ไป “เลย” ตามศรัทธา

ไม่ว่าจะกี่ครั้ง “เลย” ก็ยังเป็นจังหวัดที่น่ารักและมอบความสุขให้กับนักเดินทางที่ผ่านไปเยี่ยมเยือนอยู่เสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน
เราเดินทางมาถึง “เมืองเลย” ในเช้าตรู่ของวันหนึ่ง ประเทศไทยในวันนั้นยังอยู่ในฤดูฝนตามปฏิทินแห่งฤดูกาล แต่สำหรับ เลย “หนาวแล้วจ้า”
ผ้าคลุมไหล่ผืนบางๆ ที่เตรียมมาสำหรับกันแดดจึงต้องแปรสภาพมาเป็นผ้าพันคอแทน สมกับที่เป็น “เมืองแห่งทะเลภูเขา สุดหนาวในสยาม” จริงๆ
เลย เป็นเมืองท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่โอบล้อมด้วยภูเขาสลับซับซ้อนมากมาย บนยอดภูสูงๆ ก็มักจะมีสายหมอกห่มคลุมในยามเช้า ไม่ว่าจะเป็นภูหลวง ภูกระดึง หรือภูเรือ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ และมักเป็นคำเสิร์ซยอดฮิตในช่วงหน้าหนาวด้วย นี่ขนาดเรามาก่อนหนาวยังเจออุณหภูมิ 15 องศาฯ จนได้
ทุกครั้งที่มาเลยเราต้องวางแผนการเดินทางอย่างละเอียด เพราะเลยเป็นจังหวัดใหญ่และมีทรัพยากรหลากหลาย รวมถึงศิลปวัฒนธรรม วิถีชีวิต และความงดงามตามธรรชาติก็แตกต่าง จะมาแต่ละครั้งจึงต้องถามใจตัวเองว่า อยากมาทำอะไร
ถ้าอยากมาชมวิถีชีวิตผู้คนที่สงบงามริมลำโขงเป้าหมายของทุกคนมักอยู่ที่ “เชียงคาน” แต่สำหรับคนที่รักการเดินป่า ปีนเขา เพื่อไปเฝ้ารอชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกแบบโรแมนติก “ภูกระดึง” คือปลายทางที่พวกเขาเลือก
ประเพณีดีๆ ที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลกยกให้ประเพณีผีตาโขนที่ “ด่านซ้าย” และสำหรับสาย “ปั่น” เส้นทางพิชิตภูป่าเปราะในเขต “หนองหิน” ถิ่นแดนที่มี “ฟูจิเมืองเลย” ตั้งอยู่ น่าจะเป็นเส้นทางสุดท้าทายของพวกเขา
แต่สำหรับเรา ครั้งนี้ตั้งใจมาไหว้พระ เพราะได้ยินว่า เลยเป็นจังหวัดที่มีวัดอยู่มากมาย ทั้งวัดที่สร้างขึ้นใหม่ และวัดเก่าโบราณ เช่นที่ อำเภอภูเรือ และ อำเภอด่านซ้าย ซึ่งเป็นปลายทางในครั้งนี้ ก็มีวัดที่สวยงามและเป็นที่เคารพศรัทธาของชาวเลยและชาวไทยไม่น้อยทีเดียว
...........................
เราเดินทางไปยัง วัดป่าห้วยลาด เป็นที่แรก เพราะตั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวอำเภอภูเรือเท่าไร วัดแห่งนี้แม้จะเป็นวัดใหม่ที่เพิ่งบูรณะขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2538 ทว่า ก่อนนั้นเคยเป็น “สำนักสงฆ์ห้วยลาด” ที่ก่อตั้งโดย หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ที่ธุดงค์มายัง “ภูคลั่ง” ใกล้ๆ บ้านห้วยลาด ในครั้งนั้นชาวบ้านมีความศรัทธาเลื่อมใสจึงอาราธนานิมนต์องค์หลวงปู่ชอบมาตั้งสำนักสงฆ์ห้วยลาด ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2483 เป็นต้นมา
ภายหลังก่อตั้งสำนักสงฆ์ หลวงปู่ชอบก็ได้พำนักอยู่ที่นี่เพื่ออบรมสั่งสอนชาวบ้าน จนถึงระยะหนึ่งท่านจึงได้เดินทางจาริกธุดงค์ต่อไป แต่ใช่ว่าที่นี่จะไร้ร้างครูบาอาจารย์ เพราะหลังจากนั้นก็มีพระกรรมฐานสายพระอาจารย์มั่นมาพำนักเพื่อปฏิบัติธรรมจำพรรษาเป็นประจำทุกปี เช่น หลวงปู่ลี กุสลธโล, หลวงปู่ปุญญฤทธิ์ ปัณฑิโต, พระอาจารย์จันเรียน คุณวโร, พระอาจารย์นิพนธ์ อภิปสันโน ฯลฯ
