เรเน เซลล์วีเกอร์ กับภาคสามของ Bridget Jones

“ทำไมเรายังคุยเรื่องหน้าตาของผู้หญิงอยู่อีก”
โลกนี้มีมายา หน้า 4 ศุกร์ 02/09/16 ภาพ lok02091-2
บายไลน์
“เป้าหมายหลักของฉัน คือการหลีกเลี่ยงเรื่องลบๆ ที่อาจเข้ามาในความรับรู้ หากฉันไม่สนใจ มันก็ไม่เป็นเรื่องจริง มันก็จะไม่มีตัวตน”
ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา เรเน เซลล์วีเกอร์ เลี่ยงเรื่องพวกนี้อย่างบ้าคลั่ง เธอเว้นช่วงจากการแสดงไปร่วมกลุ่มความสงบของชีวิต ใช้เวลาช่วงหยุดทำงานในฟาร์มขนาด 40 เอเคอร์ ที่คอนเนคติกัต พักผ่อนในบ้านริมหาดในแฮมป์ตันส์ แล้วเก็บตัวขณะอยู่ในบ้านที่ซานตาบาร์บารา
เธอยังสมัครเข้าคอร์สเขียนบทในยูซีแอลเอ รวมถึงร่วมเขียนบทโทรทัศน์ตอนทดลองกับหนึ่งในอาจารย์ของเธอ และพยายามเติมเต็มจิตวิญญาณตัวเองด้วยวิธีอื่นๆ
“ฉันอยากเติบโต” เธอบอก “ถ้าคุณไม่ค้นหาสิ่งอื่นๆ บ้าง 20 ปีต่อมาที่คุณจะตื่นขึ้นและยังคงเป็นคนเดิมที่เรียนรู้แค่ตอนที่ต้องค้นคว้าเกี่ยวกับตัวละคร คุณต้องเติบโต!”
อย่างไรก็ตาม ในเดือนกันยายน เซลล์วีเกอร์ วัย 47 ปี จะกลับมาสู่การแสดงอีกครั้งกับบท บริดเจ็ต โจนส์ ใน Bridget Jones's Baby ภาคสามของซีรีส์ภาพยนตร์โรแมนติกคอเมดี้อย่าง Bridget Jones's Diary ขณะที่ก่อนหน้านี้เธอต้องเจอกับเสียงวิจารณ์ต่อรูปลักษณ์ของเธอที่อายุมากขึ้นซึ่งทำให้เธอระมัดระวังสื่อมากกว่าแต่ก่อน
“ฉันไม่เคยมองการเติบโตของผู้หญิงในแง่ลบเลย” เธอพูดถึงการแก่ตัวในฮอลลีวู้ด “ฉันไม่เคยมองว่าการที่ผู้หญิงมีพลังในตัวเองมากขึ้นเป็นเรื่องไม่ดีเลย ทำไมเรายังต้องพูดถึงรูปลักษณ์ของผู้หญิงด้วย ทำไมคุณให้ค่าความงามมากกว่าผลงาน”
ก่อนหน้าที่จะได้รับบท บริดเจ็ต โจนส์ เธอมีชื่อเสียงมาพอสมควรแล้วจากการแสดงในหนังหลายเรื่อง รวมถึง Jerry Maguire ปี 1996 เธอได้รับรางวัลเปิดตัวยอดเยี่ยมจากเวทีอินพิเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ด จากบทบาทใน Love and a .45 ปี1994 และในปีเดียวกันนั้นเธอได้แสดงร่วมกับ แมทธิว แม็คคอนาเฮย์ ใน Texas Chainsaw Massacre: The Next Generation แต่มาดังสุดๆ กับบทนำใน Bridget Jones's Diary ปี 2001 ทำให้เธอกลายเป็นดาราแถวหน้า
หนังเรื่องนั้นทำรายได้มากกว่า 280 ล้านดอลลาร์จากทั่วโลกและทำให้เธอเข้าชิงออสการ์สาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยมเป็นครั้งแรก ส่วนภาคสอง Bridget Jones: The Edge of Reason ก็ทำรายได้ไปมากกว่า 260 ล้านดอลลาร์
ในระหว่างภาคหนึ่งและสอง เซลล์วีเกอร์ ยังได้เข้าชิงออสการ์จากบท ร็อกซี ฮาร์ท ใน Chicago ปี 2002 และคว้าออสการ์สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม จาก Cold Mountain ปี 2003 เธอยังเคยทำงานร่วมกับ รัสเซลล์ โครว์ ใน Cinderella Man ปี 2005
ในช่วงปี 2010 เธอตัดสินใจพักจากงานแสดง และหันไปสนใจงานสร้างสรรค์ด้านอื่นโดยเฉพาะการเขียน
“การเขียนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตฉันเสมอ มันทำให้ฉันมีความสุข ตอนนี้ มีผู้หญิงมากมายที่ทำงานเขียน โปรดิวซ์ และกำกับ” เธอบอก “มันน่าเบื่อนะเวลาที่คนเอาแต่พูดว่า พวกเขาจะทำอะไร หรือพวกเขาอาจทำอะไร หรือพูดถึงสิ่งที่พวกเขาอยากทำ มันจะน่าสนใจกว่าถ้าคุณแค่ทำแล้วบอกว่า ‘นี่ไง’”
