ขนส่งมวล “แชร์”

เมื่อระบบขนส่งมวลชนไม่สนองชีวิตประจำวัน นำไปสู่การรวมตัวของคนที่ต้อง ‘ค้นหา-แบ่งปัน’ วิธีการสัญจรด้วยตัวเอง

Aeitoo: รถ 138 หมดกี่ทุ่มหรอคะ

POP-kurobuta: ตอนนี้ถึงไหนกันบ้างแล้วครับ

          Focus left the group.

Nutty: ใครรออยู่ที่ BTS บ้างครับตอนนี้

PALITA: อยู่ป้ายหอการค้าขาด 3 คนมีใครจะกลับไหมคะ

Maximus_mus: มาช้าจัง วันนี้

Photo_Nutty: มีรถตู้จากสวนไปพระประแดงไหมครับ

          

กรุ๊ปไลน์ สาย138

แน่นอนว่ามันมีรายละเอียดมากไปกว่าถ้อยความข้างต้น แต่หลักๆ แล้วกรุ๊ปไลน์ สาย 138 ซึ่งเป็นการรวมตัวของผู้โดยสารรถเมล์สาย 138 (จตุจักร-อู่พระประแดง) ยังเน้นไปที่การอัพเดทสถานการณ์ของรถประจำทาง ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางเดินรถ ระยะเวลาการวิ่ง สถานการณ์ความหนาแน่นของผู้โดยสาร กระทั่งหาเพื่อนร่วมเส้นทางเพื่อใช้บริการรถตู้ ในยามที่รถประจำทางหลัก “เบียดเสียด” เกินกว่าจะรับใครได้อีก

“บางวันก็มีหาเพื่อนแชร์ค่าแท็กซี่ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเพื่อนนักศึกษาด้วยกัน หรือไม่ก็น้องนักเรียน ร.ร.สุรศักดิ์มนตรี ที่อยู่ข้างๆ กัน 2 กลุ่มรวมกันได้ประมาณ 4-5คน” ปาลิตา อินทร์โต นักศึกษามหาวิทยาลัยหอการค้าที่ตั้งกลุ่มไลน์รถเมล์ 138 บอก

จากย่านดินแดงถึงที่หมายละแวกพระประแดง (ป้ายแรกเมื่อลงทางด่วน) สนนราคาโดยสารเฉลี่ย 180-220 บาท หารแล้วคนล่ะ 40-50 บาท… แม้จะอัตราที่แพงกว่าค่าโดยสารประจำทางปรับอากาศที่เป็นความต้องการแรกก็จริง ทว่าในยามที่ไร้ทางเลือก การรวมกลุ่มกันแสวงหาทางออกเพื่อ “แชร์” ค่าโดยสาร และข้อมูลต่างๆ ว่าด้วยการเดินทาง คือสิ่งที่พวกเขาต้องทำ และแบกรับมันให้ได้

เธอ เล่าที่มาของการตั้งกลุ่มซึ่งเกิดขึ้นเมื่อปีก่อนว่า ตนเองขึ้นรถเมล์สาย 138 เป็นประจำ เนื่องจากเป็นรถเมล์สายเดียวที่วิ่งจากวิภาวดีรังสิต จอดหน้ามหาวิทยาลัย เพื่อมุ่งหน้าไปยังย่านพระประแดง แต่ที่ผ่านมาประสบปัญหารถมีน้อย ครั้นเมื่อรถมาถึงป้ายหน้ามหาวิทยาลัยซึ่งเป็นป้ายรองสุดท้ายก่อนขึ้นทางด่วนก็มีคนขึ้นแน่นมาก จนไม่สามารถปิดประตูได้ จึงนำไปโพสต์ในเฟสบุ๊คกลุ่มเพื่อนนักศึกษาด้วยกันเพื่อหาคนแชร์ค่าแท็กซี่ ช่วยกันหาวิธีทางกลับบ้านแทนรถเมล์ที่แน่นมากๆ

“จากนั้นก็มีคนแชร์ QR Code ไปเรื่อยๆ ทำให้มีคนเข้ามาในกรุ๊ปเยอะขึ้น ครั้งแรกมีคนเข้ามา รวมๆ 400-500 กว่าคนได้ แต่ก็มีบางคนที่คุยมากกว่าเรื่องการขึ้นรถ เสียงไลน์เลยดังตลอด ทำให้บางส่วนก็กดออก เราเลยไปตั้งใหม่ แต่จากนั้นก็โดนป่วนอีก คราวนี้มาตั้งใหม่เป็นครั้งที่ 3 ซึ่งตกลงว่า จะคุยกันเฉพาะเรื่องการเดินทางจริงๆ และในจำนวนนี้ก็มีคนของ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เข้ามาด้วย เขาก็บอกว่า ทราบปัญหาแล้ว เรื่องจำนวนผู้โดยสาร ก็คิดว่าน่าจะมีการแก้ปัญหาได้บ้างในอนาคต” ปาลิตา บอก

