ดวงฤทธิ์ บุนนาค สถาปนิกผู้หลงใหลอิสรภาพ

ดวงฤทธิ์ บุนนาค สถาปนิกผู้หลงใหลอิสรภาพ

‘พี่ด้วง’ ดวงฤทธิ์ บุนนาค สถาปนิกแถวหน้าของเมืองไทยผู้หลงใหลในอิสรภาพ รถบ้านคือสัญลักษณ์หนึ่งแห่งการใช้ชีวิตอย่างมีอิสระ

“ผมเชื่อว่าลึกๆ แล้วเราทุกคนล้วนไขว่คว้าอิสรภาพ ไม่มีใครอยากถูกจองจำ ไม่มีใครอยากเป็นนักโทษ และมอเตอร์ไซค์ก็เป็นเครื่องจักรหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกถึงอิสรภาพบนท้องถนน เพราะสิ่งที่เราสัมผัสได้มันไม่เหมือนเวลาอยู่ในรถยนต์ คุณจะได้กลิ่นของน้ำมัน กลิ่นของดิน กลิ่นของไอแดด และกลิ่นของอิสรภาพ”

ความสุขที่ไม่ซับซ้อน

นอกจากจะหลงใหลในทัศนียภาพบนท้องถนนของมอเตอร์ไซด์แล้ว ดวงฤทธิ์ยังเล่าให้เราฟังถึง “รถบ้าน” ซึ่งเป็นของเล่นชิ้นใหม่ของเขาว่า ตัวเองก็เหมือนเด็กผู้ชายทั่วไปที่อยากมีของเล่นเยอะๆ ซึ่งครั้งแรกที่เจอรถคันนี้มันเหมือนกับรักแรกพบ และก็ไม่รีรอที่จะเข้าไปทำความรู้จัก

“ความสุขของผมมันไม่มีอะไรซับซ้อนเลย ทุกอย่างที่ผมซื้อเกิดจากความอยากได้ล้วนๆ อย่างตอนอยากได้มอเตอร์ไซค์ผมก็ซื้อเลย ทีนี้พอเห็นรถบ้านของจริงตั้งโชว์อยู่รู้สึกว่ามันสวยมาก และตรงกับไลฟ์สไตล์ของเราด้วย มันคงจะสนุกมากแน่ๆ เวลาลากรถคันนี้ไปเที่ยวเลยทำให้อดใจไม่ได้ แต่พอเข้าไปถาม เค้าบอกว่าต้องซื้อสดเท่านั้น และราคามันตั้ง 2 ล้านกว่าบาท ผมไม่มีเงินขนาดนั้นหรอก ผมเลยโทรศัพท์ไปหาเจ้าของบริษัทที่ผ่อนมอเตอร์ไซค์ให้ช่วยมาจัดการให้หน่อย ซึ่งบริษัทนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง และผมน่าจะเป็นคนแรกในประเทศไทยด้วยที่ซื้อรถบ้านแบบผ่อน ฮ่าๆๆ” เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดีเมื่อเล่าถึงที่มาของของเล่นชิ้นนี้ ‘Airstream Travel Trailer รุ่น Bambi’

Airstream Travel Trailer รุ่น Bambi บ้านหลังเล็กของด้วง

จากพื้นฐานการเป็นสถาปนิกทำให้เขาประทับใจการออกแบบของรถบ้านเป็นอย่างมาก เพราะภายในพื้นที่จำกัดแค่ 16 ฟุตกลับสามารถทำให้มันเป็นเหมือนบ้านเล็กๆ หลังหนึ่งที่เคลื่อนที่ได้อย่างอิสระ ซึ่งรถคันนี้ได้รับแรงบันดาลใจการออกแบบมาจากการสร้างจรวดซึ่งมีลักษณะโค้งมนทำให้ไม่สร้างแรงต้านขณะลากจูง อีกทั้งภายในรถก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นอยู่อย่างครบครัน อาทิ ห้องน้ำ ตู้เย็น เตียง โต๊ะกินข้าว ทีวี วิทยุ แอร์ เตาแก๊ส และพัดลมดูดควัน

