‘เก่ง ธชย’ วิถีร่วมสมัย ไทยเท่ๆ

สังเคราะห์ บทเรียน ความคิด และวิถีของ เก่ง เดอะวอยซ์ -ธชย ประทุมวรรณ
เก่ง ธชย ประทุมวรรณ วัย 27 นักร้องที่น่าจะเหมาะกับคำว่า เพอร์ฟอร์มเมอร์ จากรองแชมป์เวที เดอะ วอยซ์ ไทยแลนด์ ปี 1 ด้วยรูปลักษณ์ ลีลา และการ “ปล่อยของ” ที่ทำให้กระแสไทยเท่ ในรูปแบบสากล ได้รับการกล่าวขวัญถึง
พื้นฐานทางดนตรีไทยเดิม การศึกษาดนตรีสากล นำมาสู่รูปแบบ “การแสดง” ถ่ายทอดบทเพลง แบบ “ร่วมสมัย” สองปีผ่านมา เก่ง ธชย ได้เป็นหน้าตาของคนรุ่นใหม่สไตล์ไทย ไม่เชย ในสายตาของผู้หลักผู้ใหญ่และแฟนร่วมวัยของเขา กับการสร้างสรรค์เพลง การเดินทางในวงการบันเทิง ที่ทุกสิ่งวิ่งเร็วแบบดิจิทัล
เสียงและร่องรอยความเป็นไทย การแสวงหา “ที่ทาง” ของตัวเองในฐานะศิลปินสร้างสรรค์งาน ความเป็นอินดี้ที่ไม่ได้จำกัดแค่กลุ่มหนุ่มสาวฮิป อดีตคุณครูอนุบาล บัณฑิต สาขาดนตรีไทยและดนตรีปฏิบัติ วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ศิลปินจากเวทีเรียลิตี้ ค้นหาทาเลนต์ และที่เป็นจริงในเส้นทางบันเทิง เก่ง ธชย มาสังเคราะห์ บทเรียน ความคิด และวิถีของเขาให้เราฟัง
ซิงเกิลล่าสุดที่ปล่อยออกมา คือ เพลงสังเคราะห์แสง ช่วยเล่าที่มาที่ไปสักนิดหนึ่ง ?
ก็เป็นเพลงแรก จากอัลบั้ม “สังเคราะห์แสง” ซึ่งจะขายปลายปี 2559 นี้ครับ คือ ที่ผ่านมาเพลงของผมจะเล่าเกี่ยวกับความสนุกสนาน เกี่ยวกับความรัก แต่เพลงนี้เป็นเพลงที่ให้แรงบันดาลใจคน ปลุกใจทุกคน เหมือนกับให้เมล็ดพันธุ์ที่อยู่ในใจ บอกให้เราลุกขึ้นมาปล่อยให้รากให้มันแตกให้มันขยายแตกใบเกิดสังเคราะห์แสงกันเถิด คืออยากจะให้อะไรกับคนดูด้วย และเพลงนี้มันก็ถือว่าเป็นฤกษ์ดี สำหรับเปิดจั่วหัวในอัลบั้ม เพราะว่ามันเป็นชื่ออัลบั้มด้วย แล้วก็เป็นเพลงที่ให้ Inspriration ส่วนหนึ่ง
เห็นว่ามิวสิควิดีโองานนี้ ได้ กั๊ก-วรรณศักดิ์ ศิริหล้า (ผู้กำกับและนักแสดงละครเวที) มาทำให้?
จริงๆ เรามีเพลงที่มันฟังแล้วแมสกว่า สังเคราะห์แสง อยู่ในอัลบั้มด้วยนะ แต่เราเลือกปล่อยเพลงนี้มาก่อน เพราะว่า เราได้คุยกับพี่ๆ ที่ทำงานศิลปะ รู้จักกันและอยากมาร่วมงานกับเรา ทั้ง พี่กั๊ก-วรรณศักดิ์ ศิริหล้า ที่มาช่วยดู อาร์ต ไดเรคชั่น เก่งจะบอกว่าอยากทำอันเนี้ย พี่กั๊กบอกว่าทำเพลงนี้ และก็มีตากล้องคนหนึ่งที่รู้จักต่อกันมา เขาถ่ายโฆษณามาก่อน แต่ไม่เคยถ่ายเอ็มวีจริงจัง เขาอยากทำงานกับเก่ง อยากทำอะไรที่ได้ใช้ความสามารถ เก่งก็บอกว่า งั้นพี่ทำงานกับผม อยากทำไรเต็มที่เลย มันก็เลยกลายเป็นการรวมตัวของคนที่เก็บกด หมายถึงว่า เก็บกดจากความเครียดที่โดยปกติ สังคม (เน้น)ตลาด (เพลง) มันบีบบังคับให้เราทำอย่างอื่น แต่นี่เป็นสิ่งที่เราอยากทำ ดังนั้นงานนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนอยากทำ แล้วก็ได้พี่ปุ๋ย ครูสอนเต้น ที่เก่งมากในการเต้นคอนเทมโพรารี เป็นครูสอนเต้นของผมด้วย ก็มาช่วยสอนเต้นในงานชุดนี้
เริ่มต้นจากการฟอร์มทีมก่อน หรือเราคิดธีมหรือคอนเซปต์ของงานเพลงก่อน
จริงๆ ลิสต์เพลงไว้ก่อน ฟังปุ๊ปแล้วยังไงก็ขอทำเพลง สังเคราะห์แสง (เป็นเอ็มวีนะ) เพราะมันเป็นเพลงจั่วหัว จะเรียกว่าเป็นเพลงโหมโรงก็ได้ เพราะมันให้ความหมายดี มีความยิ่งใหญ่ มีความปลุกใจ เป็นเพลงที่บ่งบอกถึงตัวตนที่อยากทำอะไรก็ต้องทำสิ่งที่เรามีความสุข ในชีวิตเรา มันก็หยุดฟังเสียงของคนอื่นได้น่ะ เพราะคนจะชอบให้เสียงคนอื่นดังกว่าเสียงเราใช่มั้ย แต่ชีวิตมันสั้นมากเลย ทำอะไรก็ได้ครับ ที่มันมีความสุข
เพลงอัลบั้มนี้วางเป้าหมายในแง่การสร้างงานไว้อย่างไร
