ต้นไม้ของพระราชา

ต้นไม้ของพระราชา

“นานมาแล้ว พ่อได้ปลูกต้นไม้ไว้ให้เรา ..

..เพื่อวันหนึ่งจะบังลมหนาว และคอยเป็นร่มเงา ปลูกไว้ให้พวกเรา ทุกทุกคน


พ่อใช้เหงื่อแทนน้ำรดลงไป เพื่อให้ผลิดอกใบออกผล ให้เราทุกทุกคน เติบโตอย่างร่มเย็นในบ้านเรา...”


แม้ “ต้นไม้” ในความหมายที่แท้ของบทเพลง “ต้นไม้ของพ่อ” ซึ่งขับร้องโดยศิลปิน ธงไชย แมคอินไตย์ เนื่องในงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี พ.ศ.2539 จะหมายถึง “ประเทศไทย” ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงใช้ “น้ำพระทัย” ในการบำรุงดูแล แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ตลอด 70 ปีที่พระองค์ทรงครองสิริราชสมบัติมา มีต้นไม้จริงๆ ที่ทรงปลูกมากมายกระจายอยู่ทั่วทุกพื้นที่ในประเทศไทย


พระราชกรณียกิจอย่างหนึ่งของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชที่คนไทยคุ้นเคย นั่นก็คือ ไม่ว่าพระองค์จะเสด็จฯ ไป ณ ที่แห่งใด มักจะพระราชทานต้นไม้ และทรงปลูกต้นไม้เพื่อเป็นที่ระลึกด้วยพระองค์เองเสมอๆ ฉะนั้นอย่าสงสัยเลยว่า ทำไมหน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ จึงมักทำโครงการ “ปลูกต้นไม้ถวายในหลวง” นั่นก็เพราะพวกเขา(เรา)มีในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงเป็น “นักปลูกต้นไม้” และทรงเป็นแบบอย่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกสำหรับประชาชนชาวไทยนั่นเอง


อาจไม่ใช่ต้นไม้ต้นแรกที่ทรงปลูก ทว่า “ต้นสนสามใบ” ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในอุทยานแห่งชาติภูกระดึง จังหวัดเลย ก็เป็นต้นไม้ต้นแรกๆ ที่ชาวไทยภาคภูมิใจ โดยเฉพาะชาวจังหวัดเลย เนื่องเพราะในวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ.2498 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จฯ ทอดพระเนตรความสวยงามของอุทยานแห่งชาติภูกระดึง พร้อมกับทรงปลูกต้นสนสามใบไว้เป็นที่ระลึกและเป็นมงคลแห่งสถานที่ ในวันนี้ต้นสนสามใบต้นนั้นจึงมีความหมายต่อทุกคนที่มีโอกาสไปเยี่ยมเยือนภูกระดึงเป็นอย่างยิ่ง


แม้ในคราวที่ทรงผนวช พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ก็ยังทรงปลูกต้นสักและต้นสนฉัตรไว้บริเวณหน้าพระตำหนักทรงพรต วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ.2499 ถัดจากนั้นอีก 2 ปี ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2501 ระหว่างเสด็จประพาสน้ำตกวังนกแอ่น อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงปลูกต้นไม้ไว้องค์ละต้น โดยในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงปลูกต้นประดู่ ส่วนสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงปลูกต้นพะยอม ซึ่งปัจจุบันยืนต้นเติบใหญ่อย่างสง่างาม


สถานที่บ่มเพาะต้นกล้าที่สำคัญของประเทศไทยอย่างมหาวิทยาลัยหลายๆ แห่ง มีต้นไม้ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชพระราชทานและทรงปลูกไว้เป็นที่ระลึก เช่น ต้นจามจุรี ต้นไม้ประจำจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงนำมาจากพระราชวังไกลกังวล และพระราชทานให้ 5 ต้น พร้อมทรงปลูกด้วยพระองค์เองเมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ.2505 ณ บริเวณหน้าหอประชุมจุฬาฯ ซึ่งสีชมพูของดอกจามจุรีนี้ก็ยังถูกนำมาใช้เป็นสีประจำมหาวิทยาลัยด้วย


ข้างมหาวิทยาธรรมศาสตร์ก็มีต้นไม้ทรงปลูกเช่นกัน นั่นคือ ต้นหางนกยูงฝรั่ง(ยูงทอง) ที่พระอง๕ทรงปลูกไว้เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2506 ณ บริเวณหน้าหอประชุมใหญ่ พร้อมพระราชทานให้เป็นต้นไม้สัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัย ส่วนสีเหลืองแดงก็ถูกใช้เป็นสีประจำมหาวิทยาลัยเช่นเดียวกัน