ช่วง 6 ปีที่ผ่านมา เธอใช้ชีวิตเป็นนักเขียนมากกว่าดาราหนัง เธอเพิ่งขายบ้านไร่ในคอนเนคติกัตกับบ้านริมหาดในลองไอส์แลนด์ และหันหาปักหลักที่เวสต์ลอสแองเจลิส ห่างไกลจากสื่อสังคมออนไลน์ ไม่ให้สัมภาษณ์ และหลบจากคอลัมน์ซุบซิบ แต่เธอยังคบเพื่อนในฮอลลีวู้ดโดยเฉพาะ แนนซี ไรเดอร์ อดีตประชาสัมพันธ์ของเธอ ซึ่งบอกว่า มีช่วงเวลา 10 ปีที่ยอดเยี่ยมในการเป็นเพื่อนและทำงานให้กับ เซลล์วีเกอร์
การกลับมากลางแสงไฟ ในหนัง Bridget อีกครั้ง หลังช่วงเวลาหลายปีที่สื่อเปลี่ยนแปลงไปมาก ได้รบกวนจิตใจนักแสดงสาวพอสมควร เธอดูฝืดๆ เล็กน้อยเมื่อต้องปฏิสัมพันธ์กับนักข่าว “ฉันไม่เก่งเรื่องสื่อ เป็นส่วนหนึ่งในงานที่ฉันสบายใจน้อยที่สุด เพราะฉันเป็นพวกรักษาความเป็นส่วนตัว” เธอยินดีจะพูดเรื่องการเมืองมากกว่าเรื่องส่วนตัว
มีช่วงเดียวเท่านั้นในช่วง 6 ปีที่ เซลล์วีเกอร์ ออกมาบนหน้าสื่อซึ่งไม่ค่อยดีนัก ในปี 2014 ที่งานเลี้ยงของนิตยสารแอลล์ รูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปของดาราสาวสร้างข่าวลือเกี่ยวกับการทำศัลยกรรมพลาสติก เธอรู้สึกเหมือนถูกบังคับให้ออกมาตอบ “ก็ดีใจนะที่หลายคนเห็นว่าฉันเปลี่ยนไป ฉันมีชีวิตที่ต่างจากเดิม มีความสุข และรู้สึกได้รับการเติมเต็มมากขึ้น ตื่นเต้นนะที่มันแสดงออกมา”
โอเวน ไกลเบอร์แมน นักวิจารณ์หนังจากเว็บไซต์วาไรตี กล่าวถึงเธอในตัวอย่างหนัง Bridget Jones's Baby's ในบทความชื่อ ‘เรเน เซลวีเกอร์ : หากเธอไม่ดูเหมือนตัวเองอีกแล้ว เธอจะกลายเป็นนักแสดงที่ต่างออกไปด้วยหรือไม่’ เนื้อหาที่แตะเรื่องการแบ่งแยกทางเพศ ทำให้ดาราสาว โรส แม็คโกแวน เขียนบทความตอบโต้ ไกลเบอร์แมน อย่างแรง ในเว็บไซต์ฮอลลีวู้ดรีพอร์ตเตอร์ เช่นเดียวกับ เซลล์วีเกอร์ ที่ตอบโต้ในคอลัมน์ของ เดอะ ฮัฟฟิงตัน โพสต์
“มันไม่ใช่ธุระกงการของใคร แต่ฉันไม่ได้ตัดสินใจเปลี่ยนหน้า และทำศัลยกรรมดวงตาของฉัน”
แน่นอนว่า 12 ปีนับจากภาคสองของ Bridget Jones เข้าฉาย ในยุคของหนังซูเปอร์ฮีโรทำให้ไม่มีใครกล้าทำหนังรอมคอมทุน (โรแมนติก-คอเมดี) ไม่สูงนักอีกต่อไป (Bridget Jones's Baby ใช้เงิน 35 ล้านดอลลาร์) ไม่น่าแปลกเลยว่า เหตุใดถึงใช้เวลาเกินทศวรรษในการสร้างอีกภาค
“เพื่อนผู้หญิงทุกคนของฉันกำลังรอดูหนังที่พวกเธอจะเชื่อมโยงได้ และฉันไม่รู้เลยว่าทำไมเราถึงจะไม่สร้างหนังเรื่องเพื่อพวกเธอ” เซลล์วีเกอร์ บอก “หลายอย่างในโลกอาจเปลี่ยนไป แต่เราก็ยังคุยเรื่องตัวเอง คุยว่าเราจะพัฒนาได้ยังไง หรือสิ่งที่เรารู้สึกไม่มั่นคง หรือความล้มเหลวของเรา”
เมื่อภาคสามได้รับไฟเขียว เซลล์วีเกอร์ โยนตัวเองกลับไปรับบทเดิมที่เป็นโปรดิวเซอร์เงาของรายการ Good Morning Brit ใช้เวลาหลายชั่วโมงคุยกับนางพยาบาลผดุงครรภ์ ดูวีดีโอการคลอดมากมายบนยูทูป และขัดเกลาสำเนียงอังกฤษของเธอ
“เธออยู่ในทุกฉาก และมีเรื่องใหญ่ต้องทำ” ชารอน แม็กไกวร์ ผู้กำกับภาคนี้บอก “เธอจะยกเท้านานห้านาทีก็ได้ตอนไม่ได้อยู่หน้ากล้องแต่เธอไม่ทำ” โคลิน เฟิร์ธ ที่จะกลับมาในภาคนี้ด้วยบอกว่า “ตอนที่ผมเจอ เรเน ความรู้สึกผมบอกว่าเธอคิดว่าบทนี้มันท้าทาย หรือถ้าไม่ใช่เธอก็คงซ่อนไว้ดีมากๆ เธอทำให้ผมประหลาดใจว่า เรเน แตกต่างจาก บริดเจ็ต มากแค่ไหน”
เซลล์วีเกอร์ คาดหวังกับการแสดงในภาคสามของ Bridget ไว้สูงมากเช่นกัน “ฉันรักตัวละครนี้” เธอบอก “บริดเจ็ต ทำให้ความไม่สมบูรณ์แบบเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ยอมรับได้”







