ทะเลเรียบถึงมีคลื่นเล็กน้อย
ไม่แคร์ฟ้าฝน ไม่สนคลื่นลม พาหัวใจไปสะสมโมเม้นท์ดีๆ ที่ชุมพร
เกือบสิบชั่วโมงบนถนนเพชรเกษมสู่จังหวัดชุมพรในช่วงเทศกาลที่ตลอดเส้นทางมีการปรับปรุงถนนเป็นระยะ แม้จะสร้างความอ่อนล้าให้เพื่อนร่วมทริปเป็นอันมาก แต่หลังจากที่รถยนต์จอดสนิท ณ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร ความเหน็ดเหนื่อยหายไปเป็นปลิดทิ้ง
.......
ฉันลุกจากเตียงตั้งแต่เช้ามืดเพื่อรอแสงแรกที่มองเห็นได้จากบ้านพักอุทยานฯ ซึ่งตั้งอยู่ในมุมสูง แล้วก็ไม่ผิดหวังท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีทองอมชมพูระเรื่อ แม้จะไม่เห็นพระอาทิตย์ดวงกลมโตอย่างที่หวัง แต่ก็เป็นยามเช้าที่สดชื่นและมีความหวัง ใช่แล้ว...เราต่างตั้งความหวังไว้สูง ....หวังว่าวันนี้ฝนจะไม่ตก
นัดหมายกับเรือว่าจะออกไปเที่ยวเกาะต่างๆ กันประมาณ 9 โมงเช้า ไม่ได้เอาฤกษ์เอาชัยอะไร แต่เพราะต้องออกไปหาอาหารเช้ารองท้องกันไกลหลายกิโลเมตร เนื่องจากร้านอาหารสวัสดิการไม่สะดวกเพราะต้องรับแขกVIPทั้งเด็กและผู้ใหญ่
มาถึงชายหาด เรือประมงที่ดัดแปลงเป็นเรือสำหรับพานักท่องเที่ยวไปดำน้ำตื้นบริเวณเกาะรอบๆ อุทยานฯ จอดรออยู่แล้ว ฉันแหงนมองท้องฟ้าแอบภาวนาให้ฟ้าใสอย่างนี้ไปตลอด ก่อนจะก้าวขึ้นมานั่งบนเรือพร้อมคนอื่นๆ
เสื้อชูชีพพร้อม อุปกรณ์กันแดดพร้อม คนเรือบอกว่าทริปนี้จะไปสำรวจโลกใต้ทะเลชุมพรกันทั้งหมด 4 เกาะ ใช้เวลาประมาณ 4-6 ชั่วโมง แล้วแต่อัตราความอ้อยอิ่งของแต่ละกรุ๊ป ...พร้อมแล้วก็ออกเดินทางกันเลย
นกไร้ขา ‘รังกาจิว’
“นกไร้ขา ได้แต่บิน บิน และบิน เหนื่อยก็นอนในสายลม” จู่ๆ ฉันก็คิดถึงประโยคนี้ขึ้นมาขณะที่เรือค่อยๆ แล่นเข้าใกล้เกาะสัมปทานรังนกแห่งนี้
แหงนหน้ามองฟ้าใสๆ นกสองสามตัวบินโฉบอยู่ในอากาศ ไม่รู้ว่าใช่นกนางแอ่นหรือไม่ แต่ที่อดคิดไม่ได้คือแม้มันจะไม่ไร้ขากลับต้องเผชิญชะตากรรมอันโหดร้ายจากมนุษย์ที่อยากได้สุขภาพดีจากน้ำลายของพวกมัน โชคดีที่วันนี้รังกาจิวมีจุดขายที่น่าสนใจกว่ารังนก น้ำทะเลใสๆ ไหวกระเพื่อมแต่ยังมองเห็นแนวปะการังเบื้องล่างได้อย่างชัดเจน มองจากบนเรือคือหน้าผาและโค้งหาดสีขาวสวยงาม เรือประมงจอดเรียงรายอยู่ไกลออกไป ขณะที่เรือท่องเที่ยวทอดสมออยู่ในจุดที่ไม่เป็นการรบกวนแนวปะการัง
เห็นอย่างนี้หลายคนแทบจะอดใจไม่ไหว รีบกระโจนลงน้ำพร้อมสน็อกเกิลคู่ใจเพื่อไปสำรวจความสวยงามเบื้องล่าง แสงแดดพอประมาณคือตัวช่วยอย่างดีสำหรับการดำผิวน้ำ ภาพที่เห็นคือแนวปะการังขนาดใหญ่แม้จะมีปรากฎการณ์ฟอกขาวอยู่บ้าง แต่ก็ยังสวยงามและเต็มไปด้วยปลาหลากหลายชนิดแหวกว่ายมาทักทายกันแบบไม่มีเบื่อ ส่วนใครที่อยากเปลี่ยนฟีลมานั่งชมวิวพาโนรามา สามารถว่ายขึ้นหาดไปเดินเล่นนั่งเล่นได้ เรียกว่าจะว่าย จะดำ จะนั่ง จะนอน ...เชิญตามอัธยาศัย
โปรดฟังอีกครั้ง ‘เกาะละวะ’