ว่ากันตามจริง แม้สมาชิกในกรุ๊ปไลน์ สาย 138 จะมีสมาชิกถึงราวๆ 149 คน (19ก.ย.) แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่ประสบปัญหาพร้อมกันทุกๆ วัน เนื่องด้วยบางรายมีกลุ่มหารแค่แท็กซี่เป็นประจำ บางคนเลือกขึ้นรถตู้โดยสารแทน ทั้งยังไม่รวมถึงการแก้ปัญหาอื่นๆ ที่แต่ละคนใช้จัดการหาทางออกในยามที่วิถีการเดินทางในแต่ละวันไม่แน่นอน

“สมาชิกส่วนใหญ่ก็พร้อมจะอยู่ในกลุ่ม เพื่อติดตามข่าวสารเตรียมไว้ในกรณีที่ตัวเองต้องขึ้นรถเมล์ จะได้รู้ว่า ตอนนี้รถเมล์ถึงไหน มีปัญหาอะไรบ้าง” หนึ่งในสมาชิกให้ความเห็น

กรุ๊ปไลน์สาย 138 จึงเป็นทั้งตัวอย่าง และการรวมกลุ่มหาทางออก ของมนุษย์เมืองกรุงฯ ที่ต้องพึ่งพาขนส่งมวลชนเป็นหลัก แต่ขณะเดียวกันก็ไม่มีใครมั่นใจได้ว่าการเดินทางของวันพรุ่งนี้ จะราบเรียบอย่างที่อยากให้เป็นหรือไม่

 

บอกด้วย-ช่วยได้

ถึงจะเป็นคนกรุงฯ ก็เถอะ แต่หากต้องสัญจรออกนอกพื้นที่เคยชิน ก็เป็นไปได้ว่า แค่การจะขึ้นรถประจำทางให้ถูกต้องก็กลายเป็นของยาก

การแชร์ข้อมูลที่จำเป็น เช่น แผนที่เดินรถ สายรถประจำทาง ค่าโดยสาร การเชื่อมถึงขนส่งมวลชนประเภทอื่น ฯลฯ จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง แต่กลับกันที่ป้ายรถโดยสารส่วนใหญ่ในกรุงเทพฯ ประหนึ่งไม่ต่างจากเป็นพื้นที่โฆษณา และเหตุนี้ พิสุทธิ์ สมบุญ จึงเดินหน้าผลักดันโครงการรณรงค์เปลี่ยนป้ายรถเมล์จากเพื่อการโฆษณาสู่ป้ายรถเมล์เพื่อบอกเส้นทางแก่ประชาชนใน Change.org/BKKBusStop มาอย่างต่อเนื่อง

“ปัจจุบันป้ายรถเมล์ในกรุงเทพฯ แค่จะบอกว่า มีรถเมล์สายอะไรเข้ามาบ้าง แล้วก็จะเป็นป้ายโฆษณา เวลา(รถเมล์)สายนั้นมาถึง ก็ต้องรีบอ่านอย่างรวดเร็วว่า ผ่านจุดหมายที่เราจะไปหรือไม่ ถ้าใช่ก็ต้องรีบขึ้น ถ้าช้าก็ต้องเสียเวลารอคันใหม่ หรือบางครั้งโชคไม่ดีไม่มีสายใดจะไปจุดหมายที่ต้องการก็ต้องเสียเวลารอ ทำให้หลายคนเลือกตัดปัญหาด้วยการต้องนั่งแท็กซี่ แต่ยังมีอีกหลายคนไม่ต้องการเสียเงินแพงก็ต้องจำใจรอต่อไป” หนึ่งในผู้ผลักดันโครงการรณรงค์กล่าว

คงเป็นแนวทางเดียวกับ กมลธัช ไพฑูรย์วิรัชชัย แอดมินเพจ Bangkokbusclub.com ชุมชนคนรักรถเมล์ ซึ่งเป็นแฟนเพจที่ให้ข้อมูลข่าวสาร ว่าด้วยการใช้รถเมล์ บอกว่า ข้อมูลที่จำเป็นสำหรับผู้ใช้รถโดยสาร เช่น การเปลี่ยนเส้นทางเดินรถ การก่อสร้างที่อาจมีผลต่อสภาพการจราจร ฯลฯ มักไม่ได้รับการสื่อสารไปถึงผู้โดยสารจริงๆ ทั้งที่เป็นเรื่องจำเป็น

นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมพวกเขาจึงต้องลุกมาหาวิธีสื่อสารโดยใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียอีกแรง

“ตอนแรกเริ่มมาจากเว็บบอร์ดครับ จะเป็นเว็บที่รวมคนชื่นชอบเกี่ยวกับรถเมล์ จากนั้นเมื่อเฟซบุ๊คได้รับความนิยม จึงเปิดเพจเพื่อเพิ่มช่องทางการสื่อสาร ผมเชื่อว่า ทุกคนผูกพันกับรถเมล์ แต่ปัจจุบันปัญหาเรื่องสภาพรถ การซ่อมบำรุง รวมถึงเรื่องจำนวนพนักงานทำให้รถเมล์หลายสายมีรถวิ่งน้อยลงทำให้เป็นปัญหา”