“ขอฝากต้นไม้ต้นนี้ให้มหาวิทยาลัยและนิสิตช่วยกันรักษาให้ดี อย่าให้หงอย ขอฝากนิสิตทั้งหลาย ขอให้ช่วยกันรักษาตัวเองให้ดี และอย่าลืมว่าตัวเองนั้นจะอยู่กันได้ก็ด้วยแผ่นดินของไทย ขอให้ช่วยรักษาแผ่นดินไทยไว้ด้วย คนไทยถ้าไร้แผ่นดินก็จะหงอยกันหมด อยู่กันไม่ได้ และเราก็ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น” พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ในคราวเสด็จพระราชดำเนินมายังมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และทรงปลูกต้นนทรี 9 ต้น ณ บริเวณหน้าหอประชุม มก. เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ.2506


กัลปพฤกษ์ เป็นต้นไม้ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงปลูกพระราชทานมหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อครั้งเสด็จฯ ไปประกอบพิธีเปิดมหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ.2510


หากเสด็จฯ พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถ จะทรงปลูกต้นไม้องค์ละต้น องค์ละชนิดพันธุ์ แต่ก็มีหลายแห่งเหมือนกันที่ทรงปลูกต้นไม้ชนิดพันธุ์เดียวกันไว้เป็นคู่ เช่นต้นจัน ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงปลูกไว้หน้าหอพระไตรปิฎก วัดระฆังโฆษิตาราม โดยทรงปลูกต้นที่อยู่ด้านซ้าย ส่วนสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงปลูกไว้ทางด้านขวา เมื่อวันที่ 18 กันยายน พ.ศ.2514 หรือต้นสนฉัตร ที่เป็นสัญลักษณ์แห่งรักนิรันดร์ ทรงปลูกไว้คู่กัน ณ อุทยานแห่งชาติแม่โถ จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ.2523 ปัจจุบันยืนต้นสูงตระหง่าน ผลิดอกแตกก้านอย่างยิ่งใหญ่สวยงาม


การเลือกต้นไม้ที่ปลูกนั้น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเลือกชนิดพันธุ์ที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ ภูมิอากาศ และความสำคัญของสถานที่นั้นๆ ไม่ได้ทรงปลูกตามพระราชหฤทัย วัดหลายๆ แห่งจึงมีต้นศรีมหาโพธิ์ ต้นสาละ ต้นพิกุล ต้นราชพฤกษ์ ต้นสัก เป็นต้นไม้สำคัญ ส่วนศูนย์ต่างๆ ที่เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริก็จะมีต้นไม้ทรงปลูกที่เกิดประโยชน์กับสถานที่นั้นๆ เช่น มะม่วงและหญ้าแฝก ที่ทรงปลูกเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2527 ณ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ จังหวัดเชียงใหม่ และแมคคาเดเมียที่ทรงปลูก ณ สถานีทดลองเกษตรหลวงขุนวาง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2527 เป็นต้น


ตลอดเวลาที่ผ่านมา ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงปลูกต้นไม้บนแผ่นดินไทยอย่างไม่ทรงรู้จักเหน็ดเหนื่อย แม้ในคราวที่ทรงประชวร และเสด็จฯ มาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช พระองค์ยังทรงปลูกต้นศรีตรังไว้ เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ.2554 เพื่อเป็นสิริมงคลแก่โรงพยาบาลศิริราชด้วย ซึ่งต้นศรีตรังนั้นถือเป็นต้นไม้ต้นสุดท้ายที่ทรงปลูกในรัชสมัยของพระองค์


การเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ.2559 นำมาซึ่งความโศกเศร้าอย่างถึงที่สุดของปวงชนชาวไทย ทว่า ต้นไม้ที่ “พ่อ” ปลูกไว้จะยังคงหยั่งรากลึกและเติบใหญ่ เป็นต้นไม้ที่แข็งแรงและน่าภาคภูมิใจตลอดกาล


“...จากวันนี้สักหมื่นปี ต้นไม้ที่พ่อปลูก ต้องสวยต้องงดงามและยิ่งใหญ่ สืบสานและติดตาม จากรอยที่พ่อตั้งใจ เหงื่อเราจะเทไป จากหัวใจ เหงื่อเราจะเทไป ให้ต้นไม้ของพ่อ ยังงดงาม”