‘นักพูด’ ใครๆ ก็เป็นได้?
เมื่อ "นิ้วกลม" ขึ้นเวที "พูด" กับเขาบ้าง จุดประกายตามไปชวนคุยหลังลงจากเวที กับคำถามสำคัญ ตกลงคิดว่า ตัวเองเป็น "นักพูด" ได้แล้วหรือยัง ?
ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันกับที่สังคมกังขาถึง “นักพูด” ท่านหนึ่ง ก็มี “นัก(อยาก)พูด” อีกท่านหนึ่งได้มีทอล์คโชว์ของตัวเองครั้งแรก.. เขาคือ “นิ้วกลม” หรือ เอ๋-สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ ที่เพิ่งพ้นจากเวที “10 ปี นิ้วกลม ทอล์คโชว์ไม่มีขา” ซึ่งจัดแสดงไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
ลงจากเวทีไม่ทันไร.. จุดประกายเลยขอมาชวนคุยถึงเนื้องาน และความคิดของเจ้าตัวในวันนี้ รวมถึงผลงานหลังไมค์ ว่า เขาประเมินตัวเองอย่างไรกับการเป็นหน้าใหม่ในวงการทอล์คโชว์
O ทอล์คโชว์ของเราเกิดขึ้นในช่วงเดียวกับที่นักพูดคนนึงเป็นกระแส.. มีการพูดถึงเรื่องนี้กันบ้างไหม
ไม่มีเลยครับ แล้วส่วนตัวก็ไม่ได้คิดว่า ตัวเองเป็นนักพูดซักเท่าไหร่ ไม่ได้มองตัวเองว่า จะพูดได้ดี แต่คิดว่า ตัวเองเป็น ‘นักสื่อสาร’ ซึ่งการพูดมันก็เป็นแค่ช่องทางนึงที่จะใช้สื่อสารเท่านั้น
O ในแง่การสื่อสาร เขียนกับพูดต่างกันอย่างไร
ต่างกันมหาศาลเลย งานเขียนมันเป็นงานที่เราให้เวลากับมันได้สามารถที่จะเรียบเรียงความคิด กลั่นกรอง หาข้อมูล ปะติดปะต่อเรื่องราว หรือกระทั่ง edit แก้ไข แล้วอ่านอีก การมีเวลากับสิ่งนั้น ทำให้เนื้อหาทั้งหมด ครบถ้วน สมบูรณ์ และรอบคอบถ้าเปรียบเทียบกับการพูด การเขียนมันก็เป็นสิ่งที่คุณคิดก่อนพูดได้โคตรนาน
ส่วนเสน่ห์ของงานพูด มันอยู่ที่ความสด ไหวพริบ ปฏิภาณ ที่มันเกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น แล้วก็ความรู้สึก อารมณ์ในการที่จะสื่อออกไป งานพูดมันมีลักษณะของการแสดงอยู่ในนั้นด้วย เพราะคุณต้องแสดงอารมณ์บางอย่างเพื่อจะส่งสารออกไปให้มีพลัง แล้วก็ใช้เวลาที่รวดเร็วมากด้วย
อีกอย่างที่ต่างกัน คือ ในส่วนงานเขียนผู้รับสารก็ได้ใช้เวลากับเราด้วย มันเลยมีโอกาสที่จะสื่อสารบางสิ่งที่ซับซ้อนได้ เขาสามารถอ่านแล้วพัก แล้วคิด แล้วก็คิดตามในย่อหน้าถัดไป ทำได้แม้กระทั่ง กูปวดหัวมาก กูวางมึงไว้ก่อน แล้วค่อยกลับมาอ่านมึงใหม่ก็ได้.. นั่นเป็นข้อได้เปรียบของงานเขียน แต่ถ้าเราพูดอะไรที่ซับซ้อนมากคนจะเริ่มตามไม่ทัน บางทีก็เบื่อ หรือไม่ก็หลับไปเลย