ถึงจะเป็นเพียงข้อมูลพื้นฐาน แต่พวกเขาเล็งเห็นว่า ทั้งหมดล้วนมีความจำเป็นสำหรับการเดินทาง พร้อมๆ กับที่เชื่อว่า อุปสรรคของการสัญจรแบบที่รู้ๆ กันอยู่จะพอทุเลาได้บ้าง หากเราแชร์ และบอกต่อสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อกัน

 

ขนส่งมวลชนทำมือ

เมื่อปีก่อน ยรรยง บุญ-หลง สถาปนิกชุมชน ได้สำรวจ และสะท้อนภาพการสัญจรของคนกรุงเทพผ่านหนังสือที่ชื่อ Bangkok Handmade Transit กรุงเทพฯ: ขนส่งทำมือ ซึ่งเขาเองเป็นบรรณาธิการ

งานสำรวจชิ้นนั้น หลักๆ ว่าด้วย วิถีชีวิต และการคิดหาวิธีเดินทางของคนกรุงฯ แบบไม่เป็นทางการในแต่ละวัน ซึ่งการเดินทางแบบที่ว่านั้น มีไม่น้อยที่เป็นนวัตกรรมที่ผู้โดยสารคิดกันเอง ไม่ได้เป็นระบบที่รัฐจัดหาให้ ตัวอย่างเช่น การนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างตรงป้ายรถประจำทางเพื่อไปต่อเรือที่คลอง หรือการเดินลัดเลาะเข้าซอยทางลัดเพื่อไปขึ้นรถอีกฝั่งที่จะประหยัดเวลามากกว่า

“คนกรุงที่ต้องเข้าเมืองจะรู้ว่า จะนั่งเรือโดยสารคลองแสนแสบ ต้องลงสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT แล้วเดินไปหน่อย หรือถ้าอยู่แถวท่าพระจันทร์อยากจะไปแถวสยามเร็วที่สุดคือการนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างมาลงท่าเรือผ่านฟ้าแล้วนั่งมาสะพานหัวช้าง จากนั้นก็ให้เดินหรือนั่งมอเตอร์ไซค์ต่อ เพราะถ้ารถประจำทาง คุณอาจจะคุมเวลาเดินทางไม่ได้” ยรรยง ยกตัวอย่างที่ว่าด้วยการสัญจรในกรุงเทพฯ

พวกเขา (ผู้สำรวจ) และพวกเรา (คนเดินทาง) เข้าใจตรงกันว่า วิธีการข้างต้นเป็นความรู้ และทักษะที่ได้จากประสบการณ์ชีวิต แต่ทักษะที่ช่วยให้เราเอาตัวรอดได้เองเหล่านี้ มันเป็นคนละเรื่องกับระบบขนส่งมวลชน “แบบเปิด” ที่รัฐเองก็น่าจะสร้างโอกาสให้ใครๆ ก็สามารถใช้ได้ ไม่ว่าจะเป็นชาวต่างชาติ หรือผู้เดินทางขาจร

ส่วนรถไฟฟ้าที่น่าจะเป็นการเดินทางที่ดีที่สุดในขณะนี้นะเหรอ….ใช่-สำหรับบางคนมันก็โอเค แต่สำหรับบางคนพวกเขายังมองว่า “แพงไป” และไม่สัมพันธ์กับค่าเฉลี่ยรายได้

เมื่อระบบที่มีไม่สัมพันธ์กับวิถีชีวิต จึงเป็นที่มาของการแชร์ข้อมูลแบบ open data ของผู้โดยสารกันเอง แบบเดียวกับการตั้งกระทู้ถามในพันทิป ถามคนที่รู้จัก หรือถ้าไปไกลกว่านั้นนี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่จะมีการ “โกง” เกิดขึ้น

“ถ้ารัฐไม่แก้ปัญหา ผู้โดยสารเขาก็ต้องแก้ปัญหากันเอง เขาก็ต้องแชร์ข้อมูลเพื่อหาทางรอดกันเอง อย่างค่าโดยสารรถไฟฟ้าเอง ก็อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นให้มีการแลกบัตรโดยสารระหว่างสถานีไกลกับสถานีใกล้ๆ เพราะเครื่องสแกนออกไม่สามารถจับได้” ยรรยง บอกและว่า ควรให้สิทธิของคนที่ใช้รถเมล์ โดยเทียบ 1 คนเท่ากับรถยนต์ 1 คัน ดังนั้นรถเมล์ที่มี 70 คน ควรมีสิทธิเท่าขบวนรถ 70 คัน เพราะในช่วงเร่งด่วนคนขับรถคันละ 1 คน จึงถึงเวลาแล้วที่เราควรมีเลนด่วนสำหรับรถเมล์ในช่วงเร่งด่วน

อย่าให้ขนส่งมวลชนที่น่าจะเป็นการบริการพื้นฐานจากรัฐ ต้องกลายเป็นระบบขนส่งมวล “แชร์” ที่ผู้โดยสารต้องแบ่งปันเพื่อหาข้อมูลเอาตัวรอดกันเอง!