แซม โชติบัณฑ์ "ไม่มีคำว่าดีที่สุดสำหรับผม"

แซม โชติบัณฑ์ "ไม่มีคำว่าดีที่สุดสำหรับผม"

นายแบบหนุ่มที่ตกหลุมพรางของจักรยาน ซึ่งนำเขาเข้าสู่การเป็นนักไตรกีฬาเต็มตัว

คุณรู้จักผู้ชายคนนี้หรือเปล่า “แซม โชติบัณฑ์”

ถ้ารู้... คุณรู้จักเขาในมุมไหน ดารา นักแสดง นายแบบ นักร้อง ครีเอทีฟ หรือว่านักกีฬา ?

ไม่เป็นไร เพราะไม่ว่าคุณจะรู้จักเขาในมุมไหนก็ถูกทั้งนั้น โดยเฉพาะบทบาทของการเป็นนักกีฬา…นักกีฬาที่ไม่เคยมีคำว่า “ท้อ” อยู่ในพจนานุกรมของร่างกายและหัวใจ

“ผมเป็นคนเล่นกีฬามาตั้งแต่เด็กครับ เล่นทุกอย่าง ฟุตบอล วิ่ง ว่ายน้ำ คริกเก็ต จักรยาน รักบี้ เรียกว่ากีฬาทุกชนิดผมเล่นหมด แต่รักบี้เนี่ยเคยเล่นตอนอยู่ที่อังกฤษแล้วโดนชนจนไหล่หลุดก็เลยเลิกเล่นไปเลยครับ (หัวเราะ) พอมาเมืองไทยเราก็เตะบอลตลอดจนมีเพื่อนมาชวนไปซ้อมกับโค้ชที่มาจากสโมสรเซาเปาโล ของประเทศบราซิล  ซึ่งเค้าก็พาเราไปเตะตั้งแต่ลีกล่างๆ จนชนะเลื่อนลีกขึ้นมาเรื่อยๆ ทีนี้สโมสรยาสูบก็มาขอซื้อทีมนี้ไป และหลังจากนั้นไม่นานสโมสรยาสูบก็ได้แชมป์ไทยพรีเมียร์ลีกเลยครับ ความดีความชอบต้องให้โค้ชคนนี้เต็มๆ เลย เพราะเขาเข้ามาเปลี่ยน มาวางระบบทีมทุกอย่าง จากทีมธรรมดาๆ จนก้าวไปเป็นแชมป์ มันคือตำนานครับ”

หลังได้แชมป์ไม่นาน ก็ถึงการตัดสินใจครั้งสำคัญของชีวิต แซมต้องเลือกระหว่างเส้นทางนักกีฬา หรือเส้นทางในวงการบันเทิง ซึ่งตอนนั้นเขาเลือกอย่างหลัง เพราะเส้นทางแรกในขณะนั้นดูไม่เหมาะที่จะทำเป็นอาชีพหาเลี้ยงชีพสำหรับเขาเท่าไหร่นัก

รับคำท้ามุ่งสู่ไตรกีฬา

“แซม ลองดูสิ สนุกดีนะ” คำชวนที่แฝงด้วยความท้ามายจากเพื่อนสนิทของแซม ตอนนั้นเพื่อนคนนี้ถ่ายรูปตัวเองคู่กับจักรยานมาให้ดู และคำตอบของเขาคือ “มันจะไปยากอะไรแค่ปั่นจักรยาน”

“มันไม่ง่ายแบบนั้นนะ ลองดูสิ”

“ได้ เดี๋ยวจะโชว์ให้ดู” แซมคิดในใจพร้อมกับรับคำท้าเพื่อพิสูจน์ให้เพื่อนดูว่าการปั่นจักรยานไม่ได้ยากสำหรับเขาเลย เพราะเขาปั่นมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว แต่หลังจากปั่นจักรยานได้ไม่นานแซมเริ่มรู้สึกว่าเขาคงจะหลงกลเพื่อนคนนี้เข้าให้แล้ว

เมื่อปั่นจักรยานมาได้สักพักหนึ่งแล้ว แซมจึงเริ่มหาความท้าท้ายต่อไปให้กับตัวเองด้วยการไปเรียนที่โรงเรียนสอนไตรกีฬา  ซึ่งที่นี่จะสอนทุกอย่างสำหรับการเป็นนักกีฬาตั้งแต่ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ วิ่ง และการใช้ชีวิตแบบนักกีฬา

เพียงสองเดือนหลังจากเรียน แซมเริ่มลงแข่งไตรกีฬาสนามแรกของตัวเองในการแข่งขันลากูน่าภูเก็ตไตรกีฬา 2013 และคว้าอันดับที่ 6 ไปครอง ซึ่งต้องถือว่าไม่ธรรมดาเลยสำหรับคนที่ลงแข่งครั้งแรก แต่แซมไม่ได้พอใจเพียงเท่านี้ เพราะหลังจบการแข่งขันเขารู้สึกว่าตัวเองยังทำได้ดีกว่านี้อีกแน่ๆ