ให้เห็นเสียงดนตรีมากกว่า ปกติคนเสพดนตรี ถ้าเป็นฝั่งตลาดไทย เขาจะเสพจากเนื้อเพลง เราก็มีฝั่งเนื้อเพลง แต่เราก็จะมีฝั่งดนตรี ดังนั้น เพลงนี้จะแตกต่างจากซิงเกิ้ลอื่นๆ ที่เคยออกมา คืออันนี้ก็จะมีความเป็นมิวสิคมากขึ้น มีความเป็นเวิล์ดมิวสิคมีความเป็นดนตรีไทยอยู่ข้างใน มีความเป็นเอเชียอยู่ข้างใน จะไทยก็ไม่เชิง แต่ฟังแล้วรู้สึกว่ามันมีความเป็นเอเชี้ย เอเชียอยู่ข้างใน และมีกลิ่นเพลงป๊อปของอังกฤษอยู่เล็กๆ
เป็นศิลปินออกงานเพลง มาสองปีแล้ว จากนี้ไปมองทางตัวเองไว้ยังไงบ้าง
ตอนแรกเราทำเพลงเพื่อให้มันสนุก เพื่อให้มีงานจ้าง เพื่อเป็นที่รู้จัก เพื่อได้เกิดเป็นรายได้เข้ากับตัวเรา และเราก็มีความรู้สึกว่า นั่นมันในแง่ความเป็นคนๆหนึ่ง แต่ในแง่ของการเป็นศิลปินมันก็ควรจะตอบโจทย์ด้านอื่นให้กับผู้ฟังบ้าง ก็เลยทำเพลงในแบบนี้ สุดความสามารถ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเราก็จะกั๊กความสามารถไว้ส่วนหนึ่ง ไม่ได้ปล่อยทั้งหมด เพราะคิดเผื่อคนฟัง คราวนี้เราใช้ความสามารถอย่างเต็มขีดจำกัด เพื่อที่จะให้คนเขาได้เห็นตัวเราจริงๆ เสพงานอย่างศิลปิน เพื่อเอาไปตีความต่อ หรือเอาไปสร้างงานต่อได้อีก
เก่งมีภาพลักษณ์ชัดเจน ตอนนี้กลัวคนฟังติดกับ อยู่กับภาพลักษณ์เดิมๆ ไหม
ก็ไม่เชิงนะ คือผมว่า ทุกงานที่ผมออกมามันก็ประหลาดกว่าชาวบ้านเขาอยู่แล้วแหละ (ภาพลักษณ์ความประหลาด) แต่มันเป็นเหมือนตลาดที่โตขึ้น คือเมื่อก่อนมันจะมีความประหลาดแต่มันจะมีความเป็นเด็กมีความสนุกสนาน แต่งาน สังเคราะห์แสงเป็นงานประหลาดแต่เป็นผู้ใหญ่หน่อยครับ หมายถึงว่าคนดูที่ผ่านประสบการณ์มา คนที่มีอะไรในชีวิต คนที่ผ่านการใช้ชีวิตมาในระดับหนึ่งจะรู้สึกว่า อ๋อ มันเป็นเพลงที่ให้กำลังใจคนได้ดีทีเดียว
แล้วแรงบันดาลใจของเก่งมาจากไหน
มาจากชีวิตเลยครับ
อะไรบ้างในชีวิต
อุปสรรคต่างๆ ที่เราเจอในชีวิต ทั้งเจอหน้างาน การแสดงผมชีวิต 90% อยู่กับงานครับ อีก 10% คืออยู่ที่บ้านไม่ได้ทำอะไรเลย คือมุ่งอยู่แต่กับงาน ดังนั้นเพลงต่างๆ ที่เขียนจึงเกิดจากชีวิตการทำงาน และก็เกิดจากเราเสพงานต่างๆ แล้วก็มาคิดเกิดเป็นไอเดีย อย่างซิงเกิ้ลนี้ มาจาก “กระบวนการชีวิต” ที่เราเจอปัญหาต่างๆ (ในการทำงาน) ซึ่งชีวิตมันเหมือนจะง่ายแต่มันก็ง่าย เพราะเราต้องทำงานร่วมกับใครหลายๆ คน แล้วบางที เราเป็นแบบ.. คาแรคเตอร์เรามันชัดเจนแบบนี้ บางคนก็จะไม่เข้าใจ คุยกันคนละภาษา เราก็เลยเครียดและหนักใจ แล้วก็เราพยายามจะ(เบี่ยง)เบนไปเป็นคนอื่นมาหลายครั้ง (ทำตามโจทย์ที่ผู้ใหญ่แนะนะว่า) ไอ้เก่งเป็นแบบนี้สิ เก่งทำเพลงนี้สิ เก่งเธอเป็นแบบนี้สิ เก่งทำเพลงให้คนร้องตามได้สิ เก่งทำเพลงสบายๆ บ้างสิ
นี่คือคำแนะนำ แต่เก่งรู้สึกว่ามันเป็นอุปสรรคหรือเปล่า
เก่งว่ามันก็เป็นสิ่งที่ดีครับ(คำแนะนำ) แต่ คราวนี้สิ่งที่เราอยากจะทำให้มีความสุข (มันไม่ใช่) คือเรารู้สึกว่าควรจะโชว์ศักยภาพให้เต็มที่ก่อน แต่เราก็รู้ว่าไม่มีใครไม่อยากมีเพลงฮิต ถูกป่าวครับ ทุกคนก็อยากมีเพลงฮิตแหละ แต่คราวนี้ทุกคนจะรู้ว่า เหมือนกับบอกว่า พี่ ถ้าพี่อยากประสบความสำเร็จ พี่มีเงินหนึ่งล้านบาทแบบนี้ พี่ก็อยากมีมั้ย พี่ก็อยากมี แต่ทุกคนจะรู้มั้ยว่าจริงๆ แล้วสำหรับพี่ เงินหนึ่งพันบาทพี่ก็มีความสุขแล้ว ถูกมั้ย (เคสนี้) มันก็เหมือนกัน (ผู้ใหญ่)เขาบอกว่า คุณทำเพลงนี้มันผิด คือเพลงนั้นมันเปรียบเทียบกับเงินหนึ่งล้านบาท ซึ่งสำหรับผม การที่ผมได้ทำไอ้เพลงแบบนี้ เพลงที่แบบให้ Inspiration คนแบบนี้ มันเปรียบเป็นหนึ่งพันบาท แต่ผมโอเคกับหนึ่งพันบาทนั้น ผมมีความสุขแล้ว ก็เลยทำ
