วันพรุ่งของทุ่งข้าว

เมื่อราคาข้าวไม่เข้าที่ หลายชีวิตบนท้องทุ่งนาจึงต้องทนรับและปรับตัวเพื่อให้วันพรุ่งนี้ดีขึ้นกว่าที่เป็น
คะเนคร่าวๆ ริ้วข้าวสีเขียวอมเหลืองที่ชูช่อลู่ลมอยู่เต็มกระทงนาเรียงรายไกลสุดสายตาเวิ้งนี้นั้น น่าจะเกี่ยวได้ไม่เกินอาทิตย์หน้า
แต่ถ้าถามใจ ปราณี สมใจจริง ชาวนา ที่ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี แล้วล่ะก็… สีเขียวข้างหน้าเป็นทั้งการงานและความหวังของคนทำนาอย่างไม่มีทางเลี่ยง
“ประมาณ 40 ไร่ค่ะ” เธอบอกถึงอาณาเขตบริเวณที่นา ซึ่งเป็นทั้งชีวิตและอนาคตของคนในครอบครัว
ความฝันที่กลางทุ่ง
ข้าวที่ปลูก ณ ทุ่งนาในดงตาลโตนดแห่งนี้ เป็นข้าวพันธุ์ชัยนาทที่ชาวนาแถบนี้นิยมปลูกกัน
หนึ่ง…นั่นเพราะให้ผลผลิตดี และสองข้าวพันธุ์นี้สามารถปลูกได้ทั้งปี
สำหรับการทำนารอบนี้พวกเขาเริ่มหว่านกล้าตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยหวังว่าเมื่อลุต้นเดือนพฤศจิกายนก็จะถึงช่วงเวลาเก็บเกี่ยวผลผลิตแลกเป็นเงินทุนมาเก็บออม เตรียมพร้อมสำหรับการทำนาครั้งต่อไป
ทว่าความฝันของคู่สามีภรรยาที่ตัดสินใจลาออกจากงานประจำมาใช้ชีวิตชาวนารุ่นใหม่ไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะฟ้าฝนกลับไม่ค่อยเป็นใจ อีกทั้งราคารับซื้อข้าวเปลือกก็กำลังร่วงลงเป็นประวัติการณ์ นี่เป็นสิ่งที่เธอ และครอบครัวชาวนารายอื่นๆ ทั้ง 8 อำเภอในเมืองเพชรฯ ต้องเผชิญไปพร้อมกับชาวนาทั่วประเทศ
“นอกจากราคาจะแย่มากแล้ว ตอนนี้ที่มีปัญหาก็คือ เรื่องของฝนฟ้าอากาศ ถ้าเราเกี่ยวข้าวในอาทิตย์หน้าก็ไม่รู้จะยังไงนะ แต่ตอนนี้ราคาถูกมาก โรงสีรับซื้อประมาณ 5,000 บาทต่อตันนี่ก็เต็มที่แล้ว”ปราณีพูดด้วยรอยยิ้มเจือนๆ
ขณะที่ ประเสริฐ เหลิมทอง ชาวนาบ้านลาด จ.เพชรบุรี ที่ผ่านชีวิตบนคันนามากว่า 50 ปี ก็กำลังกลุ้มใจไม่ต่างกัน
เขา บอกว่า ราคาข้าวที่ตกในรอบ 20 ปีที่ผ่านมานี้ เล่นเอาชาวนาชักหน้าไม่ถึงหลัง เพราะไหนจะต้นทุนที่ลงแรงไปแล้วจำนวนไม่น้อย ความเดือดร้อนของคนทำนาขณะนี้ จึงไม่ต่างอะไรกับการถูก “กดราคา” เกินกว่าความเป็นจริง จนทำให้ต้นทุนที่เคยลงไปเมื่อหลายเดือนก่อน จมหายไปกับท้องนา
ทั้งนี้หากดูจากราคากลางที่ปรากฏบนเว็บไซด์สมาคมโรงสีข้าวไทยช่วงปลายเดือนตุลาคมพบว่า ราคาขายข้าวเปลือก 100 เปอร์เซ็นต์ความชื้น 15 เปอร์เซ็นต์อยู่ที่ประมาณ 7,800 บาทต่อตัน ต่างจากราคารับซื้อข้าวเปลือกที่ชาวนาได้รับ ซึ่งประเด็นนี้ยังเป็นเรื่องที่คาใจชาวนาอยู่ และทุกวันนี้ก็ยังไม่มีคำตอบว่า “ส่วนต่าง” ที่หายไปใครกันแน่ที่กำลังได้ประโยชน์
ปรากฏการณ์ “ลูกชาวนา”
ผู้อภิปราย ในเวที “ลูกชาวนา ได้เวลาช่วยพ่อ” ที่ ม.เกษตรศาสตร์ เมื่อ 30 ตุลาคม สะท้อนความจริงที่น่าเจ็บปวดตอนหนึ่งว่า ชาวนาจะไม่มีทางรู้เลยว่า ผลผลิตที่ตัวเองลงทุน-ลงแรงไปจะมีมูลค่าเท่าใด จนกว่าจะถึงเวลานำผลผลิตไปขายให้กับโรงสีที่ตีราคาเป็นด่านแรก
