำคัญ สุดท้ายผมเรียกน้องคนนั้นมาถามว่าความต้องการคืออะไร เขาก็ตอบว่าเขายังไม่รู้ รู้แต่เพียงวันที่เขาเชิญ อ.อุ๊ (เคมี อ.อุ๊) มาออกรายการ เขามีความสุขมาก และนั่นก็รู้ว่า อาชีพที่เขาต้องการคือการเป็นครู แล้วเขาก็ไปทำสิ่งที่เขาชอบ ผมก็ยินดีเลย ถ้ารู้ว่าเขาต้องการอะไร ปล่อยเขาไป
ผมจะดูว่า เราสามารถตอบสนองสิ่งนั้นได้หรือไม่ ถ้าพยายามทำได้ก็จะทำ พร้อมจะสนับสนุน หากไม่ได้ก็ต้องให้เขาไปหาสิ่งนั้นด้วยตัวเอง ผมอยากหยิบยื่นโอกาสให้คนอื่นบ้าง เพราะตอนผมทำงานวันแรกก็มีคนหยิบยื่นโอกาสให้
คนอย่างคุณให้ความสำคัญกับความรักมากขนาดไหน
มากที่สุดในชีวิตครับ เวลาผมผิดหวังกับมัน ผมแย่มากนะ เสียใจมาก เคยรู้สึกว่า โลกใบนี้จะมีคนที่เข้าใจเราหรือเปล่า จนโตขึ้นถึงคิดได้ว่าถ้าไม่มีใครเข้าใจก็ไม่เป็นไร ผมก็จะเป็นแบบนี้ ไม่เปลี่ยนแปลงอะไร ผมเชื่อว่าความรักและคนที่เข้าใจผมมันมีอยู่จริงเพราะผมเองก็คิดแบบนี้จริงๆ สมัยเด็กผมรักคนง่ายเพราะผมอยากมีแฟนด้วย แต่พอโตขึ้นมามันเปลี่ยน บางคนเรามองเราก็รู้แล้วไปกับเราไม่ได้
ผู้หญิงแบบไหนที่คุณจะเลือก
คนที่อยู่เป็นเพื่อน และสามารถคุยได้ทุกเรื่องโดยที่ผมไม่ต้องมีอะไรปิดบังอะไรแม้แต่เรื่องเดียว ย้ำเลยนะว่าทุกเรื่อง แม้กระทั่งเรื่องแฟนเก่าที่เราต่างเคยคบกันมาผมลองจินตนาการว่า ถ้าวันหนึ่งหากต้องอยู่กับคนที่คุณมีความลับ คุณจะอึดอัดไหมล่ะ ต้องมากลัวว่าถ้าเขารู้ความลับแล้ว เขาจะเหมือนเดิมหรือเปล่า
เวลาผมมองหาแฟน ผมมองหาคนที่จะมาเป็นครอบครัวเดียวกัน ผมมองหาคนที่ผมจะแต่งงานด้วย ไม่เคยมองจะหาเป็นแฟนชั่วคราวผมคิดแบบนี้ตั้งแต่อายุ 18 แต่ที่เลิกรากันไป ก็อาจเป็นเพราะเป้าหมายของชีวิตอาจไม่สอดคล้องกัน เลยไปไม่ได้
ส่วนเวลาคุยกับผู้หญิง ผมไม่เชิงจีบ ผมไม่จีบใคร แต่ผมเป็นเพื่อนกับเขาก่อน คนไหนผมรู้สึกพิเศษขึ้นมา หลงเสน่ห์ ผมก็จะทำอะไรมากกว่าความเป็นเพื่อน อย่างน้องคนปัจจุบันนี้ ผมชอบ เขาน่ารักดี นิสัยน่ารัก กวนๆ ซ่าส์ๆ เป็นธรรมชาติ ผมชอบอะไรแบบนี้
แล้วคิดว่าเขาชอบคุณด้วยเพราะอะไร
ผมคงตอบไม่ได้ เหมือนกับคำถามว่าทำไมทีมงาน Final Score ถึงเลือกผม แต่ถ้าคิดในมุมของเราก็คงเป็นเพราะ ผมเป็นตัวเองนี่แหละ ความเป็นตัวผมที่ทำให้เขาชอบ เพราะผมเองไม่เคยเป็นอย่างอื่น







