บัณฑิต ทองดี “ผมไม่ได้อยากให้ใครโดนประณาม”

บัณฑิต ทองดี “ผมไม่ได้อยากให้ใครโดนประณาม”

บทสัมภาษณ์ "บัณฑิต ทองดี" ในวันที่เจ้าตัวเปรยว่า "เป็นวันที่ชีวิตวุ่นวายที่สุด"

“ตั้งแต่เช้าเลย มีแต่คนโทรมา แบตโทรศัพท์หมดไป3รอบ ซื้อข้าวติดรถมา ห้าโมงเย็นแล้วยังไม่ได้กิน” เขาพูดพลางยื่นให้ดูข้อความหลายร้อยข้อความที่ส่งมาผ่านไลน์…ถึงเช่นนั้น ระหว่างขับรถเดินทางออกจากสถานีโทรทัศน์หนึ่งเพื่อไปอีกแห่ง เสียงโทรศัพท์ก็ยังดังอยู่บ่อยๆ

เราสรุปเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่า มันเป็นเรื่องของความต่างทางมุมมอง ทั้งทีมงานมิวสิกวีดีโอเพลง “เที่ยวไทยมีเฮ”ซึ่งให้นักแสดงสวมใส่หัวโขนยักษ์ทศกัณฐ์ไปยังสถานที่ต่างๆ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ในขณะที่กลุ่มคนบางส่วนมองว่าไม่เหมาะสมในบางช่วง-บางตอน และก็ต้องเป็น “บัณฑิต” เองในฐานะผู้กำกับเอ็มวีและนายกสมาคมสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทยที่ต้องออกมาชี้แจง

ต่อจากนี้คือบางส่วนที่ผู้กำกับหนุ่มพูดคุยกับ “จุดประกาย” ท่ามกลางความยุ่งเหยิงของวันที่เขาเองยังเอ่ยปากว่า มากกว่าครั้งไหนๆ

  • อยากให้เรื่องมิวสิควีดิโอจบอย่างไร

คงจบแล้วครับ เขาคงแก้ไขกันไป สำหรับผมแม้จะไม่ได้คิดว่ามันเสื่อมเสียอะไร แต่ถ้าเพื่อความสบายใจ ในบางฉากก็อาจจะยอมได้ แต่ไม่ใช่ทุกอย่างที่จะผิดหมด อย่างแคะขนมครกอยากให้เอาออก ทีมงานคงเอาออกหรือถ้าไม่ชอบขับรถโกคาร์ตก็เอาออกได้ แต่อย่างขี่ม้า นั่งบนรถตุ๊กๆ ก็ยังนึกไม่ออกว่าจะเสื่อมเสียตรงไหน ก็อยากให้คงไว้

ถ้าถามผม ผมไม่ได้เกลียดใคร มันจบแล้ว ไม่ได้อยากให้ใครต้องโดนประณาม อย่าไปด่าเขาเลย วันหนึ่งเรื่องนี้ก็จะเงียบไปเอง สังคมจะจัดลำดับความสำคัญรู้เองว่าวัฒนธรรมควรอยู่ตรงไหน

  •  เซ็งไหมเจอกับสถานการณ์แบบนี้

มันเซ็งอยู่แล้วเพราะเราก็ยังคิดว่าไม่ได้ทำอะไรที่ไม่เหมาะสม คือถ้าเราเอาเสียงโขนมาทำเป็นหนังผี หรือเอาผู้ร้าย ใส่หัวโขนทศกัณฐ์แล้วทำอะไรไม่ดียังเข้าใจได้ แต่นี่เราอยากทำให้มันน่ารัก ให้ใครๆ ก็เข้าถึงได้ยังถูกบอกว่าทำลายวัฒนธรรม

  • วันก่อนคุณโพสต์เฟสบุ๊คว่า  “ชีวิตช่างขัดแย้งในตัวเองสิ้นดี ช่วงเช้าเข้าประชุมกับกรมส่งเสริมวัฒนธรรมรับข้อกล่าวหาทำลายวัฒนธรรมชาติ  ช่วงสายมาร่วมประชุมคัดเลือกหนังไทยไปออสการ์ กลับถูกคนกลุ่มหนึ่งตราหน้าว่าเป็นพวกหลงใหลในวัฒนธรรมมากเกินไปที่เลือกหนังอาบัติไปแสดง  ตกลงคุณเป็นฝ่ายไหนกันแน่

ก็คิดเหมือนกันว่าตกลงเราทำอะไรอยู่ (หัวเราะ) ไม่กี่ชั่วโมงยังเจอบอกว่าเราคลั่งวัฒนธรรม หัวโบราณ ต่อมาเจอคนบอกว่าเรากำลังทำลายวัฒนธรรม  แล้วเราจะหาจุดสมดุลในการทำงานอย่างไร ทำไมโลกนี้อยู่ยากจัง เราพยายามทำหน้าที่ทั้ง 2บทบาทให้ดีที่สุดแต่ก็โดนตำหนิ รู้สึกแย่เหมือนกันที่โดนแบบนี้