O คนอยากฟังนิ้วกลมพูดเรื่องอะไร
สองเรื่อง เรื่องนึง คือ ความคิดสร้างสรรค์ อีกอันก็เป็นเรื่องความสุขในการใช้ชีวิตและการทำงาน
(ทำไม?) อาจเป็นเพราะผมทำงานด้านความคิดสร้างสรรค์มาตลอด ผมเรียนสถาปัตย์ คณะนี้ตั้งแต่ชั่วโมงแรกจนถึงชั่วโมงสุดท้ายให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากๆ เราจะมีมุมมองต่อโลกและตั้งคำถามในแบบของเรา.. อันนี้มันเป็นอย่างอื่นที่ดีกว่านี้ได้มั้ย ทำไมต้องเป็นแบบนี้ ทำไมต้องใช้สีนี้ ทำไมต้องใช้วัสดุนี้ มันถูกสอนมาให้เป็นแบบนั้น ทำให้ทุกๆ งานที่ทำ หรือกระทั่งงานเขียน บางคนอาจสังเกตเห็นหรือไม่เห็นก็ตาม แต่ผมให้ความสำคัญ กับ วิธีการนำเสนอมากๆ
ส่วนเรื่องความสุข อันนี้ชัดมาก ผมอาจจะเป็นคนหมกมุ่นเรื่องความสุขก็ได้ ทุกวันนี้ก็ยังหมกมุ่นอยู่ แต่มนุษย์ทุกคนก็น่าจะหมกมุนเรื่องความสุขนะ เราแสวงหาความสุขอยู่แล้ว เพียงแค่ว่า เราพูดมันออกมาด้วยคำไหนมากกว่า.. บางคนอาจจะบอกว่าไม่ได้ต้องการความสุข เขาต้องการความรู้ ต้องการปัญญา แต่การได้รู้ความรู้ จริงๆ มันก็คือความสุขของเขานะ
O ทุกวันนี้ มีงานเข้ามาเยอะไหม
ก็มีเรื่อยๆ แต่ตั้งใจจะรับงานในจำนวนที่ไม่ทำให้เราเหนื่อยไป ก็มีทั้งงานได้ตังค์ กับงานที่ไม่ได้ตังค์หรือแล้วแต่เขาจะให้ ก็จะบาลานซ์ตัวเอง ทุกวันนี้ ก็มีประมาณเดือนละครั้ง ไม่อยากรับเยอะเพราะมันเหนื่อย วิธีทำงานของผม คือ ถ้าจะพูดก็จะพูดในเรื่องที่เรารู้เท่านั้น ถ้าสมมติมีหัวข้อ ห๊ะ.. ช่วยมาพูดหน่อยว่า ควรจะทำงานกันอย่างมีจริยธรรม อย่างนี้ผมไม่รับ ผมยังไม่แน่ใจว่า ตัวเองมีจริยธรรมพอที่จะไปบอกคนอื่นเขาหรือเปล่า (หัวเราะ) ก็จะปฏิเสธไป
เวลาทำงาน คือ จะเตรียมเนื้อหาที่คิดว่าพูดได้เอาไว้แล้ว ถ้าความต้องการของเขามันแมทช์กับสิ่งที่เรามีอยู่ก็รับ ส่วนเรื่องเตรียมตัว ก็จะเป็นในรายละเอียดของแต่ละงาน เรียนรู้ผู้ฟัง เขาคือใคร มีอาชีพอะไร ปัญหาของเขาคืออะไร ก็เอาสิ่งนั้นมาปรับกับสิ่งที่เราจะไปพูด แต่แกนเป็นแกนเดิม
O ดูไม่น่าจะเหนื่อย?