มันมีสองกระแสนะ มีทั้งคนห้ามและคนสนับสนุน ฝั่งที่ห้าม จะบอกว่า เพลง(แบบนี้)มันก็ดีเนอะแต่กลัวเหวอะ กลัวว่าคน(ฟังแนว)ตลาดจะไม่เอา เพราะว่ามันไม่ได้เล่าเรื่องความรัก ทางเลือกของผม คือ ผมก็จะไปคุยแต่กับคนที่อยากให้ผมทำ คือคนไหนที่ไม่ให้เราทำ เราก็จะรู้แล้วว่าคุยกับคนนี้มันจะห้ามเราแน่ เราก็เลยไม่คุยไม่ปรึกษา แล้วบังเอิญไปเจอกับพี่กั๊ก-วรรณศักดิ์ อูย ชอบมาก ชอบมากเลย ก็เลยเออ งั้นไปทำกันพี่ ถ้าเราอยู่กับคนพวกนี้มันเกิดพลังงานบวก บวกกับบวกมาเจอกัน มันทำให้เรารู้สึกแฮปปี้ แม้แต่ในกองที่ถ่ายเอ็มวี โคตรฟินเลย อยากได้ Inspriation นะ พี่เขาอยู่ในวงการศิลปะจริงๆ ครับ แม้กระทั่งเรื่องสายสิญจน์ (ชูด้ายผูกข้อมือ) ผมถามพี่กั๊กตอนถ่ายเอ็มวี ว่า พี่ครับๆ สายสิญจน์นี่ตัดทิ้งมั้ยเพราะว่า พวกเนี้ยมันจะเข้าฉากแล้วดูไม่เข้าพวก พี่กั๊กถามกลับว่าใครให้ ผมก็บอกพระให้มา พี่กั๊กบอกดีมากเลย และไม่ต้องตัดออกด้วย แต่คิดต่อไอเดียจากอะไรที่มีอยู่ เราก็แค่เติมเข้าไป พี่กั๊กต่อให้ว่างั้นติดทองเพิ่มเข้าไปเลย อะไรแบบนี้ คือเขาบอกว่าถ้าให้เราเลือกจริงๆก็คงเลือกไม่ตัดทิ้ง เขาก็เลย “ประยุกต์ใช้สิ่งที่เรามีอยู่” ให้มันเกิดประโยชน์ เพิ่มอย่างอื่น เติมเอา คอสตูมในเอ็มวีงี้ ก็เป็นเสื้อผ้าที่ผมมีอยู่แล้ว พี่กั๊กก็ลองให้ใส่กลับหลังดู เขาบอกไอเดียก็ไม่เห็นมีใครบอกนี่ว่าใส่กลับหลังไม่ได้ เราก็ใส่เองได้นี่ ใช่มั้ย เราก็เกิดกระบวนการเรียนรู้ว่า จากสิ่งของที่เรามีอยู่เดิม สร้างประโยชน์ให้มันสูงสุด แทนที่เราจะได้แค่ถ่ายเอ็มวีจบไป แต่งานนี้เราก็ได้ความรู้ ได้ไอเดีย ได้วิธีการดำเนินชีวิตต่อไปด้วย เราแฮปปี้มาก
เก่งบอกว่าเราไม่ได้อยากทำเพลงที่เป็นเพลงแมส หรือ มีบล็อก (รูปแบบตายตัวของ)เพลงฮิตมาให้?
เขาก็มีบล็อกเพลงฮิตมา แต่สำหรับผม บล็อกเพลงฮิตมันคิดได้หลายแบบ และเราก็ไม่ได้คิดว่า เพลงของเราเป็นอินดี้นะ ผมไม่เคยคิดจะทำเพลงให้คนอื่นไม่เข้าใจ มันต้องเข้าใจดิ เพราะเราคิดว่าเพลงเรามันก็ไม่ได้ยากเกินไป แต่เพิ่งคุยกับเพื่อนวันก่อนว่า เออ เราจะให้ทุกคนเข้าใจเพลงเราหมดมันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าอะไรรู้มั้ยครับ เพราะว่าเพลงมันก็มีวรรณะของมันเหมือนกัน คนมีวรรณะใช่มั้ย เช่นแบบว่ารวยจน คนมีวรรณะที่แบ่งแยกชั้นกัน มีวัยเด็ก วัยผู้ใหญ่ เพลงก็มีวรรณะของมันแบบนี้ แล้ววิธีการเสพเพลง คนจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจอยู่ที่ประสบการณ์ที่เขาผ่านมา หรือประสบการณ์ฟังเพลง ประสบการณ์ชีวิต เขาจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจอย่าไปเครียด เพราะฉะนั้นให้ปล่อยวางก็พอ อันนี้เป็นอีกอย่างที่ได้ไอเดียมาจากเพื่อน
อยากรู้ว่าทำงานกับ พี่กั๊ก-วรรณศักดิ์ ที่เป็นศิลปินสายเพอร์ฟอร์มานซ์อาร์ต มีทั้งละครเวที และงานแสดงภาพยนตร์ระดับรางวัลสุพรรณหงส์ทองคำ (สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม จาก ศพไม่เงียบ ปี2555) มีที่มายังไง
เริ่มจากการคุย อัลบั้มสังเคราะห์แสง ผมคุยกับเพื่อน(ในคณะดุริยางคศิลป์ มหิดล)ว่าอยากร่วมงานกับคนทำศิลปการแสดงอย่าง พี่เอ็ม พี่นาย พี่กั๊ก แต่เพื่อนบอกว่าลองพี่กั๊ก-วรรณศักดิ์ ดูมั้ย เพราะว่าผมเคยร่วมงานกับพี่นายมาหลายครั้งอยู่แล้ว พี่กั๊กน่าจะเหมาะกับทีมนี้ เพราะว่าเขาสื่อสารในแง่แอคติ้งต่างๆ ด้วย ก็เลยไปนั่งคุยกัน ตอนแรกคอนเซปต์ไอเดียเป็นกลมๆ ก่อน ไม่ได้เป็นแบบนี้ครับ แต่คิดว่าจะเป็นเรื่องเล่า cycle วงจรชีวิต แล้วก็ทิ้งโปรเจกนั้นไว้ แยกย้ายไปทำงาน แล้วจู่ๆ โลกก็หมุนให้เราได้ไปเจอกันที่ “งานเชิดช้าง” (งานแสดงที่งาน American Film Market ที่ลอสแอนเจลีส แคลิฟอร์เนียเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2558) ผมเป็นคนเชิด พี่กั๊กเล่นเป็นช้าง เป็นโอกาสร่วมงานกันครั้งแรก พี่กั๊กบอกว่า เขาก็เป็นแฟนคลับเรานะ เราก็ดีใจมากๆ เราก็ชื่นชมในความสามารถพี่กั๊ก จีบกันไปจีบกันมา จนในท้ายที่สุดเราก็ อ่ะ พี่กั๊ก ไอ้โปรเจกที่พักไว้อะ เรามาทำกันสักทีเถอะ เพราะว่าจริงๆ แล้วผมทิ้งระยะเวลาไปนานมากเลยครับ แล้วผมมีความรู้สึกว่ามันถึงระยะเวลาแล้วที่เราจะทำมันสักที
ถึงเวลาสังเคราะห์แสง?