  • วัฒนธรรมไทยบอบบางถึงขนาดถูกหนังสักเรื่องทำลายเลยหรือ

มันไม่ได้บอบบางหรอก ผมว่าคนไทยเองก็รู้ว่าแบบไหนคือการทำลาย และถ้ามันทำลายจริงเขาก็พร้อมจะออกมาต่อต้านและต่อว่าเองอยู่แล้ว  แต่ถ้าสังคมมองว่าไม่มีอะไร  คนที่ตั้งประเด็นเองจะถูกต่อต้านกลับ ผมมองว่าสังคมจะจัดสรรเองว่าควรจะแสดงปฏิกิริยากับเรื่องนี้อย่างไร คนดูก็ไม่ได้โง่ เราอยู่ในสังคมที่แต่ละคนแสดงความคิดเห็นเรื่องวัฒนธรรมได้ เขาคิดได้เองว่าอะไรผิดอะไรถูก ไม่ได้หมายความว่าพอมีหนัง ละคร หรือใครคนใดพูดอะไรไม่ดีแล้วทุกคนจะเชื่อไปหมด

  • ก่อนวางพล็อตเรื่องให้ทศกัณฐ์ไปยังสถานที่ต่างๆคุณศึกษามาแค่ไหน

ยอมรับว่าเราอาจไม่ได้ลึกซึ้ง แต่เราก็มีที่ปรึกษา และทุกคนเข้าใจว่าทศกัณฑ์เป็นตัวละครศักดิ์สิทธิ์ เราก็เป็นคนไทยที่รู้จักวัฒนธรรม แล้วเราก็เคารพ และคิดว่าก็ไม่ได้ทำอะไรที่มันหลบหลู่ เราไม่ได้เอาทศกัณฐ์มาทำอะไรที่ไม่ดี ทำอะไรแผลงๆ  ที่มนุษย์ไม่ทำ หรือทำอะไรที่สังคมรับไม่ได้

คือมนุษย์ทำอะไรที่สังคมรับไม่ได้เราก็คงไม่เอาทศกัณฐ์ไปทำแบบนั้นแน่ๆ

เราอยากให้หนังออกมาในโทนน่ารัก ไปทำกิจกรรมเหมือนที่มนุษย์ธรรมดาทำ พยายามจะสื่อสารว่าประเทศไทยมีที่เที่ยวน่าไปมากมาย ไปเที่ยวตรงนี้คุณจะได้ทำกิจกรรมแบบนี้ ได้ไปดูหิ้งหอย ไปขับโกคาร์ต หรือถ้าไปหัวหินก็จะได้ขี่ม้า มันเป็นกิจกรรมที่คนไปทำกัน เป็นกิจกรรมที่ทำได้จริง นั่นเพราะเราอยากให้เห็นว่ายักษ์ยังสนุกกับการเที่ยวเมืองไทยเลยทำไมมนุษย์ไม่รู้สึกบ้าง คิดว่าทั้งหมดมันก็ไม่ใช่เรื่องเสื่อมเสียอะไร

  • บางคนมองว่าการแสดงออกเรื่องวัฒนธรรมต้องอยู่ในภาพลักษณ์ที่สูงส่งกว่านั้น

ใช่ครับ มันถึงมีคำว่าเอาขึ้นหิ้ง และผมคิดว่า เราจับวางสถาบันต่างๆไว้สูงเกินไป แตะต้องไม่ได้ มันเลยกลายเป็นว่าสถาบันเหล่านั้นไม่มีกระจกที่จะส่องตัวเองได้ พอมีข้อผิดพลาดก็ไม่รู้ อย่างตอนเรื่องหนังอาบัติที่ทำเรื่องพระก็มีคนที่ออกมาต่อต้านเพราะมองว่าเป็นประเด็นที่ไม่สมควร มันมองได้เหมือนกันว่าคุณกำลังให้ความเป็นสถาบันอยู่สูงเกินไป จนคนไม่กล้าสะท้อนความเป็นจริงรึเปล่า พอมีปัญหาก็แก้ไม่ได้นั่นเพราะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสังคมมองเรื่องนี้อย่างไร อยากให้เข้าใจว่าของเหล่านี้ต้องเปิดใจบ้าง มันมีวิวัฒนาการของมัน อย่างวัฒนธรรม ถ้าปัญหามันอยู่สูง แตะต้องไม่ได้ เด็กรุ่นใหม่ก็ไม่รู้จัก ไม่สนใจ สักวันมันก็จะหาย กลายเป็นวัฒนธรรมที่คนรุ่นใหม่ ไม่รู้จักและเลือนกันไป

  • ในฐานะผู้กำกับ จะมีผลต่อการทำงานในอนาคตหรือไม่

ไม่มีผลหรอก เราก็ทำต่อในสิ่งที่เราคิดว่าดี มันคงไม่บ่อยหรอกที่เราจะจับโขนมาใส่ในงาน แต่ถ้าได้โอกาสก็พร้อมจะทำอีก ไม่ได้กังวลอะไร ที่ผมออกมาพูด ออกมาแสดงความเห็น เพราะผมมองว่ามันเป็นหน้าที่ของผู้กำกับที่ทำให้สังคม เราก็เป็นคนทำสื่อ ผลิตสื่อ เป็นคนผสมผสานระหว่างศิลปินกับสื่อมวลชน เราก็จะรับผิดชอบและชี้นำในทางที่ถูก ซึ่งก็หมายถึงการให้ข้อมูลในเมื่อสังคมกังขา เราก็ต้องชี้แจง เล่าว่าสังคมเกิดอะไรขึ้น

 -- ติดตามบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มที่เซคชั่นจุดประกาย หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 26 กันยายน 2559 --