เหนื่อยนะ ทุกครั้งที่ไปพูด ผมตื่นเต้นทุกครั้ง ไม่รู้ว่า ตัวเองจะไปเจอกับอะไร เขาอาจจะหลับก็ได้ เขาอาจจะไม่ชอบ อาจจะเบื่อก็ได้ การไปพูด คือ คุณอยู่ตรงนั้นคนเดียว คุณต้องดูแล 2-3 ชั่วโมงนั้นให้ดีที่สุด มันก็ใช้พลัง
อีกอย่าง คือ เวลาเราพูดบ่อยๆ ผมไม่ชอบทำอะไรซ้ำๆ บ่อยๆ รูทีน ทำแล้วมันจะชา ชาแล้วมันจะเป็นหุ่นยนต์ แต่การพูดมันต้องใช้ความสด ก็เลยไม่อยากย้ำๆๆๆ มันบ่อยๆ
O เคยศึกษาเรื่องวิธีการพูดไหม
คนชอบอ่านหนังสือเวลาเราสนใจอะไร เราก็ไปหาอ่านหนังสือหมดนะผมว่า อย่างเวลาเราเป็นสิวเราก็ไปหาว่า ทำไงให้ไม่เป็นสิว แน่นอนว่า เวลาเราอยากจะพูด เราก็ไปหาหนังสือที่เขาสอนเกี่ยวกับการพูดมาอ่าน ก็ได้ประโยชน์นะ แต่เราก็ต้องเอามาปรับใช้ว่า อันไหนมันเป็นเรา อันไหนไม่เป็น
O คิดว่า พัฒนาตัวเองเรื่องการพูดแค่ไหน
ก็น่าจะพัฒนานะครับ เพราะเราใส่ใจกับมันด้วย ตอนแรกๆ อาจจะมีชะล่าใจบ้าง คือ เท่าไหรก็เท่านั้น แบบว่า ฉันเป็นฉันเอง คือ กูเป็นเงี้ย กูจะไม่ขำ ก็ไม่ขำ แต่พอเราพูดกับคน ปฏิสัมพันธ์กับคน เราได้รู้ว่า การที่เราพยายามปรับปรุงวิธีการพูดของตัวเอง มันก็คือ การให้เกียรติคนฟังด้วยเขาก็เสียเวลานะที่มาฟังมึงเนี่ย ไม่ใช่มึงเสียเวลาคนเดียว
มองว่าหน้าที่คือ มีสองอย่าง หนึ่งคือส่งเนื้อหาดีๆ ออกไป และสอง.. คุณต้องสร้างความรื่นรมย์ให้เขาด้วย แล้วพอใส่ใจแล้ว ก็จะเริ่มเห็นจุดอ่อนของตัวเอง ก็จะเริ่มสนใจในการทักทายมากขึ้นมีปฏิสัมพันธ์กับคนฟังมากขึ้นออกแบบการพูดจัดเรียงเนื้อหาที่ดีขึ้น
แต่ทั้งหมดทั้งมวล ทัศนคติที่เปลี่ยนไปมากๆ คือ ผมว่า เราต้องรักคนฟัง ให้เกียรติเขา ผมเพิ่งเรียนรู้สิ่งนี้ในช่วงหลังๆ และที่มากที่สุด ก็คือ ทอล์คที่เพิ่งผ่านไป เพื่อนผมที่เป็นผู้กำกับสอนมา แล้วโคตรใช่เลย มันบอกให้ผมออกไปด้วยความรู้สึกที่คิดว่า ผมมีเรื่องนี้ที่คิดว่ามันมีคุณค่า อยากจะมาเล่าให้ฟัง ส่วนเขาจะฟังด้วยความรู้สึกแบบไหน ก็ไม่เป็นไรแล้ว แต่การออกไปด้วยความรู้สึกแบบนี้ มันมีพลัง
O เคยเจอประสบการณ์แย่ๆ บนเวทีไหม
นานมาแล้ว ไปพูดที่มหาวิทยาลัย เป็นงานใหญ่ พูดในฮอลล์ที่ใหญ่มาก แต่ไม่มีคนฟังเลย (หัวเราะ) มีคนฟังประมาณยี่สิบคน จนมหาลัย เขาต้องไปเกณฑ์คนมาฟัง
(แล้วจัดการกับความรู้สึกตัวเองอย่างไร) ทุกครั้ง เวลาขึ้นไปบนเวทีแล้ว ก็ต้องทำให้มันเต็มที่ ถ้ามันมีแค่นั้น เราก็ต้องใส่พลังเข้าไปทั้งหมด ให้คนยี่สิบคน อย่างแรกคือเขาต้องฟังเรา สองคือ เขาต้องได้อะไรกลับไปบ้างนะ ความคาดหวังมีแค่นี้ อย่าถึงขั้นหลับเลย ทุกครั้งที่ไปพูดก็จะคิดอย่างนี้เสมอ ไม่ว่าจะพูดให้คนร้อยคน หรือพันคนฟัง ขอแค่ซักคนได้อะไรติดหัวกลับไป เราคิดว่าเราโอเค