ใช่ คือบางคนก็จะบอกว่าช่วงนี้ไม่ควรปล่อยเพลง สถานการณ์บ้านเมืองไม่ดีอะไรแบบนี้ แต่ผมคิดว่า รอให้บ้านเมืองสงบเหรอ เดี๋ยวถ้ากูตายพรุ่งนี้ทำไงอะ เราก็เลยตัดสินใจ ทำดีกว่า ทำอะไรที่เราอยากทำ พี่กั๊ก พี่เบียร์ก็อยากทำด้วย เราคุยกัน แล้วทำเลย
ไม่ต้องรอทิศทางตลาดด้วย?
จริงๆ มีคนบอกให้รอแหละ เราก็รู้ แต่ปัจจุบันเราทุกข์เพราะอะไร เราทุกข์เพราะว่าเศรษฐกิจ เราทุกข์เพราะว่าสภาพแวดล้อม เราทุกข์เพราะว่าบุคคลที่รายล้อมเราใช่มั้ยฮะ ฉะนั้นสิ่งที่เราต้องการในวันนี้คือความสุขไง ฉะนั้นผมก็ต้องสร้างความสุข คือถ้าผมมัวแคร์ทุกอย่างมันก็ไม่ได้ทำไม่ได้สุขอะ แล้วงานนี้มันสุขมาก เพราะปกติผมจะเป็นคนที่ชอบฟิกซ์ทุกอย่าง ทุกอย่างต้องเป๊ะ กองถ่ายฯ ผมรู้ว่าเดี๋ยวจะถ่ายวันนี้แล้วเราจะทำอะไรกันกี่โมง แต่กองนี้เป็นกองแรกที่จะถ่ายอยู่แล้วพรุ่งนี้ เรายังไม่รู้เลยว่าจะถ่ายอะไรบ้าง พี่กั๊กบอกว่า เอาทุกอย่างมาก่อน แล้วพรุ่งนี้เราไปเจอกันหน้างาน ไปปุ๊ป ถ่ายกันถึงประมาณเที่ยงครึ่งอะ ได้ซีนแรก ซีนเดียว แล้วเป็นซีนที่ยังไม่เข้าดนตรีเลยนะ ซีนเงียบๆ ซีนเดียว ประมาณสามวิ(นาที) ถ้าเป็นผมคนเก่าผมคงเครียดแล้ว คือเราอยู่กับสภาพแวดล้อมแบบนั้น หมายถึงว่า ทุกคนแฮปปี้ มี attitude ดี สนุกกับการทำงาน แล้วมันก็ทำให้รู้สึกดี
พี่กั๊กเขาก็สอน เราคุยเรื่องนี้ว่า เออ พี่แปลกจังเลยปกติผมจะเป็นคนที่ซีเรียส แกบอกว่ายูต้องอยู่แบบว่าการปล่อยวางให้ได้ แล้วจะแก้ปัญหากับอุปสรรคได้อะ แล้วเขาก็สอนว่า ในการทำงานมันเจออุปสรรคแหละ แต่เราจะปรับอุปสรรคให้มัน เราแก้อุปสรรคยังไง อยู่กับอุปสรรคเหล่านั้นยังไง สุดท้ายอีซีนที่เลทๆ มามันกลายเป็นซีนสวยๆ อยู่ในซีนตอนเย็น มันกลายเป็นเหมือนธรรมชาติได้ขีดไว้ให้หมด ฝนตกเราว่าจะหยุดกอง ทำนู่นทีนี่ พอฝนหยุดตก ฝนก็ไม่ตกลงมาเลยนะ ก่อนหน้านั้นไม่ตก มาตกตอนที่กูถ่ายเมรุ พอมันตกปุ๊ปเราก็ยังไงดี หรือเราจะไปถ่ายกลางฝนนะ อยู่ดีๆ ฝนก็หยุดตก ก็ถ่ายนู่นถ่ายนี่กันต่อ
จนซีนกลางคืน วาระสุดท้ายไม่มีไฟให้ใช้แล้ว รู้มั้ยเกิดอะไรขึ้น มีสมาชิกในกองฯคนหนึ่งเอารถ 8 คันที่มีอยู่ตอนนั้นทั้งหมดมาจอดต่อกันและใช้ไฟจากหน้ารถนั่นน่ะ ในการถ่าย พอถ่ายจบปุ๊ป อย่างเดียวที่พูดเลยคือมีความสุขจังอะ มีความสุขจัง ผมโทรไปบอกพี่กั๊กครับขอบคุณ มากเลยมันมีความสุขจัง ทั้งๆ ที่ตอนนั้นยังตัดต่อไม่เสร็จนะ
ความสุขอะไร คือการค้นพบ?