ในสมัยเป็นสำนักสงฆ์ ที่นี่มีสภาพเป็นเพียงกระต๊อบเล็กๆ มุงหญ้าคา พื้นปูด้วยฟากไม้ไผ่ อยู่แบบเรียบง่ายเท่านั้น จนพระอาจารย์จันเรียนมาจำพรรษาในช่วงปี พ.ศ.2518 ก็ได้ก่อสร้างศาลาการเปรียญขึ้น จนกระทั่งพระอาจารย์อุทัย ฌานุตตโม หรือพระอาจารย์ติ๊ก จาริกธุดงค์ผ่านมาเห็นสถานที่เป็นสถานที่เป็นมงคล แต่ตกอยู่ในสภาพทรุดโทรม จึงดำริว่าควรจะมีผู้อยู่ประจำเพื่อยกระดับให้สำนักสงฆ์เป็นวัดแบบถาวร ปี พ.ศ.2538 อาจารย์ติ๊กจึงเป็นผู้นำในการพาชาวบ้านห้วยลาดมาพัฒนาสำนักสงฆ์ห้วยลาดให้เป็นวัด พร้อมๆ กับการปลูกป่า จากเดิมมีเนื้อที่ราว 17 ไร่ ก็ขยายมาเป็น 370 ไร่ โดยความเลื่อมใสศรัทธาของพุทธศาสนิกชนที่ร่วมกันบริจาคที่ดินถวายวัด
การบูรณะและพัฒนาเป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็ว จนสามารถจดทะเบียนตั้งเป็นวัดได้ในปี พ.ศ.2540 โดยมีพระอาจารย์สมบูรณ์ ปุญญกาโม ที่พระอาจารย์ติ๊กนิมนต์มาช่วยดูแลการบูรณะเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าห้วยลาดรูปแรก และวัดป่าห้วยลาดก็ได้รับพระราชทาน “วิสุงคามสีมา” หรือ เขตที่พระมหากษัตริย์พระราชทานแก่สงฆ์เพื่อใช้เป็นที่สร้างโบสถ์ ในวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ.2542 สังเกตได้จากพระปรมาภิไธย ภ.ป.ร. และพระนามาภิไธย ส.ก. ที่ประทับคู่อยู่บนหน้าบันศาลาเฉลิมพระเกียรติ
ภายในศาลาเฉลิมพระเกียรติ มีพระประธานสีขาวบริสุทธิ์ที่สร้างด้วยแร่แคลไซด์ ประดิษฐานอยู่ตรงกลาง โดยมีนามว่า “พระสัพพัญญูรู้แจ้ง สามแดนโลกธาตุ” เป็นพระประธานที่พระอาจารย์ติ๊ก คณะกรรมการวัด รวมถึงประชาชน ได้ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างขึ้นเนื่องในมหามงคลสมัย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ในปี พ.ศ. 2549 และทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา ในปี พ.ศ.2550
ด้านหน้าองค์พระประธานมีรูปปั้นเกจิอาจารย์ชื่อดังจำนวน 32 องค์ ส่วนด้านล่างก็กำลังมีการก่อสร้าง “มณฑลท้าวพิทักษ์ไตรสรณคมนาคราช” ที่ยิ่งใหญ่ โดยทุกๆ สิ่งที่สร้างขึ้นล้วนมีความหมาย และสัมพันธ์กับพุทธศาสนา เมื่อสร้างเสร็จคาดว่าวัดป่าห้วยลาดน่าจะเป็นวัดท่องเที่ยวเชิงศาสนาที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของประเทศไทย
อีกวัดที่สำคัญและสวยงามมากๆ คือ วัดสมเด็จภูเรือมิ่งเมือง หรือที่รู้จักกันในชื่อ “วัดพระกริ่งปรเมศร์” วัดแห่งนี้สร้างขึ้นโดยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่พระราชทานให้ซื้อที่ดินสร้างวัดเมื่อครั้งเสด็จนำแพทย์อาสาลงพื้นที่ช่วยเหลือราษฎร
บนยอดเขาเล็กๆ นั้น เป็นที่ประดิษฐานของ “พระพุทธเจ้าไภสัชยาคุรุไวฑูรยประภา จอมแพทย์ (พระกริ่งปวเรศ)” พระพุทธรูปปางหมอยา ซึ่งสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงเป็นประธานในสร้าง และถวายพระบรมสารีริกธาตุเพื่อบรรจุไว้ที่องค์พระปฏิมากร อยู่ภายในโบสถ์ไม้สักหลังโต รายรอบด้วยวิหารไม้สักทั้ง 4 ทิศ ที่โดดเด่นคือการแกะสลักตามประตู หน้าต่าง หรือผนังของอาคาร ดูละเอียดและอ่อนช้อยงดงามมาก ส่วนพระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ภายในวิหารต่างๆ นั้น เป็นพระพุทธรูปหินหยกที่ได้จากแม่น้ำโขง น้ำหนักมากนับร้อยตัน ซึ่งบรรทุกมาทางเรือจากพม่า เมื่อนำมาแกะสลักเป็นพระพุทธรูปแล้วจึงทรงคุณค่าและสง่างามมาก
ภายในวัดแห่งนี้ยังมีโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่อีกมากมาย ไล่มาตั้งแต่ยอดเขาจนมาถึงเชิงเขาด้านล่าง คาดว่าเมื่อแล้วเสร็จจะสมบูรณ์สวยงาม และเป็นวัดที่ชาวภูเรือภาคภูมิใจมากที่สุดอีกแห่งจริง
.................................