O เรียนรู้อะไรบ้าง
อย่าโลภ เราต้องอย่าคาดหวังว่า คนฟังจะจดจำทุกสิ่งที่เราพูด ไม่จำเป็นต้องพูดหลายเรื่อง แต่พูดแล้วให้คนจำอะไรบางอย่างได้ อย่างที่สองคือ ความสนุกเป็นเรื่องสำคัญ ผมคิดว่า การพูดที่ทำให้คนหัวเราะ มักจะเป็นการพูดที่คนประทับใจ แล้วก็มักจะเป็นคำพูดที่เข้าไปอยู่ในสมองคนด้วย ทุกครั้งที่เขาอ้าปากหัวเราะ กำแพงมันทลายลงแล้ว เขาพร้อมที่จะเปิดรับสิ่งที่เราอยากจะบอก
ทุกครั้งที่ไปพูด จะไปด้วยความรู้สึกเป็นมิตร เราเป็นเพื่อนกันน่ะ เราอยู่ในสถานะ ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าใคร เราแค่มาแชร์กัน ผมว่า คนเราไม่มีใครรู้ทุกเรื่อง เราผ่านประสบการณ์มาคนละแบบ ผมก็แค่มาบอกประสบการณ์บางอย่างที่คนอื่นอาจจะไม่มี
O นักพูดสายประกวด ก็มีแพทเทิร์นประมาณหนึ่ง แล้วเรื่องแบบนี้เราสนใจไหม
ไม่สนรายละเอียดขนาดนั้น คือ ผมเป็นแบบนี้มาตลอด เราให้ความสำคัญกับคุณค่าการเป็นตัวของตัวเองสูงอยู่เหมือนกัน เวลาเรามองใคร เราไม่ได้อยากเป็นแบบนั้นนะ แต่เราอยากให้เราเป็นเราในแบบที่พูดเป็น ก็ต้องไปดูว่า เรามีจุดบอดตรงไหน
อย่าง.. เฮ้ย! ทำไม 5 นาทีแรก มันห่วยจังวะ ก็ต้องมาสตาร์ทใหม่ เช่น ให้คนดูทำอะไรบางอย่าง เช่น พี่โน้ส จะชวนคนดูว่า หากว่าเรากำลังสบายจงปรบมือพลัน..อะไรแบบนี้ ซึ่งมันจะเป็นทริค แต่เราต้องเอาทริคนั้นมาทำให้เราเป็นเราให้ได้
O อย่างนั้น 5 นาทีแรกของ นิ้วกลม เป็นยังไง
ผมมักจะเปิดตัวด้วย การพูดว่า คุณคงไม่รู้จักผม แล้วผมก็จะแนะนำผลงาน หรือรายการที่ผมทำ แต่ผมจะไม่ถามว่า มีใครเคยดูรึเปล่า เพราะผมกลัวเสียงแอร์ดังมาก (หัวเราะ) คงไม่ค่อยมีใครได้ดู หรือ รู้จักเรามากนัก แล้วผมก็ไม่ได้เก่งไปกว่าใคร ผมแค่มีอะไรที่อยากจะแชร์ให้ฟัง
O ถ้าเราไม่เก่ง แล้วทำไมคนต้องฟังเรา
เราไม่จำเป็นจะต้องฟังคนที่เก่งนะ..ไม่จำเป็นเลยเราสามารถเรียนรู้ได้จากทุกคน มันขึ้นอยู่กับทัศนคติของเรามากกว่า ว่า เราอยากเรียนรู้รึเปล่า ถ้าเราอยากเรียนรู้..คนที่ผิดพลาดมาทั้งชีวิต เราก็น่าจะเรียนรู้จากเขาได้
แต่ถ้าถามว่า ทำไมเขาต้องฟังเรา ผมคิดว่า เพราะเรามีประสบการณ์ไม่เหมือนกันเท่านั้นเองครับ มันไม่ได้มีใครมีประสบการณ์ดีกว่า แย่กว่า หรือสูงส่งกว่า.. ไม่เหมือนกัน ก็น่าฟังแล้ว
O พักหลัง ดูเหมือนจะมีเวทีให้คนธรรมดาๆ ได้ขึ้นเวทีพูดมากขึ้นด้วย