ความสุขกับการได้ทำงานวันนี้ กับการได้ทำสิ่งเหล่านี้ เพราะปกติเราเป็นคนที่ “ตรึงทุกอย่าง” ไว้ตลอด อยากให้เป๊ะอยากให้นู้นเนี้ย แต่คราวนี้เราเล็งเห็นทุกคนสนุกอะ แล้วเราก็สนุกอะ แล้วพี่กั๊กพูดในกองตลอด ทำอะไรก็ได้ที่มีความสุขทำไปเลย ยูทำไปเลย อย่างยูเป็นเด็กโขน ไม่ต้องมาเต้นฮิปฮอป ไม่ต้องพยายาม ก็เป็นเด็กโขนก็เต้นโขนไปเลย แล้วเชื่อมั้ยตอนสุดท้ายในเอ็มวี ที่มีการพูดอะ ผกก.บอกบทปุ๊ป อยากให้ทุกคนเป็นตัวเองนะ อะโห ขนลุกเลยอะ ทุกคนแบบเต้นบ้าบอไปหมดเลย มีคนที่เต้นคอนเทมฯก็เต้นไป คนที่มาสายบัลเลต์ก็เต้นบัลเลต์ไปเลย สุดท้ายมันไม่ใช่ได้แค่เอ็มวี แต่มันได้ แอทติจูดในการใช้ชีวิตนะ มันได้อะไรหลายๆ อย่าง ประสบการณ์ในการใช้ชีวิตมันปรับความคิดเราอะ มันมีแต่ความคิดบวกๆ ที่เพิ่มขึ้นมาในสมอง จากที่เมื่อก่อนอาจจะเครียดนู่นนี่นั่น เรารู้สึกแฮปปี้ จนเราลืมไปเลยเพลงมันจะขายได้มั้ยวะ ก็ไม่ได้กังวลอะ ก็มันรู้สึกโอเคแฮปปี้
เป้าหมายทางดนตรีในงานใหม่ เก่งอยากได้ซาวด์ประมาณไหนอะไรบ้าง
ต้องบอกว่ามันเป็นแนวใหม่ครับ สำหรับเพลงไทยนะผมว่า เขาให้คำจำกัดว่าเป็น T-Pop มาจากไทยป๊อป หรือ “ธชยป๊อป” (Tachaya Pop) อันนี้จากทางทีมพูดขึ้นมา แต่จริงๆแล้วมันเป็นสไตล์ที่มันมีอยู่ชื่อว่า Baroque Pop ครับ Baroque Rock หรือ Baroque pop คือมันความเป็นแจ๊ซ ซ่า สว่าง อลัง มีความเป็นสีทอง คือมันมีความอล่างฉ่างมีความเป็นเธียเตอร์ มีความเป็นเครื่องทองเหลือง (เครื่องดนตรีกลุ่มทองเหลือง) มีความเป็น Harp ซิงเกิลแรกจะเสียง Harp (พิณฝรั่ง)มีอะไรที่ฟังแล้วดูยิ่งใหญ่ แต่คราวนี้พอเป็นเพลงไทยก็กลัวคนจะไม่เข้าใจ ก็เลยใช้คำว่า T-pop และเพลงอื่นในอัลบั้มที่จะมีความเป็นอะคูสติกด้วยนะ
ธีมของอัลบั้มทั้งหมดนี้มันมีอะไรบ้าง
จริงๆ มันเหมือนพอเราเปิดจั่วหัวมาว่าเป็นให้แรงบันดาลใจ แต่ข้างในก็เป็นเพลงรักทั่วไป เป็นเพลงรักที่มีพาร์ทดนตรี ที่คงความเป็นสีทอง (บาโร้ก) อยู่ คือเสียงเครื่องทองเหลือง (ทำเสียง) อะชู้มมมชู้มมมม มีความอล่างฉ่าง แล้วก็มีไอเดียดนตรี Inspiration จากเพลงยุคเก่าหลายๆ มีบางเพลงได้แรงบันดาลใจมาจากเพลงของวง B-52’s (วงบีฟิฟตี้ทูส์ วงอเมริกันนิวเวฟจากยุค 70) ก็มี บางเพลงก็ถูกเขียนจากการเขียนเพลงแบบเพลงไทยเดิม มีการร้องแบบ (เอื้อนเสียง) เห่-เฮ้ แทรกอยู่ข้างใน คนมีรากเหง้าอยู่ ทุกเพลงสอดแทรกแบบนั้นหมด
เก่งเรียนด้านร้องเพลงมา ได้ใช้วิธีการร้องเพลงไทยเดิม หรือปรับการร้องอย่างไรบ้าง
เราใช้จนชิน จนช่องเสียงมันมีความใกล้เคียงกัน คนอาจมีความรู้สึกว่า ในเวลาเก่งร้องเพลงจะเป็นไทยเดิม แต่ไม่ใช่อะไรหรอก คนมันจำหลายๆ รอบ ก็มโนไปเอง เพราะบางทีผมร้องโดยใช้เทคนิคเหมือนฝั่งอังกฤษบ้านนอกหน่อย คนก็คิดว่า อุ้ย เอาเทคนิค(ขับร้อง)เสภามาใช้ ซึ่งก็ไม่ใช่ซะทีเดียว คือมันคล้ายกัน มันเกิดจากคนจำเราแบบไหน มันก็คิดแบบนั้น แต่ผม adapt จากหลายทาง แต่ใช้ข้อดีของความ strong ของเสียง เพลงไทยเดิมมันมีความแข็งแรงอยู่ ถ้าเป็นวิธีการร้องเพลงผู้ชายจริงๆ นะ แต่เดี๋ยวนี้ผู้ชายร้องแบบผู้ชายยากมาก ก็ล่าสุดผมไปตัดสินประกวดขับเสภา บอกเลยว่า เดี๋ยวนี้ขับเสภาผู้ชาย ไม่เป็นผู้ชายแล้วอะ (เอื้อนเสภาเสียงแหลมให้ฟัง) ณ ปัจจุบัน ผู้ชายแท้ก็หายากที่จะเรียนร้องเพลงไทยเดิม จึงกลายเป็นว่าส่วนใหญ่ร้องแบบผู้หญิงมากกว่า แต่ผมร้องไม่ได้ จะเป็นแนวโต้งๆ โผงผาง เพราะขี้เกียจประดิษฐ์เสียง
ตอนนี้เราก็ยังใช้วิธีนั้นอยู่?