โบกมือลารังกาจิว ภาพเพิงพักของคนเก็บรังนกบริเวณชะง่อนผาค่อยๆ เลือนหายไปจากสายตา เรือลำเดิมแล่นต่อไปยังเกาะที่สองที่คนเรือตะโกนผ่านเสียงเครื่องยนต์มาทีแรก ทุกคนได้ยินเพี้ยนเป็น “เกาะไรวะ” นั่นสิ...เกาะไรวะ
“ไม่ใช่ครับ”...เขาบอก เกาะ-ละ-วะ
ด้วยความที่เป็นเกาะหินขนาดใหญ่และสูงชันมาก รอบเกาะไม่มีหาดทราย เป้าหมายจึงชัดเจนว่าต้องดำน้ำเท่านั้น บริเวณนี้ถือเป็นจุดที่มีปะการังค่อนข้างสมบูรณ์เหมาะแก่การดำน้ำตื้น ที่เห็นก็มีปะการังสมอง ดอกไม้ทะเล หอยมือเสือ ขนนกทะเล แต่ที่เป็นไฮไลท์ก็คือ ปลาการ์ตูนอินเดียนแดงที่ดำผุดดำว่ายในกอดอกไม้ทะเลน่ารักน่าชัง ส่วนที่ทำให้บางคนออกอาการสะดุ้งเล็กน้อยเห็นจะเป็น เม่นทะเล ตัวสีดำมีหนามแหลมคม นักดำน้ำมือใหม่มักกลัวว่าหนามมันจะทิ่มพุงเพราะระยะการมองเห็นเหมือนจะใกล้ แต่ที่จริงแล้วอยู่ลึกลงไปไม่น้อย (ยังไงก็เถอะ...ขอว่ายไปดูอย่างอื่นดีกว่า)
เราใช้เวลาก้มหน้ามุดน้ำอยู่สักพักก็กลับขึ้นเรือเพื่อเดินทางต่อไปยังเกาะที่คนเรือบอกว่า “สวยไม่แพ้กัน” และถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดเราจะรับประทานอาหารกลางวันกันที่นั่น
อิ่มกำลังดีที่ ‘เกาะมัตรา’
แสงแดดเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ ตามองศาของดวงอาทิตย์ ทว่า ทะเลราบเรียบไร้คลื่นลม ฉันรู้สึกเหมือนกำลังล่องลอยอยู่กลางสระว่ายน้ำไร้ขอบ สีฟ้าจัดชวนให้กระโดดลงไปแหวกว่ายให้ชุ่มฉ่ำ แม้จะมีเสียงเตือนจากกระเพาะน้อยๆ แต่ทุกคนลงความเห็นว่าขอลงน้ำก่อน
ใต้ทะเลบริเวณเกาะมัตรา หรือเกาะมาตรา มีแนวประการังแผ่กว้างอยู่บริเวณหน้าหาดทรายขาวสะอาด น้ำใสชนิดที่มองเห็นได้จากบนเรือเลยทีเดียว แต่ถ้าอยากจะรู้ว่าลึกลงไปนั้นมีสิ่งมีชีวิตอะไรซ่อนตัวอยู่บ้างคงต้องพึ่งชูชีพและสน็อกเกิลกันอีกครั้ง
และก็ไม่ผิดหวัง นอกจากปะการังที่ยังสมบูรณ์ ฝูงปลาก็ชุกชุม ทั้งปลานกแก้ว ปลาสลิดหิน ปลาผีเสื้อ เรียกว่าว่ายกันเพลินจนลืมหิวเลยทีเดียว สำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากใช้เวลาให้มากหน่อย สามารถพักค้างคืนบนเกาะนี้ได้ มีที่พักเพียงแห่งเดียวคือบังกะโลบ้านลุงขาว กลางคืนมีโชว์พิเศษเป็น ปูไก่ ที่เวลาเดินจะส่งเสียงร้องคล้ายลูกไก่ ใครอยากรู้ว่าเป็นอย่างไรคงต้องเจาะจงมาพักที่นี่ ส่วนกรุ๊ปเราที่แวะมาแค่ดำน้ำก็ได้อาศัยทิวทัศน์ของเกาะประกอบการลอยลำทานอาหารกลางวันกันอย่างรื่นรมย์
ไลค์เลย ‘หลักแรด’
“เกาะต่อไปชื่ออะไรคะ” ใครบางคนถามขึ้น ขณะเรือกำลังมุ่งหน้าไป
“เกาะ...” เขายิ้มเขินๆ ก่อนจะเบือนหน้าออกทะเล เปล่งเสียงเบาๆ ด้วยความระมัดระวัง “เกาะแรด”
“เกาะแรด” สาวๆ เน้นเสียงพร้อมรัวหัวเราะส่งท้าย
เกาะแรด เป็นจุดหมายสุดท้ายของทริปนี้ ว่ากันว่าที่มาของชื่อนั้นเกิดจากรูปทรงของเกาะที่ดูละม้ายคล้ายสัตว์ป่านามว่า“แรด” ส่วนจุดที่เราจะลงดำน้ำกันเป็นบริเวณภูเขาหินปูน 3 ก้อน ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “หินหลักแรด”