มันเป็นเรื่องปกติมากของสังคมมนุษย์นะ เพราะมนุษย์เราเรียนรู้จากการพูดคุยกัน แล้วเราก็เพิ่งผ่านยุคเซเลบริตี้มา โดยสื่อกระแสหลักอย่าง ทีวี แมกกาซีน หรือ หนังสือพิมพ์ ที่ทำให้จะต้องเป็นคนดังคุณถึงได้ยินเสียงเขา จริงๆ แล้ว แต่ก่อนมันก็คือ การล้อมวงรอบกองไฟ พอหัวหน้าเผ่าพูดเสร็จ ทุกคนก็จะแชร์ได้..เช่น เฮ้ย มึงไปล่าสิงโตมา มึงพลาดตรงไหนวะ หรือ ไอ้คนนี้มันล่าเก่ง มันทำยังไง ผมว่า ทุกคน ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์แล้ว เราเรียนรู้กันผ่านบนสนทนา คือ คุณไม่ต้องเป็นคนสำคัญ หรือ คนสำคัญมีจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ หรือ เพราะสื่อทำให้เขาสำคัญไปเองหรือเปล่า
ผมคิดว่า ทุกคนมีภูมิความรู้ที่แลกเปลี่ยนกันได้ ทุกคนก็ขึ้นเวทีได้ แต่ต้องเทรนนิดนึงนะ(ยิ้ม)ทุกคนมีเรื่องเล่า ขอแค่เล่าได้ดี ผมว่า ทุกเรื่องก็น่าฟัง
O ทั้งหมดที่ขึ้นไปพูด คือ เราคิดแบบนั้นจริงๆ ?
ใช่ครับ (เราสามารถพูดในสิ่งที่ไม่เชื่อได้มั้ย?) ผมว่า พูดได้นะ คือ มันอยู่ที่ว่า เราวางตัวเป็นอะไร อย่างผมก็พูดได้ แต่ผมไม่พูด คือ ไม่รู้จะพูดไปทำไม ผมเคยทำงานโฆษณา ซึ่งมันก้ำกึ่งมาก ในเรื่องที่แบบ.. เราเชื่อ หรือ เราไม่เชื่อ ผมตั้งคำถามนี้มาตั้งแต่สมัยเริ่มทำโฆษณา เช่น คุณจะต้องทำให้จั๊กกะแร้ขาว แต่เวลาเราตั้งคำถามไปเรื่อยๆ มันจะเริ่มซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ
สมมติว่า เราอาจจะไม่เคยต้องการจั๊กกะแร้ขาวเลยก็ได้ แล้วมันก็ถูกสร้างด้วยสื่อต่างๆ ใช่มั้ย แต่ถ้าถามดูว่า ในชีวิตประจำวัน ผู้หญิงเวลาขึ้นรถไฟฟ้า (ทำท่าโหนราว) ผู้ชายมันก็มองจริงๆ ผมว่า มันก็มีความซับซ้อนของมัน แต่ไอ้ที่จะเล่าก็คือว่า ในงานโฆษณาที่เคยทำ มีพี่คนนึงสอนว่า อะไรที่คุณไม่เชื่อ คุณอย่าเพิ่งเขียน คุณต้องทำให้ตัวเองเชื่อให้ได้ก่อน เพราะถ้าคุณทำมันลงไปทั้งๆ ที่คุณไม่เชื่อ มันก็ไม่ดีด้วย แล้วมันก็ไม่มีพลัง
ผมก็ใช้หลักนี้มาตลอด คือ ถ้าสงสัย ก็จะหาเหตุผลของมันให้เจอให้ได้ แล้วก็ไม่ได้คิดว่า เราจะต้องทำหรือพูดอะไรบางอย่างเพื่อปังแล้ว..ผมไม่คิดแบบนั้น หรือถ้ามีสินค้ามาให้เป็นพรีเซ็นเตอร์ผมก็ต้องเลือกจากสิ่งที่ผมเชื่อ ผมไม่มีทางไปพูดในสิ่งที่ผมไม่เชื่อแล้วได้ตังค์
O ทอล์คโชว์ล่าสุด ให้คะแนนตัวเองเท่าไหร่
ให้ 8 เต็ม 10 ครับ.. (ที่ขาดไปคือ ?) ผมพูดเสมอว่า มันเป็นงานที่ยากที่สุดในชีวิตของผม สองคะแนนที่ขาดไป ก็มีไว้สำหรับการพัฒนาครับ (หัวเราะ) คือ ผมยังไม่เป็นธรรมชาติ ผมยังกังวลกับสคริปต์ ยังกังวลกับบล็อกกิ้งบนเวที สิ่งเหล่านี้ มันลดทอนความสด และความไหลลื่นของการพูด และผมอยากจะมีบุคลิกของ ‘ไอ้เอ๋’ ข้างล่างเวทีมากกว่านี้ คือ ผมเป็นคนกวนตีน ล้อเล่น แต่พอไปอยู่บนเวที ไอ้สิ่งเหล่านั้นมันหายไป ซึ่งผมไม่แปลกใจถ้ามันจะหายไป เพราะเอาแค่ สิ่งที่จะต้องทำ ก็จะตายอยู่แล้ว
O คิดจะทำต่อ ?