รถบ้าน อิสระของนักเดินทาง

หลังจากได้รถบ้านมาแล้ว เขาไม่รีรอที่จะพามันและครอบครัวออกไปผจญภัยด้วยกัน ซึ่งการออกทริปแต่ละครั้งก็ต้องวางแผนให้ดีทั้งการเดินทางและการดูแลรักษารถ เพราะขนาดที่ค่อนข้างใหญ่ทำให้เมื่อต้องออกสู่ถนนจะมีข้อจำกัดในการขับ และอีกหนึ่งสิ่งสำคัญคือ ระยะเวลาในการไป โดยเขาบอกว่าถ้าไปคนเดียวอาจจะอยู่ได้หลายวันหน่อย แต่ถ้าไปทั้งครอบครัวก็น่าจะได้ประมาณสองวัน เพราะติดข้อจำกัดเรื่องระบบห้องน้ำบนรถ และต้องห้ามลืมพกเครื่องปั่นไฟไปด้วยทุกครั้งเด็ดขาด เนื่องจากประเทศไทยยังไม่มีจุดชาร์จไฟสำหรับรถบ้านเหมือนทางฝั่งประเทศยุโรปหรืออเมริกา

“ผมเคยลากรถคันนี้ออกไปเวลาปกติแล้วก็เจอรถติดเหมือนกับชาวบ้านเค้านะ ทีนี้ล่ะก็มองกันทั้งเมืองเลย ฮ่าๆ ซึ่งเวลาขับก็ต้องระวังมากกว่าการขับรถปกติครับ เพราะมันมีปัจจัยเรื่องของขนาดและความสูงของรถเข้ามา ทำให้เวลาจะกลับรถก็ต้องกะระยะดีๆ ที่สำคัญคือถอยหลังแบบรถทั่วไปค่อนข้างยาก ทั้งหมดนี้มันเลยทำให้เราต้องวางแผนล่วงหน้าให้ดีที่สุด ซึ่งตรงนี้มันทำให้เราเอาไปปรับใช้ในการทำงานได้ด้วย”

 ดวงฤทธิ์ชอบพาครอบครัวไปออกแคมป์ ไปงานเทศกาลต่างๆ ปีละสองสามครั้งอยู่แล้ว โดยขับรถทั่วไป ไปถึงที่กางเต็นท์พักค้างแรม “แต่พอมีเจ้าคันนี้ก็สบายหน่อย นอนมันบนรถนี่แหละ อย่างครั้งล่าสุดก็ลากไปขึ้นเขาที่ปางสีดา สมบุกสมบันมาก พอไปจอดคนก็ตกใจกันใหญ่ สนุกดีครับ เป็นประสบการณ์ที่ลืมไม่ลงเลย แต่เวลาไม่ไปไหนผมก็เอามาจอดที่บริษัทนี่แหละ ว่างๆ ก็เข้าไปนอนพักบ้างอะไรบ้าง...”

ความฝันต่อไป

จากความชอบกิจกรรมกลางแจ้งตั้งแต่เด็ก จนถึงวันนี้ดวงฤทธิ์เริ่มทำความชอบของตัวเองให้เป็นจริงทีละอย่าง เริ่มตั้งแต่การดำดิ่งไปกับมอเตอร์ไซด์ ต่อด้วยการลากรถบ้านพาครอบครัวและเพื่อนๆ ไปแคมป์ปิ้ง ไปงานเฟสติวัลต่างๆ และต่อไป “เรือ” คือของเล่นอีกชิ้นหนึ่งที่เขาอยากได้ แต่เมื่อถามถึงวัฒนธรรมของรถบ้านนั้น เขาได้บอกว่าตอนนี้ในประเทศไทยยังไม่เรียกว่าเป็นวัฒนธรรมได้หรอก เพราะคนไทยยังไม่ค่อยให้ความนิยมมากนัก แต่ก็ฝันไว้ว่าวันหนึ่งรถบ้านจะได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะจะได้มีสังคมที่คุยเรื่องเดียวกัน ชอบอะไรเหมือนกัน แล้วมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน

และก่อนจากกันเขาก็ได้ฝากคำแนะนำสำหรับคนที่สนใจจะซื้อรถบ้านมากับเราด้วย

“ถ้าจะซื้อรถบ้านมา คุณต้องคิดก่อนว่ามันตรงกับไลฟ์สไตล์เราหรือเปล่า อย่าแค่มีเงินแล้วซื้อมาจอดไว้เฉยๆ เลย เพราะถ้าคุณอยากมีรถบ้าน คุณต้องอินกับมัน ต้องดูแลรักษามัน ต้องฝึกลากมัน ฝึกจูงมัน ที่สำคัญต้องขับมันบ่อยๆ และรักมัน”