ค้นหาตัวเอง

ทุกครั้งที่แข่งจบแต่ละสนาม แซมจะตั้งคำถามกับตัวเองเสมอว่า เราพลาดอะไรไป แล้วเราจะพัฒนาตรงนั้นได้อย่างไร เมื่อตั้งคำถามเสร็จแล้ว ต่อไปคือวิธีหาคำตอบและลงมือทำ เริ่มจากการสังเกตตัวเอง ซึ่งแซมบอกว่าตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองมีน้ำหนักมากเกินไปสำหรับไตรกีฬา ทำให้เขาต้องแบกน้ำหนักส่วนเกินกว่าสิบกิโลกรัมไปแข่ง สิ่งที่เขาทำคือลดน้ำหนักด้วยการควบคุมอาหารพร้อมๆ กับกินอาหารที่เหมาะสำหรับการแข่งไตรกีฬา และซ้อมให้หนัก !!! รวมถึงใช้เวลาที่มีอยู่ให้คุ้มค่าที่สุด เพราะเขายังมีงานประจำที่ต้องทำจึงไม่มีเวลาซ้อมอย่างเต็มที่มากนักนอกจากเช้าและเย็น  

แล้วเวลาที่รอคอยก็มาถึง แซมตัดสินใจลาออกจากงานประจำเพื่อมาเป็นนักกีฬาไตรกีฬาเต็มตัว !

“ชีวิตการทำงานมันเหมือนขาดอะไรบางอย่างครับ เราก็ไม่รู้ว่ามันขาดอะไรนะ รู้แต่ว่ามันขาด เราเลยอยากออกมาค้นหาตัวเอง ซึ่งเราเชื่อว่าการเป็นนักกีฬาไตรกีฬานี่แหละน่าจะตอบโจทย์ในชีวิตเราได้ พอตัดสินใจว่าจะลาออกแล้ว เราไม่กังวล ไม่ลังเลเลย แต่อึดอัดมากว่าเมื่อไหร่จะได้ออกสักที (หัวเราะ)”

สารเสพติดเพื่อชัยชนะ

หลังออกจากงานแล้ว ตารางการฝึกของแซมก็หนักขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว จากเมื่อก่อนจะฝึกประมาณอาทิตย์ละสิบชั่วโมง แต่ตอนนี้กลายเป็นอาทิตย์ละยี่สิบชั่วโมงขึ้นไป เพราะเขาเชื่อว่าถ้าอยากชนะคนที่เก่งกว่าเรา มีทางเดียวคือต้องฝึกให้มากกว่าคนที่อยากชนะเท่านั้น จะท้อไม่ได้เด็ดขาด ถ้าเริ่มรู้สึกว่าท้อเมื่อไหร่ต้องเปลี่ยนความรู้สึกนั้นให้เป็นเป้าหมายในการเอาชนะทันที... นอกจากนี้ แซมยังยอมรับว่า เขาติดสารเสพติด...แต่เป็นสารเสพติดที่หลั่งออกมาจากสมองนะ... ซึ่งเราเรียกมันว่า “ฮอร์โมนเอนโดฟิน” หรือ “สารแห่งความสุข” ที่จะออกมาทุกครั้งหลังการออกกำลังกายอย่างหนัก

ผลการฝึกซ้อมอย่างหนัก ทำให้แซมเริ่มคว้าแชมป์ได้มากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงรางวัลชนะเลิศในการแข่งขัน “ร็อคแมน ห้วยไม้เต็ง ราชบุรี” แต่เสียดายที่การแข่งนี้คนที่เขาอยากชนะกลับไม่ได้มาแข่ง...

ผมกำลังปีนเขา

สำหรับเป้าหมายต่อไปของแซมนั้น เขาบอกกับเราว่าอันดับแรก ขอเป็นคนที่เก่งที่สุดในประเทศไทยก่อน หลังจากนั้นอยากเข้าไปแข่งไอรอนแมน เวิลด์ แชมป์เปี้ยนชิพ ซึ่งเป็นการแข่งขันไตรกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในโลก

“ผมเป็นคนที่ชอบแข่งขัน ชอบเอาชนะ อยากเอาชนะตัวเองก่อนแล้วถึงเอาชนะคนอื่นครับ มันคล้ายๆ กับการปีนเขา พอเราปีนมาได้จุดหนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นไปมอง เอ๊ะ บนนั้นก็สวยนะ ดูๆ ไปแล้วเราก็น่าจะขึ้นไปได้อีก ซึ่งมันเป็นแบบนี้ทุกครั้งครับ พอจบการแข่งขันนี้ เราก็คิดว่าครั้งหน้าต้องดีกว่านี้ให้ได้”