จริงๆ ยังอยากทำ และโดยส่วนตัวผมอยู่ระหว่างเส้นของเบื้องหน้ากับเบื้องหลังแบบปนๆ แบบนี้มาโดยตลอด เวลาที่คิดว่าจะทำโชว์ คือ ผมไม่อยากเรียกมันว่า ทอล์คโชว์เลย เพราะผมไม่ได้สนุกกับการออกไปพูดเท่านั้น แต่ผมสนุกตั้งแต่แรกเลย เล่ายังไงดี มันต้องแสงสีเสียงแบบไหน ต้องมีใครขึ้นมา เพลงต้องเป็นแบบไหน กราฟอารมณ์จะเป็นแบบไหน โชว์ครั้งหน้า มันอาจจะทอล์คน้อยหน่อยก็ได้ เรากำลังถางทางอีกทางนึงอยู่ที่มันเป็นทางของเรา เพราะเราก็ทำอย่างพี่ๆ เขาไม่ได้ เราไม่ได้มีความสามารถขนาดนั้น
O ยังยืนยันว่า ไม่ใช่นักพูด?
ไม่ใช่แน่ๆ ครับ ถ้าเป็นนักพูดก็คงจะพูดได้ดีกว่านี้ ได้คล่องกว่านี้ ได้หลายเรื่องกว่านี้ แล้วถ้าสมมติว่า ไม่ให้ผมได้เตรียมตัวเลย แล้วโยนผมขึ้นไปบนเวที ผมทำไม่ได้ ผมเป็นคนที่จะต้องดีไซน์บางอย่าง ถึงจะทำได้ คือ เป็นคนที่ชอบคิด แล้วก็ชอบสื่อสาร
O จะมีวันที่ งานพูดมันไม่สนุกที่จะทำแล้วไหม
ก็อาจจะมีนะ ผมเลิกสนุกไปหลายอย่างแล้ว แต่ผมชอบคุยกับผู้คน อาจจะเป็นเพราะเราชอบเดินทาง ชอบอ่าน ชอบสนทนากับผู้คน เรามักจะได้ความคิดใหม่ๆ ความรู้บางอย่างที่มาปะทะกันอยู่ในหัว แล้วคนเรา.. พอเก็ตอะไรบางอย่าง ก็อยากจะสื่อสารออกไป มันก็ต้องมีเรื่องที่ยังอยากสื่อสาร แต่พอดีว่าเรียนออกแบบ เราก็มีสิทธิที่จะทำอะไรได้เยอะ อาจจะออกแบบเก้าอี้มาตัวนึงเพื่อที่จะสื่อสาร อาจจะทำนิทรรศการ เราอาจจะถ่ายภาพ ทำเอ็มวี หรือว่า แต่งเพลง
..มันเป็นไปได้หมด ก็แค่ๆ ทดลองไป
--------------------------------------
หมายเหตุ : ขอบคุณภาพจากงาน “10 ปี นิ้วกลม ทอล์คโชว์ไม่มีขา”