ใช่ครับ จริงๆ พวกไทยเดิมเราก็มีทวนบ้างครับ ผมหยุดใช้เสียงที่เรียกว่า (ร้อง)แบบจริงจังมานานแล้ว คือก่อนหน้านี้ร้องเพลงแล้วใช้แค่บางส่วน แบบไปร้องตามงานอีเว้นท์ทั่วไปให้คนฟังได้ แต่ถ้าแบบว่าฝึกไว้ฟาดฟัน (ประชันเสียง)ก็เพิ่งกลับไปจริงจัง เพราะผมมีงานที่เตรียมไปแข่ง World Championship of world performing art 2016ที่สหรัฐอเมริกา เดือนกรกฎาคมปีนี้ เป็นเวทีประกวดเหมือนงานโอลิมปิกทางด้านศิลปะ ผู้จัดเป็นทีมเดียวกับผู้จัดมิสยูนิเวิร์ส แล้วเขาก็จัดเหมือนโอลิมปิก มีแข่งขันเกี่ยวกับทางด้านศิลปะหลายประเภท มีทั้งเต้น มีร้องเพลง มีแอคติ้ง มีเล่นดนตรี เป็นทีมชาติไปแข่ง เราก็เหมือนเป็นทีมชาติไทย ต้องซ้อม มันก็เลยได้รื้อฟื้นวิชามา มันก็ดีนะ ได้ไปเอาของไทยเดิมมาด้วย
ไปฐานะตัวแทนไทย?
เป็นคนไทยที่ไปแข่ง แต่เก่งส่งตัวเองไปเองนะ สมัครเอง เรื่องมีว่า ปีนี้เป็นปีแรกที่ไทยได้ License มา มีคนหนึ่งเป็นเอกชนหาคนไทยส่งไปร่วมแข่ง วิธีการคือต้องผ่าน Scout คนนี้ ตอนแรกเขามาขอให้เก่งช่วยเป็น Scout แต่ไปๆมาๆ เราก็ เฮ้ยพี่เราอยากไปอะ ไปได้มั้ยก็เลยไปสมัคร
ปีนี้คนไทยจะมี 25 ทีม เก่งก็คือหนึ่งในนั้น หนึ่งทีมเขาอาจจะมีคนไปร้อง คิดว่าจะไปแข่งขัน 15 ประเภท ช่วงงานวันที่ 7 – 17 กรกฎาคมนี้ ที่อเมริกา รายการนี้จัดมา 20 ปีแล้ว แต่ประเทศไทย รัฐบาลไม่รู้จัก แต่ที่ฟิลิปปินส์ รัฐบาลเป็นสปอนเซอร์จัดส่งคนไปประกวดงานนี้ เป็นร้อยประเภท และตีข่าวออกสื่อยิ่งใหญ่มาก มีอยู่ปีหนึ่งที่คนฟิลิปปินส์ได้แชมป์งาน World Championship of Performing Art (www.wcopa.com/thailand ) นี้ทุกประเภท ฟิลิปปินส์เนี่ยน่ากลัวสุด คือไม่ว่าหัวทองหัวอะไร ถ้าเจอฟิลิปปินส์ทุกคนตายหมด
คนที่ได้ License เขาคือใคร
เขาชื่อ พี่พิช พัทธิ์นิธาน ศรีเอี่ยม ครับ บังเอิญเขาพาเด็กไปแข่งปีที่แล้ว แล้วเด็กเข้ารอบไฟนอล ได้เหรียญทองแต่ไม่ได้แชมป์ เขาเป็นเหมือนครูสอนร้องเพลง แล้วก็สอนที่มหิดลด้วย เขาเป็นครูเก่ง ที่สอนเก่งตั้งแต่ประกวดหลายๆ เวทีมาเลย แล้วเราก็รู้จักกัน คือพี่พีทก็ชอบส่งเด็กไปนู่นไปนี่ บังเอิญปีที่แล้วส่งไปแข่งที่นี่แล้วได้ ทางโน้นก็เลยสนใจว่าคุณไปหาเด็กมา เป็น Scout ที่นี่เลยประมาณนั้น เขาก็เลยได้ License มา
มีสปอนเซอร์ไปงานนี้ไหม
ก็มีครับ เพราะว่ามันจะมีชื่อเราแล้วลงสปอนเซอร์ ททท. ก็เป็นโลโก้ใหญ่ไปเลย ผมว่ามันเป็นสิ่งใหม่อะ แล้วก็ไม่รู้ว่ามันจะได้ไม่ได้ไงก็คือต้องรอกลับมาแล้วถ้ามันได้คนก็คงจะโปรโมทแหละ ถ้ามาไม่ได้ก็เงียบ แต่เคยคนไทยไปมาแล้ว (แนน สาธิตา นางเอกละครเวทีโหมโรง มิวสิคัล) ได้ 4 เหรียญทอง เมื่อปีก่อน และมีน้องคนปีที่แล้ว แล้วก็ปีนี้ที่มีการฟอร์มทีมกัน
ทีมนี่เก่งฟอร์มเองหรือเปล่า
เปล่าครับ ฟอร์มทีมนี่คน Scout ทำไว้ครับ คัดคนเข้ามาแล้วเราก็อยู่ในนั้นเหมือนเป็นลูกทีมในนั้น เหมือนเวลาไปแข่งเขาก็จะแข่ง ว่าทีมฟิลิปปินส์ ทีมไทยอะไรอย่างนี้ แล้วก็ใส่เสื้อทีมชาติกัน มันเป็นไปแข่ง แล้วแข่งก็โหดมาก กติกาคือให้ผู้แข่งขันขึ้นไปร้องคนละ 1 นาทีแล้วก็ลง ฟิลิปปินส์ ปื้ป ลง ไทยแลนด์ ปื้ป ลง แคนาดา อะไรอย่างนี้ แล้วก็มีการซื้อตัวข้ามทีมด้วยนะ
ซื้อตัวยังไง
สมมติว่ารอบแรกทำได้ดี แคนาดาก็บอกว่าซื้อตัวมาแข่งให้ประเทศเขาแทนได้มั้ย แบบนี้มีด้วย เขาก็จ่ายตังให้ อยู่ที่เราจะไปไม่ไป ฟิลิปปินส์จะถูกซื้อบ่อย แต่รายการจะดูเหมือนเป็นทางการหน่อยไม่เหมือนพวกประกวดร้องเพลงเรียลิตี้โชว์
แล้วเราต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