หลักแรดไม่มีชายฝั่งหรือชายหาด เรือต้องลอยลำอยู่ห่างออกมาเพื่อไม่ให้กระทบแนวปะการัง จากนั้นนักดำน้ำก็ค่อยๆ ว่ายเข้าไปใกล้ๆ ภูเขาหินปูนที่ว่า
แต่ยังไม่ทันจะจอดสนิท เสียงนักดำน้ำที่ลงไปสำรวจโลกใต้ทะเลก่อนหน้าตะโกนบอกเพื่อนๆ ที่อยู่บนเรือด้วยความตื่นเต้น “สวยมาก รีบลงมาเร็วๆ”
เราที่อยู่บนเรืออีกลำไม่รอช้ารีบว่ายตามกันไปราวกับกลัวว่าสิ่งสวยงามที่รออยู่เบื้องล่างนั้นจะอันตรธานหายไป ....สมดังคำร่ำลือ สิ่งที่เห็นช่างน่าตื่นตาตื่นใจ แนวปะการังและดอกไม้ทะเลสวยงามหลากสีสันเรียงรายเป็นบริเวณกว้างแบบที่เคยคิดว่าต้องดำสกูบาเท่านั้นถึงจะได้สัมผัส
ระหว่างที่กำลังเพลิดเพลินกับโลกสวยใต้น้ำ ใครบางคนแทบกรี๊ดเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นทากทะเลตัวน้อยสีขาวสะอาดแทรกด้วยจุดสีดำ ลำตัวของมันมีขนปุกปุยและหูเล็กๆ คล้ายกระต่าย ...ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยที่จะเจอเจ้าตัวนี้ สำหรับฉันถือว่า Mission Complete!
กลับขึ้นมาบนเรือ แน่นอน...บทสนทนาว่าด้วยทากทะเลยังต่อเนื่องจนเกือบถึงฝั่ง กระทั่งคำประกาศกร้าวจากท้องฟ้าส่งมาเตือนให้รู้ว่านี่คือ“ฤดูฝน” ไหนๆ ก็เปียกแล้วทุกคนปล่อยให้สายฝนชะล้างความเค็มของน้ำทะเล พักเดียวฟ้าก็เปิดส่งแดดลมยามบ่ายมาไล่ความเปียกชื้นจนทุกคนแห้งสนิทเมื่อถึงฝั่ง อย่างนี่กระมังที่เขาเรียกว่า...กลไกของธรรมชาติ?
ร่มรื่น ‘ป่าชายเลน’
พูดถึงความเป็นธรรมชาติ นอกจากท้องทะเลที่ยังมีความสมบูรณ์สวยงาม อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพรยังร่มรื่นด้วยป่าไม้และป่าชายเลน ทันทีที่เรือเคลื่อนใกล้อุทยานฯ ภาพป่าโกงกางผืนใหญ่คือปราการสีเขียวที่ป้องกันคลื่นลมและเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำได้อย่างดี ซึ่งทางอุทยานฯ ได้จัดทำสะพานทางเดินศึกษาธรรมชาติป่าชายเลน ไว้บริการนักท่องเที่ยวและผู้ที่สนใจ พร้อมอาคารนิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศ
สะพานทางเดินเริ่มจากที่จอดรถ ทอดตัวผ่านศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ผ่านแปลงปลูกป่าโกงกาง จากนั้นลดเลี้ยวเข้าป่าชายเลนตามธรรมชาติซึ่งอยู่เลียบคลอง บริเวณริมคลองมีท่าเรือเล็กๆ สำหรับลงเรือข้ามคลอง เพื่อไปขึ้นสะพานทางเดินศึกษาธรรมชาติที่อยู่อีกฟากของคลอง โดยตลอดทางเดินจะมีป้ายสื่อความหมายเกี่ยวกับสภาพป่าและสิ่งมีชีวิตในป่าชายเลนเป็นระยะๆ และถ้าโชคดีอาจจะได้เจอกับเจ้าจ๋อที่ออกมานั่งเล่นเดินเล่นด้วย
หนึ่งวันเต็มกับการเปิดตาเปิดใจสัมผัสทะเลอ่าวไทยที่ใครบางคนอาจคิดว่าสู้อันดามันไม่ได้ ทว่า ในวันฟ้าใสกลางฤดูฝนเรากลับพบความจริงว่า “ทะเลชุมพรสวยไม่แพ้ที่ไหน”
...ไม่เฉพาะโลกใต้ทะเล ณ จุดหนึ่งบนยอดเขาโพงพาง แสงสุดท้ายที่ทอดผ่านผืนน้ำและเกาะแก่ง คือภาพที่จะทำให้ให้ฉันเก็บชุมพรไปนอนฝันอีกหลายคืน