อำเภอภูเรือกับอำเภอด่านซ้ายถือว่าอยู่ไม่ไกลกันมาก เวลามาเที่ยวภูเรือจึงมักต้องแวะด่านซ้ายอยู่เสมอ แน่นอนว่า ด่านซ้ายมีศาสนสถานที่ชาวเลย ชาวไทย ตลอดจนชาวลาว ให้ความศรัทธาร่วมกัน นั่นคือ พระธาตุศรีสองรัก ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำหมัน อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย
พระธาตุศรีสองรัก เป็นเจดีย์ที่ก่อด้วยอิฐถือปูนมีฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาดกว้างด้านละประมาณ 8 เมตร สูงประมาณ 32 เมตร สร้างขึ้นสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช เมื่อปี พ.ศ. 2103 เสร็จในปี พ.ศ. 2106 โดยสร้างขึ้นเพื่อเป็นสักขีพยานในการช่วยเหลือซึ่งกันและกันระหว่างกรุงศรีอยุธยา(สมัยพระมหาจักรพรรดิ) และกรุงศรีสัตนาคนหุต (ปัจจุบันคือ เวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว) เพื่อปกป้องการรุกรานของพม่า
เมื่อมาถึงนักท่องเที่ยวจะต้องเดินขึ้นบันไดนาคไปจนถึงลานเล็กๆ ซึ่งตรงกลางมีพระธาตุศรีสองรักประดิษฐานอยู่ ซึ่งข้อห้ามที่ควรรู้ก็คือ ห้ามใส่เสื้อผ้าสีแดงมาสักการะเด็ดขาด เพราะเชื่อกันว่าเป็นสีของเลือด จึงไม่อนุญาตให้ผู้ที่สวมใส่สีแดงเข้าสักการะ และในทุกวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ชาวอำเภอด่านซ้ายและชาวลาวจะร่วมกันจัดงานสมโภชพระธาตุขึ้น โดยจะนำต้นผึ้งมาถวายพระธาตุ ถือเป็นประเพณีอันศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดขึ้นประจำทุกปี
ใกล้ๆ กับพระธาตุศรีสองรัก เป็นสถานที่ตั้งของวัดดังอีกแห่ง นั่นคือ วัดเนรมิตวิปัสสนา ที่ได้ชื่อว่า มีพระอุโบสถและเจดีย์ที่ก่อสร้างด้วยศิลาแลงทั้งหลังใหญ่ที่สุดในประเทศไทย แถมภายในพระอุโบสถยังปูพื้นด้วยหินแกรนิตสีชมพู ด้านในสุดประดิษฐานพระพุทธชินราชจำลองที่สวยสดงดงาม โดยมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติ ภาพพระเวสสันดรชาดก และภาพทศชาติด้วย เข้ามาไหว้พระแล้วได้นั่งเจริญสมาธิสักพักจะรู้สึกได้ทันทีว่าที่นี่ช่างเป็นวัดที่สงบเงียบและเยียบเย็นเป็นที่สุด
วัดนี้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2521 โดยพระครูภาวนาวิสุทธิญาน หรือ หลวงพ่อมหาพันธ์ สีลวิสุทโธ เจ้าอาวาสรูปแรก แต่เดิมชื่อว่า “วัดหัวนายูง” ต่อมาภายหลังเปลี่ยนเป็น “วัดเนรมิตวิปัสสนา”
หากเดินชมสถาปัตยกรรมความงามมาจนถึงด้านหลังวัด จะพบ “มณฑปหลวงพ่อมหาพันธ์ สีลวิสุทโธ” ซึ่งภายในมีหุ่นขี้ผึ้งของหลวงพ่อตั้งอยู่ พร้อมๆ กับสังขารที่ไม่เน่าเปื่อยของหลวงพ่อ ลูกศิษย์ลูกหาจึงมักเข้ามากราบไหว้บูชาอย่างเนืองแน่นอยู่เสมอ
ปิดท้ายยามเย็นที่ วัดโพนชัย ที่มาถึงด่านซ้ายแล้วไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง เพราะนอกจากจะเป็นวัดเก่าแก่ประจำเมืองด่านซ้ายที่สร้างมาพร้อมๆ กับพระธาตุศรีสองรักแล้ว ภายในวัดยังเป็นสถานที่ตั้งของ “พิพิธภัณฑ์ผีตาโขน” ด้วย