ตอนนี้ต้องทำเพลงเตรียมไป คือ มันก็จะมีประเภทให้ลง เหมือนว่ายน้ำก็จะมีฟรีสไตล์ ท่าผีเสื้อ ร้องเพลงก็เหมือนกันคุณจะลงอะไร Comtemporary,Pop, World Music, Jazz อะไรแบบนี้ แล้วค่าสมัครแพงมาก ราคาเริ่มต้นจำกัดให้สมัครได้แค่สามประเภท แต่ถ้าเกิดจะสมัครเกินกว่านั้นคือต้องจ่ายเพิ่ม แล้วผมจ่ายเพิ่มไปแล้วผมสมัครไปทั้งหมด 19 ประเภท ผมก็เครียดเลย คือแข่งวันเดียวทั้งหมดนะ ถ้าโชคดีอาจแบ่งแข่งสองวัน เขาพยายามจะจัดให้ คือตอนแรกกะจะแข่งแค่ 10 ประเภทผมว่าเยอะแล้ว แต่คุยกับพี่พีท เขาบอกว่า “เก่ง ไหนๆ แกก็ไปแล้วแกก็ถ้าอันไหนแกได้อยู่ก็ลงแข่งไปดิ” ผมก็เลยจะลอง คือ นอกจากแข่งร้องเพลง ผมก็ลงแข่งเล่นดนตรีด้วย (ดนตรีไทย) แข่งประเภทเล่นไปด้วยร้องไปด้วย
สิ่งที่เวทีเขามองหาที่สุดในการประชันเวทีนี้คืออะไร
เรื่องตลกก็คือความโดดเด่นทางด้านศิลปิน ก็คือ อะไรก็ได้ที่ดูมีเสน่ห์ไม่ต้องเก่งก็ได้ แต่ปีที่ผ่านๆ มา การตัดสินกลับเลือกแต่อะไรที่ทาเลนต์ ไม่ได้มองที่ตัวคาแรคเตอร์ คือเราดูคู่ต่อสู้ส่วนใหญ่มันเทพทั้งนั้น ไม่มีคนอ่อนไปเลย เน้นทาเลนต์ความสามารถสุดๆ ซึ่งทาเลนต์ส่วนใหญ่มาจากฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ส่วนใหญ่เป็นฝ่ายเอเชียที่โหด (เก่งมาก)หน่อย ตอนแรกก็ไม่เครียดหรอก ผมว่าลองได้ทุกประเภท แต่ตอนนี้พอเริ่มซ้อมมันเป็นไปไม่ได้อย่างที่คิด กำลังคิดว่าอาจจะต้องตัดบางประเภทออก (จากทั้งหมด 19 ประเภท) เพราะมีเรื่องชุดในการขึ้นเวทีไม่ซ้ำอีก ตอนนี้ทำได้สิบสามโชว์ก็อาจจะพอแล้วเพราะไม่ไหว ทุกคนต้องซัพพอร์ทตัวเองกันหมดเลยครับ ผมจะมีทีมไปอีกสองคน คอยดูนักดนตรีคนหนึ่ง แล้วก็คอยดูการแต่งตัว คือมีคน Scout จริง ไปในนามทีมไทยจริง ไม่มีหน่วยงานอะไรมาซัพพอร์ท ฉะนั้นต้องตัวใครตัวมันครับผม แต่เราคิดแล้วว่าเราจะเอาเสื้อผ้าที่มีอยู่แหละ เสื้อผ้าผมมันก็แนวเกรียวกราวอยู่แล้ว อาจจะเปลี่ยนธีมหน่อย ใส่นู่นนี่นั่นหน่อย แต่มันรอบแรกจะหนักหน่อยที่ตัดสินเป็นเหรียญ แต่ถ้ารอบต่อไปเป็นรอบ semi รอบ final ก็จะเป็นร้องสลับเพลงแล้วแต่ก็ไม่รู้ว่าจะถึงรอบนั้นหรือเปล่า แต่ก็ตัดชุดไว้แล้ว
แต่จริงๆ เรารู้ไหม อะไรที่เราก็ไม่ถนัดที่สุด
เรื่องดนตรีที่เรากลัวอยู่ จริงๆ อะ ดนตรีเราก็เล่นได้ แต่เรามีความรู้สึกว่าเราห่างมันมามากแล้ว เราก็กลัวว่าเราจะไปโฟกัสไม่พอ
แล้วจะเล่นอะไร
ดนตรีไทยเล่นได้ทุกเครื่องครับ แต่เราคุยกับเพื่อนเอาไว้แล้วว่า เราฟันธงกันไว้แล้วว่าน่าจะเป็น “จะเข้” เพราะว่าเหมือนกับว่างานประกวดเวทีของเซตเทรด(เมืองไทย) หรือการประกวดเวลาประชันเครื่องดนตรีโลก ดนตรีไทยเนี่ย คนจะเลือกใช้”ระนาด” หรือไม่ก็ เป็น “วงปี่พาทย์” แล้วพวกเครื่องสาย อย่าง “ซอ” มันไม่ได้หวือหวาเวลาคนมองมาบนเวที แต่ “จะเข้” นี่มัน ปึ๊งปั๊งๆ คือมันได้ภาพด้วยอะไรอย่างนี้ ก็เลยมองเป็นจะเข้ ใจจริงก็อยากให้เป็น “ฆ้องวง” แต่ขนไปลำบาก
คอสตูมเกรียวกราว แนวของธชย ที่ว่านี่คิดแบบมีคอนเซปต์ไอเดียเข้ากับงานเพลงเลยไหม ยังไง
คือชุดมันก็จะมีผสม ความเป็นไทย ความเป็นเอเชีย และความเป็นแฟชั่น มี “ความหลุด” อยู่ในนั้นด้วย บางชุดก็จะเป็นการถอดเพื่อเน้นสรีระร่างกายความเป็นมนุษย์จริงๆ อะไรแบบนี้ ที่ถ่ายซิลลูเอท (ย้อนแสง) ในเอ็มวีสังเคราะห์แสง มีซีนนึงที่ผู้กำกับให้เอาแค่ผ้าผืนหนึ่ง มาพันตัวแล้วถ่ายให้เห็นแสง ให้เห็นสรีระเรา ไอเดียเหล่านี้มาจากพี่กั๊กหมดเลยนะ เขาบอกว่ายูมีแทททู (รอยสัก) ก็โชว์แทททู (ในเอ็มวี) ไปเลย ตอนแรก เราก็กลัวไง ตั้งแต่เริ่มสักแล้ว ตัวเราเองคนสักเองก็ไม่ได้อะไรหรอก แต่บางคนที่เป็นแฟนคลับเค้ามีคำถามว่า สักทำไมอะ