นั่นเพราะในฐานะผู้ผลิต แม้จะลงแรง ออกแดด และห่วงแหนทุ่งข้าวของเขา แต่ก็แทบไม่รู้เลยว่าปลายทางของราคาขายปลีกที่ผู้บริโภคต้องจ่ายจะ “ถูกบวก” ในวงจรระบบการค้าข้าวภายในประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ค่าโรงสี ค่าเก็บรักษา ค่าคัดเลือกคุณภาพข้าว ค่ากระจายสินค้าค่าบรรจุถุง และอื่นๆ อีกมากมาย
ผศ.ดร. อรชส นภสินธุวงศ์ อาจารย์ ภาควิชาเศรษฐศาสตร์เกษตรและทรัพยากร คณะเศรษฐศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ วิเคราะห์ปัญหาราคาข้าวตกต่ำในรอบนี้ว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะปริมาณข้าวในตลาดโลกมีจำนวนมากและประเทศไทยเองมีคู่แข่งที่สำคัญอย่างกัมพูชา เวียดนาม ทำให้การส่งออกข้าว เพื่อระบายสินค้าต้องแย่งสัดส่วนการตลาดกับประเทศเหล่านี้ ขณะเดียวกันสต็อกปริมาณข้าวในประเทศที่เป็นผลพวงมาจากนโยบายรัฐบาลชุดก่อนๆ ยังเหลืออยู่จำนวนมาก แต่ละโรงสีจึงต้องบริหารสต็อกข้าวของตัวเอง
“ถึงจะไม่มีนโยบายการจำนำหรือประกันราคาข้าวแล้วก็ตาม แต่แรงจูงใจของชาวนาที่จะปลูกข้าวไม่ได้ลดลงไปมากนัก ปริมาณข้าวในประเทศจึงเพิ่มขึ้น ยิ่งสภาพอากาศที่แปรปรวน ทำให้เกษตรกรต้องรีบเก็บเกี่ยว รีบขายให้กับโรงสี เพราะไม่มีที่เก็บ แทนที่จะรอขายที่จะทำให้ได้ราคาดีกว่า”
เมื่อราคาที่ควรจะเป็นต้อง “ต่ำลง” อย่างน่าหดหู่ การช่วยเหลือชาวนาด้วยวิธีการตัดวงจรห่วงโซ่อุปทานระหว่างชาวนา-ผู้ซื้อ จึงเป็นหนึ่งในวิธีที่กำลังเป็นปรากฎการณ์อยู่ในขณะนี้ โดยเฉพาะโซเชี่ยลมีเดียที่กำลังเป็นตัวกลางจากชาวนาสู่ผู้บริโภคอย่างคึกคัก
อาทิ แฟนเพจต่างๆ ที่ช่วยประชาสัมพันธ์การรวมกลุ่มสีข้าวหอมมะลิขายเอง โดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลางของชาวนาในภาคอีสาน โดยตั้งราคาขายข้าวหอมมะลิ100 เปอร์เซ็นต์ ปี 2559 อยู่ที่ประมาณ 30-35 บาทต่อกิโลกรัม ต่ำกว่าราคาเฉลี่ยของข้าวสารบรรจุถุงซึ่งมีราคาขายอยู่ในช่วง 38-43 บาท
หรือโครงการ “ลูกชาวนา ได้เวลาช่วยพ่อ” ที่สนับสนุนการนำข้าวสารจากเกษตรกรสู่ผู้ซื้อโดยตรง และกระจายไปยังพื้นที่ต่างๆ โดยมี ม.เกษตรศาสตร์ เป็นผู้ขับเคลื่อนหลัก
เดชรัต สุขกำเนิด หัวหน้าภาควิชาเศรษฐศาสตร์เกษตรและทรัพยากร คณะเศรษฐศาสตร์ บอกว่า “ลูกชาวนา” ไม่ใช่แบรนด์สินค้า แต่เป็นแนวคิดที่จะช่วยเหลือเกษตรกรขายข้าว โดยมหาวิทยาลัยที่ไม่ได้มีข้าวในมือ หรือเก็บค้างในสต็อก แต่จะการช่วยดำเนินการประสานสอบถามกับกลุ่มเกษตรกรนำข้าวมาขายให้โดยตรง ซึ่งขณะที่เวลานี้มีโรงสีข้าว 3 แห่ง ที่พร้อมจะช่วยเหลือเกษตรกรในการช่วยสีข้าว คือ โรงสี จ.สุพรรณบุรี , จ.เชียงราย และ จ.พะเยา
“ทุกคนมีศักยภาพที่จะช่วยกันได้ รอบๆ ตัวเราต้องมีใครสักคนที่เป็นลูกชาวนา และกำลังประสบปัญหานี้อยู่ เราจะช่วยกันแก้ปัญหา โดยที่เกษตรกรและผู้ซื้อต้องอุ้มชูกันเอง ทำแบบง่ายๆ แต่ถูกต้อง ทำแบบพอตัว และทำแบบกระจายศูนย์ โดยเน้นการรวมกลุ่มแบบชุมชนในการจัดจำหน่ายข้าว ซึ่งสามารถเริ่มทำได้ในทุกจังหวัด