อย่างที่บอกแต่แรกว่า “ผีตาโขน” เป็นประเพณีที่มีเพียงแห่งเดียวในโลก โดยเป็นการละเล่นที่เป็นส่วนหนึ่งของงานบุญหลวง งานบุญใหญ่ประจำปีของของด่านซ้าย จังหวัดเลย ในงานนี้จะมีขบวนแห่บรรดาผีตาโขนที่สร้างความครื้นเครงให้กับคนดู หากอยากรู้ว่าผีตาโขนมีความเป็นมาอย่างไร ให้แวะไปชมนิทรรศการและประวัติที่อยู่ภายในพิพิธภัณฑ์จะได้รับทั้งความรู้และความเพลิดเพลิน เพราะที่นี่มีผีตาโขนหลายแบบหลากสไตล์ให้เลือกดู แถมยังมีของฝากของที่ระลึกเป็นผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับผีตาโขนมากมาย เรียกว่า น่าสนใจจนต้องยอมควักสตางค์ในกระเป๋ามาจับจ่ายกันเลยทีเดียว
.........................
เต็มไปด้วยความศรัทธาสำหรับทริปนี้ แต่ก่อนจะเดินทางกลับไปพร้อมกับความสงบของจิตใจ วันสุดท้ายเรามีโอกาสได้ขึ้นไปสัมผัสไอหมอกที่ อุทยานแห่งชาติภูเรือ สถานที่ซึ่งได้ชื่อว่า “สุดหนาวในสยาม” เมื่อได้ลองมาพิสูจน์ด้วยตัวเองก็พบว่า สุดหนาวจริงๆ แต่ไม่แน่ใจว่า ที่สุดในสยามหรือเปล่า
สำหรับภูเรือ เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีโอกาสต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างเนืองแน่นตลอดทั้งปี โดยเฉพาะช่วงปีใหม่ ได้ข่าวว่า คนนิยมพากันมาต้อนรับศักราชใหม่กันที่นี่ชนิดที่แทบไม่มีช่องว่าง รถราติดกันยาวเหยียดไปตามทางหลายกิโลเมตร ความสนุกเลยอาจจะกลายเป็นความลำบากไป
ทางที่ดีเลี่ยงในช่วงเทศกาลใหญ่ๆ แล้วหันมาเดินทางในวันหยุดธรรมดาๆ แบบนี้บ้าง จะทำให้การเดินทางราบรื่นและมีความสุขขึ้นกว่ากันเยอะ
...............
การเดินทาง
เลยอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 520 กิโลเมตร สามารถเดินทางไปได้ทั้งทางเครื่องบิน รถประจำทาง และรถยนต์ส่วนบุคคล หากเป็นเครื่องบิน ปัจจุบันมีสายการบินนกแอร์เปิดบริการสอบถาม โทร. 1318 หรือ www.nokair.co.th ถ้าเป็นรถประจำทางให้ไปขึ้นรถที่สถานีขนส่งผู้โดยสารหมอชิต มีบริษัททัวร์ให้บริการมากมาย สอบถามได้ที่ บริษัท ขนส่ง จำกัด โทร. 0 2936 2841-48
แต่ถ้าอยากขับรถมาเอง จากกรุงเทพฯ แนะนำให้ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 วิ่งมาจนถึงสระบุรี จากนั้นแยกซ้ายไปทางอำเภอแก่งคอยเพื่อใช้ทางหลวงหมายเลข 2 วิ่งตรงไปเรื่อยๆ จนเกือบจะเข้าตัวเมืองนครราชสีมาแต่จะมีทางเลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 201 ไปชัยภูมิ ให้เลี้ยวขวาไปตามนั้น จนเกือบจะถึงชัยภูมิจะมีป้ายบอกทางไปอำเภอแก้งคร้อ ภูเขียว ตามป้ายนั้นไปเลย สักพักใหญ่ๆ จะมีป้ายบอกทาง “เลย” เลี้ยวขวา จากนี้จะมีป้ายบอกเป้นระยะๆ รับรองไม่หลง
สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ททท.สำนักงานเลย โทร. 0 4281 2812, 0 4281 1405