อืม แล้วทำสักทำไมล่ะ เราชอบอะไรสุดในรอยสัก
ก็ชอบอะฮะ สักข้างหลัง (แผ่นหลัง) เป็นรูปหน้าแม่ เป็นลายแรกในชีวิตเลย เราก็สักที่หน้าอกเป็นรูปพ่อ แล้วก็มีรอยสักไซเคิลชีวิต ฯลฯ ผมว่ารอยสัก มันเป็นการสร้างศิลปะบนเรือนร่างแล้วทุกรอยสักมันมีความหมายหมด ไม่ใช่สะเปะสะปะ คือทุกอันมีความหมายหมด เราสักแม่เพราะเรามีความรู้สึกอยากให้พ่อแม่อยู่กับเราตลอดเวลาทั้งๆ ที่ถือรูปอยู่ตลอดเวลา แต่วิธีการแสดงออกแต่ละคนไม่เหมือนกัน ผมก็สักรูปหน้าแม่ล้อมกรอบด้วยเวอร์ซาเช่ แล้วหัวแม่เป็นหัวงูแบบเมดูซ่า แล้วของพ่อก็เป็นพ่อนั่งวาดรูปแต่เป็นแบบสาดสี แม่ก็จะบอกว่าทำไมลายพ่อสวยกว่า ที่บ้านไม่ห้ามเลยนะ ที่บ้านไม่ห้ามเลย แล้วก็(สัญลักษณ์) peace สันติภาพ เสรีภาพต่างๆ ก็อยากเติมอีกเรื่อยๆ
แฟนคลับเขาว่ายังไง
เราจะทำตัวกลางๆ เวลาสักก็จะไม่ค่อยบอกใครเท่าไหร่ แต่ถ้าบอก ก็จะบอกว่า ทำอะไรก็ได้ที่มีความสุขไง คนมีรอยสักไม่ได้แปลว่าเป็นคนไม่ดี แต่ต้องบอกว่าบางทีในความเต็มก็ควรจะมีอะไรที่มันคลีนๆ บ้าง อย่างงานเอ็มวีสังเคราะห์แสง ผมก็อยากให้มันคลีนที่สุดนะ ถ้าดูในแง่สีสัน งานนี้จะคลีนที่สุดเท่าที่เคยทำมาแล้ว
คือน้อยที่สุดแล้ว?
ใช่ครับ นี่น้อยแล้วนะ แต่แฝงอะไรไว้เยอะแยะเต็มไปหมดเลยอะ คือดูแล้วตั้งใจดูฟังแต่ละซีนเนี่ย ทุกเม็ดเลยอะ แม้แต่ทรงผม วงกลมคืออะไรใช่มั้ยเหมือนลูกนิมิตเหมือนอะไร ที่พี่กั๊กบอกว่าถ้าจะตีเป็นเหมือนชีวิตก็ได้เพราะมันคือชีวิตหรือว่า ซีนที่เก่งมองไปข้างหน้าแล้วเหมือนเห็นอะไรอยู่คนเดียว เป็นความหมายที่เราบอกว่ามันเหมือนชีวิตเราที่เป็นอยู่ตอนนี้ คือเรามองไปข้างหน้าเราเห็นแต่คนอื่นไม่เห็น ทุกคนอาจเดินนะ แต่เดินคนละทางกับเราหมดเลย พี่มาดูดิ ในขณะที่เราเดิน คนอื่นจะเดินสวนทางกับเรา ไม่มีใครที่จะเดินเหมือนกับเราเลย แต่เราก็ได้แต่บอกว่าไปดิ ข้างหน้ามันเดินแบบนี้ก็ได้ เป็นซีนที่กัดดีอะ เราทำแล้วเราแฮปปี้ดีครับ จริงๆ กะจะทำเป็นเหมือนคอนเสิร์ตเป็นเหมือนงานแสดงศิลปะ แต่จัดซื้ออัลบั้มเหมือนจะเสร็จแล้ว พรีออเดอร์ไปแล้วไปแล้วครับ อยากจะทำกับพี่นายด้วย เพราะคุยกับพี่นายไว้คร่าวๆ ด้วย แต่เราดูความเป็นไปได้ ไม่รู้จะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน เพราะคุยกันไว้คร่าวๆ
ตอนไม่มีค่ายแล้ว เราทำงานรู้สึกอย่างไรบ้าง
ตอนนี้ผมเป็นอิสระแล้ว จะมีเพลงหนึ่งที่ต้องทำกับค่ายที่ทำค้างอยู่ คือพี่โจ้ (โจอี้ บอย) เขาก็เปิดกว้างอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ไปปลูกป่ากับเขา ทำงานเองโคตรเหนื่อยเลยอะ เหนื่อยแบบว่าโคตรๆ เลยอะ คิดว่าง่ายแต่มันไม่ง่ายเลย ในความที่มันปล่อยเนี่ย เราก็ต้องคอนโทรลตัวเองให้ทำงานนะ มันไม่มีอะไรรูปแบบเราก็จะชิลไปเรื่อย แล้วพอเวลาพอจะทำมันเหนื่อยมากเลย เดี๋ยวเพลงก็ต้องตามดาวน์โหลด เพลงก็ต้องไปจดลิขสิทธ์เพลง เดี๋ยวต้องทำไอ้โน่นนะ เดี๋ยวต้องทำไอ้นี่นะเกิดจากเราคนเดียว แต่มันดีครับบ้าดี เรื่องที่เกี่ยวกับโปรดักชั่นเก่งดูแลเองหมดเลยครับ ก็มีผู้จัดการรับคิวงานให้
อะไรที่คิดว่าทำให้เลือกดูแลโปรดักชั่นเอง
เราก็คิด คือเพลงแบบนี้เราคิดมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ค่ายไม่ได้เล็งเห็นว่ามันขายได้ มันมีคนที่ไม่ชอบอย่างที่ผมบอก แต่คนชอบก็มี วิธีการทำงานของเราก็คือจะไปหาคนที่ทำงานบวกใส่เรา คือเราก็เติมพลังงานบวกเลยรู้สึกว่าเรามีความสุ