“ส่วนในอนาคต เราอยากให้เกษตรกรพัฒนาแบรนด์สินค้าของตัวเอง มีคุณภาพในราคาสมเหตุสมผล เพื่อให้ผู้บริโภคได้สินค้าที่ดีและเกษตรกรเองก็ได้กำไรจากการทำงาน”
เขาเล่าต่อว่า หลังการโหมประชาสัมพันธ์ตลอด 1-2 วันนี้ ได้รับกระแสตอบรับที่ดีมาก มีเครือข่ายที่พร้อมให้ความร่วมมือทั้งองค์ความรู้ กระบวนการผลิต การตลาด และเงินทุนหมุนเวียนสำหรับสร้างช่องทางการขาย นี่กำลังอธิบายว่า... สังคมไทยพร้อมช่วยเหลือชาวนาเสมอ
ชาวนาพันธุ์ใหม่
เมื่อ 3-4 ปีก่อน พงษ์พัฒน์ สุขอาบใจ ก็ตื่นเช้าไปทำงานในคราบของพนักงานบริษัทแบบเดียวกับบัณฑิตหนุ่มสาวอีกหลายชีวิต จนวันหนึ่งเขามองเห็นต้นทุนของการเป็นเกษตรกรของพ่อแม่ ที่ จ.นครปฐม ก่อนเข้ามาสานต่อกิจการฟาร์มสุขอาบใจ และใช้ช่องทางออนไลน์ เป็นช่องทางสื่อสารระหว่างตัวเองกับผู้บริโภค
“ทำไมเป็นเกษตรกรแล้วต้องจน ผมตั้งคำถามนี่อยู่เสมอ จึงศึกษาและได้รับคำตอบว่า ถ้าเราทำแบบเดิมคือ ปลูกและรอขายให้คนมารับซื้อ คงไปไม่รอดแน่ๆ จึงหาช่องทางที่จะเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง เริ่มจากเพื่อน เพื่อนของเพื่อน และทำการตลาดโดยเน้นบริเวณรอบๆ ที่คุ้มค่าในการขนส่งก่อน”เขาเล่า
แน่นอนว่า มันไม่ใช่แค่ลงแรงและใส่ใจ แต่เขายังให้ความสำคัญกลยุทธ์แบบคนตัวเล็กๆ ที่เริ่มทำทีละนิด ทีละน้อย เช่น การไม่ลงทุนทำอะไรที่เกินตัว การปฏิเสธการซื้อเตาอบข้าวที่มีราคาสูง แต่ใช้การเช่าพื้นที่ลานตากของชาวบ้านในละแวก ซึ่งมีต้นทุนต่ำกว่า การประหยัดค่าถุงสูญญากาศสำหรับสินค้าปลอดสารพิษที่มีอายุบริโภคสั้นด้วยการเจาะตลาดกลุ่มลูกค้าสุขภาพที่บริโภคข้าวปลอดสารพิษ และไม่ต้องเก็บสินค้าไว้นานๆ
ไม่ต่างกับพิจารณ์ แจ้งสว่าง สถาปนิก ที่ผันตัวเองไปเป็นเกษตรกรใน จ.สุรินทร์ อย่างเต็มตัว ที่ก้าวเล็กๆ ด้วยการทำเอง-จำหน่ายเอง พร้อมๆ กับสร้างเครือข่ายเกษตรกรในละแวกนั้น
“หากคุณเป็นคนทานข้าว สนใจติดต่อผมโดยตรงได้ทาง inbox หากคุณเป็นชาวนา ขอรายละเอียด ชื่อ ที่อยู่ สถานที่เพาะปลูก ชนิดพันธุ์ข้าวที่ปลูก ส่วนใครอยากสร้าง แพลตฟอร์ม ที่ทำให้ผู้ซื้อมาเจอกับผู้ขายโดยตรง ท่านใดมีจิตอาสาในเรื่องนี้ ติดต่อเข้ามาได้ครับจะมาในรูปของ thairice.co เร็วๆ นี้”
“สำหรับพี่น้องชาวนาทั่วประเทศที่กำลังมองหาลู่ทางอื่น ๆ คนทานข้าวมีอยู่ทุกที่ทั่วประเทศครับ หากต้องการความช่วยเหลือ เรื่องการออกแบบหีบห่อ หรือเรื่องอื่น ๆ ที่ผมช่วยได้ ก็ยินดีครับ” หนึ่งในถ้อยความของพิจารณ์ที่ถูกแชร์ต่อๆกันในกลุ่มชาวนาซึ่งกำลังใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มช่องทางการขาย
ชาวนาพันธุ์ใหม่-พวกเขากำลังมีวิธีปรับตัวที่ชวนติดตาม
วันพรุ่งนี้ของคนในทุ่งข้าวจึงยังไม่น่าโหดร้ายจนเกินไป







